คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ชลอ บุปผเวส

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 470 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 97/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาความเหมือนของเครื่องหมายการค้า ต้องพิจารณาจากวิญญูชนทั่วไป ไม่ใช่จากบุคคลใดบุคคลหนึ่ง
การวินิจฉัยว่าประชาชนหลงเชื่อว่าเครื่องหมายการค้าอันหนึ่งเป็นเครื่องหมายการค้าอีกอันหนึ่งหรือไม่นั้นต้องพิจารณาถึงความรู้สึกของวิญญูชนทั่วๆไปมิใช่จากความรู้สึกของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง
เครื่องหมายการค้าของโจทก์เป็นรูปควายสีทองยืนอยู่ตัวเดียวมีรูปต้นไม้ภูเขาก้อนเมฆเป็นภาพประกอบของจำเลยเป็นรูปควายสีค่อนข้างดำ และมีรูปสิงห์โตคู่เหยียบอีแปะและรูปพระอาทิตย์มีรัศมีเป็นสารสำคัญของเครื่องหมายอีกด้วยทั้งพื้นภาพก็เป็นสีต่างกันตลอดจนตัวอักษรเจ้าของเครื่องหมายการค้าก็วางในที่ต่างกันและของโจทก์ยังเป็นอักษรภาษาอังกฤษเห็นได้ชัดว่ามิใช่เครื่องหมายการค้าอันเดียวกันและยังปรากฏว่ามีบุคคลอื่นๆ อีกที่เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าซึ่งมีรูปควายเป็นสารสำคัญหรือส่วนของเครื่องหมายการค้าจึงเป็นการยากที่ทำให้ประชาชนเข้าใจผิดหลงเชื่อว่าเครื่องหมายการค้าของจำเลยเป็นเครื่องหมายการค้าของโจทก์ไม่ถือว่าจำเลยมีเจตนาเลียนแบบเครื่องหมายการค้าของโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 88/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแสดงเจตนาทำสัญญาซื้อขายในฐานะเจ้าของที่ดิน แม้มิได้เป็นเจ้าของจริง ก็ผูกพันตามสัญญา
จำเลยทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินกับโจทก์ โดยจำเลยมิได้แสดงออกว่าจำเลยทำในฐานะตัวแทนผู้ใด จำเลยกลับแสดงว่าจำเลยมีฐานะเป็นเจ้าของที่ดินเสียเองที่มีอำนาจจะซื้อขายที่ดินกับโจทก์ได้ ดังนี้ แม้โจทก์ได้รู้หรือควรจะรู้ว่าที่ดินรายนี้เป็นของ ป. และ ร. มีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดิน โดยจำเลยมิได้เป็นเจ้าของที่แท้จริง จำเลยก็จะปัดความรับผิดของจำเลยให้ไปตกอยู่กับบุคคลทั้งสองไม่ได้ เพราะบุคคลทั้งสองไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องรู้เห็นอะไรด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 88/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแสดงเจตนาทำสัญญาซื้อขายในฐานะเจ้าของที่ดิน แม้ไม่ใช่เจ้าของที่แท้จริง ก็ผูกพันตามสัญญา
จำเลยทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินกับโจทก์ โดยจำเลยมิได้แสดงออกว่าจำเลยทำในฐานะตัวแทนผู้ใดจำเลยกลับแสดงว่าจำเลยมีฐานะเป็นเจ้าของที่ดินเสียเองที่มีอำนาจจะซื้อขายที่ดินกับโจทก์ได้ดังนี้ แม้โจทก์ได้รู้หรือควรจะรู้ว่าที่ดินรายนี้เป็นของ ป. และ ร. มีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินโดยจำเลยมิได้เป็นเจ้าของที่แท้จริงจำเลยก็จะปัดความรับผิดของจำเลยให้ไปตกอยู่กับบุคคลทั้งสองไม่ได้ เพราะบุคคลทั้งสองไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องรู้เห็นอะไรด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 88/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ตัวแทนจำลอง: จำเลยแสดงตนเป็นเจ้าของที่ดินและทำสัญญาซื้อขาย แม้โจทก์รู้ว่าที่ดินเป็นของผู้อื่น จำเลยยังต้องรับผิดชอบ
จำเลยทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินกับโจทก์ โดยจำเลยมิได้แสดงออกว่าจำเลยทำในฐานะตัวแทนผู้ใด. จำเลยกลับแสดงว่าจำเลยมีฐานะเป็นเจ้าของที่ดินเสียเองที่มีอำนาจจะซื้อขายที่ดินกับโจทก์ได้. ดังนี้ แม้โจทก์ได้รู้หรือควรจะรู้ว่าที่ดินรายนี้เป็นของ ป. และ ร. มีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดิน. โดยจำเลยมิได้เป็นเจ้าของที่แท้จริง. จำเลยก็จะปัดความรับผิดของจำเลยให้ไปตกอยู่กับบุคคลทั้งสองไม่ได้. เพราะบุคคลทั้งสองไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องรู้เห็นอะไรด้วย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 85/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ปูนซิเมนต์ผงไม่ใช่สินค้าสำเร็จรูปตามประมวลรัษฎากรมาตรา 77 ต้องเสียภาษีในอัตราที่แตกต่าง
ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 77 สินค้าสำเร็จรูปหมายถึงสิ่งใดๆก็ตามที่อาจใช้อุปโภค (ใช้สอย) หรือบริโภค (กิน) ได้ทันที. โดยไม่ต้องเอาของสิ่งนั้นไปปรุงแต่งเปลี่ยนแปลง หรือผสมกับสิ่งใดอีก. เช่น เป็นของกินก็อาจกินได้ทันที หรือถ้าเป็นของใช้ก็อาจใช้ได้ทันที. แต่การพิจารณาว่าสิ่งใดอาจใช้ได้ทันทีหรือไม่. จำต้องพิจารณาจากการใช้ในสภาพปกติ. เพราะวัตถุไม่สำเร็จรูปก็อาจนำมาใช้ได้ทันที เช่นเดียวกับวัตถุสำเร็จรูป. เช่น นำวัตถุไม่สำเร็จรูปไปผสมกับสิ่งอื่นเพื่อผลิตสินค้าอย่างอื่นก็อาจเรียกได้ว่าวัตถุไม่สำเร็จรูปนั้นใช้ได้ทันทีเหมือนกัน. แต่ก็มิใช่เป็นการใช้ในสภาพของวัตถุสำเร็จรูป.หากเป็นการใช้ในสภาพของวัตถุไม่สำเร็จรูปหรือวัตถุดิบคือ.ต้องมีการเปลี่ยนแปลง หรือผสมกับสิ่งอื่นเสียก่อน จนวัตถุสิ่งนั้นเปลี่ยนจากสภาพปกติหรือสภาพเดิม. จึงถือไม่ได้ว่าสิ่งนั้นเป็นสินค้าสำเร็จรูป.
สภาพปกติของปูนซิเมนต์ผง มิใช่สิ่งที่จะนำไปใช้สอยได้ทันทีโดยมิต้องเปลี่ยนแปลงหรือผสมกับสิ่งหนึ่งสิ่งใด.การใช้สอยปูนซิเมนต์ผงตามสภาพปกตินั้น ใช้สำหรับเป็นวัตถุดิบเพื่อผลิตสินค้าหรือสิ่งของอื่น. มิใช่สิ่งที่ตามปกติย่อมนำไปใช้ได้ในสภาพเดิมโดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงหรือผสมสิ่งอื่น.(คือยังคงรูปเป็นปูนซิเมนต์ผงอยู่).ปูนซิเมนต์ผงจึงมิใช่สินค้าสำเร็จรูป.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 85/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ปูนซิเมนต์ผงไม่ใช่สินค้าสำเร็จรูปตามประมวลรัษฎากรมาตรา 77 ต้องเสียภาษีร้อยละ 1.5
ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 77 สินค้าสำเร็จรูปหมายถึงสิ่งใดๆก็ตามที่อาจใช้อุปโภค (ใช้สอย) หรือบริโภค (กิน) ได้ทันทีโดยไม่ต้องเอาของสิ่งนั้นไปปรุงแต่งเปลี่ยนแปลง หรือผสมกับสิ่งใดอีกเช่น เป็นของกินก็อาจกินได้ทันที หรือถ้าเป็นของใช้ก็อาจใช้ได้ทันที แต่การพิจารณาว่าสิ่งใดอาจใช้ได้ทันทีหรือไม่ จำต้องพิจารณาจากการใช้ในสภาพปกติ เพราะวัตถุไม่สำเร็จรูปก็อาจนำมาใช้ได้ทันที เช่นเดียวกับวัตถุสำเร็จรูปเช่น นำวัตถุไม่สำเร็จรูปไปผสมกับสิ่งอื่นเพื่อผลิตสินค้าอย่างอื่นก็อาจเรียกได้ว่าวัตถุไม่สำเร็จรูปนั้นใช้ได้ทันทีเหมือนกันแต่ก็มิใช่เป็นการใช้ในสภาพของวัตถุสำเร็จรูปหากเป็นการใช้ในสภาพของวัตถุไม่สำเร็จรูปหรือวัตถุดิบคือต้องมีการเปลี่ยนแปลง หรือผสมกับสิ่งอื่นเสียก่อน จนวัตถุสิ่งนั้นเปลี่ยนจากสภาพปกติหรือสภาพเดิม จึงถือไม่ได้ว่าสิ่งนั้นเป็นสินค้าสำเร็จรูป
สภาพปกติของปูนซิเมนต์ผง มิใช่สิ่งที่จะนำไปใช้สอยได้ทันทีโดยมิต้องเปลี่ยนแปลงหรือผสมกับสิ่งหนึ่งสิ่งใดการใช้สอยปูนซิเมนต์ผงตามสภาพปกตินั้น ใช้สำหรับเป็นวัตถุดิบเพื่อผลิตสินค้าหรือสิ่งของอื่นมิใช่สิ่งที่ตามปกติย่อมนำไปใช้ได้ในสภาพเดิมโดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงหรือผสมสิ่งอื่น(คือยังคงรูปเป็นปูนซิเมนต์ผงอยู่)ปูนซิเมนต์ผงจึงมิใช่สินค้าสำเร็จรูป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 85/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ปูนซีเมนต์ผงไม่ใช่สินค้าสำเร็จรูปตามประมวลรัษฎากร มาตรา 77 ต้องเสียภาษีตามอัตราวัตถุดิบ
ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 77 สินค้าสำเร็จรูปหมายถึงสิ่งใดๆก็ตามที่อาจใช้อุปโภค (ใช้สอย) หรือบริโภค (กิน) ได้ทันที โดยไม่ต้องเอาของสิ่งนั้นไปปรุงแต่งเปลี่ยนแปลง หรือผสมกับสิ่งใดอีก เช่น เป็นของกินก็อาจกินได้ทันที หรือถ้าเป็นของใช้ก็อาจใช้ได้ทันที แต่การพิจารณาว่าสิ่งใดอาจใช้ได้ทันทีหรือไม่ จำต้องพิจารณาจากการใช้ในสภาพปกติ เพราะวัตถุไม่สำเร็จรูปก็อาจนำมาใช้ได้ทันที เช่นเดียวกับวัตถุสำเร็จรูป เช่น นำวัตถุไม่สำเร็จรูปไปผสมกับสิ่งอื่นเพื่อผลิตสินค้าอย่างอื่นก็อาจเรียกได้ว่าวัตถุไม่สำเร็จรูปนั้นใช้ได้ทันทีเหมือนกัน. แต่ก็มิใช่เป็นการใช้ในสภาพของวัตถุสำเร็จรูปหากเป็นการใช้ในสภาพของวัตถุไม่สำเร็จรูปหรือวัตถุดิบคือต้องมีการเปลี่ยนแปลง หรือผสมกับสิ่งอื่นเสียก่อน จนวัตถุสิ่งนั้นเปลี่ยนจากสภาพปกติหรือสภาพเดิม จึงถือไม่ได้ว่าสิ่งนั้นเป็นสินค้าสำเร็จรูป
สภาพปกติของปูนซีเมนต์ผง มิใช่สิ่งที่จะนำไปใช้สอยได้ทันทีโดยมิต้องเปลี่ยนแปลงหรือผสมกับสิ่งหนึ่งสิ่งใด การใช้สอยปูนซีเมนต์ผงตามสภาพปกตินั้น ใช้สำหรับเป็นวัตถุดิบเพื่อผลิตสินค้าหรือสิ่งของอื่น มิใช่สิ่งที่ตามปกติย่อมนำไปใช้ได้ในสภาพเดิมโดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงหรือผสมสิ่งอื่น (คือยังคงรูปเป็นปูนซีเมนต์ผงอยู่)ปูนซีเมนต์ผงจึงมิใช่สินค้าสำเร็จรูป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1958/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยกข้อต่อสู้เรื่องสัญญาประนีประนอมยอมความระงับหนี้ค้ำประกัน: การให้การไม่ชัดเจนทำให้ประเด็นไม่เกิด
คำให้การของจำเลยมิได้กล่าวโดยชัดแจ้งว่าสัญญาประนีประนอมระหว่างโจทก์กับลูกหนี้ในคดีเรื่องก่อน ทำให้หนี้ตามสัญญากู้ระงับสิ้นไป อันทำให้จำเลยผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิดตามมาตรา 698 คำให้การจำเลยกล่าวแต่เพียงว่าสัญญาประนีประนอมยอมผ่อนเวลาชำระหนี้ให้แก่ ส. ลูกหนี้ทำให้จำเลยหลุดพ้นจากความรับผิดตามมาตรา 700 เท่านั้น ยิ่งกว่านั้น ในการชี้สองสถาน จำเลยยังแถลงรับว่า ที่จำเลยไม่ต้องรับผิดก็เพราะโจทก์ยอมผ่อนเวลาให้ ส. โดยจำเลยมิได้ยินยอม การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องจำเลยอีกทั้งที่โจทก์ได้ฟ้อง ส. และทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันแล้ว ย่อมเป็นฟ้องซ้ำ ดังนี้ คำแถลงรับของจำเลยประกอบคำให้การสู้คดี ทำให้เห็นได้ชัดแจ้งว่า จำเลยมิได้ประสงค์จะยกประเด็นข้อกฎหมายว่าสัญญาประนีประนอมยอมความทำให้หนี้เดิมระงับ อันทำให้ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิดตามมาตรา 698 ขึ้นสู้คดี จำเลยจึงมิได้บรรยายไว้โดยชัดแจ้งในคำให้การเพียงแต่จำเลยสรุปไว้ท้ายคำให้การว่า จำเลยไม่ต้องรับผิดโดยหลักกฎหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 698, 850, 851, 852 ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 จึงไม่ทำให้เกิดประเด็นข้อนี้
เมื่อถือว่าจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ว่าสัญญาประนีประนอมยอมความทำให้หนี้เดิมระงับ ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิดตามมาตรา 698 แล้ว การที่ศาลชั้นต้นหยิบยกประเด็นข้อนี้ขึ้นวินิจฉัยยกฟ้องโจทก์ จึงเป็นการนอกประเด็น คู่ความจะยกประเด็นข้อนี้ขึ้นอุทธรณ์ฎีกาต่อมาไม่ได้
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 25/2511)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1958/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การให้การต่อสู้คดีของผู้ค้ำประกัน และผลของการไม่ยกประเด็นระงับหนี้ตามสัญญาประนีประนอม
คำให้การของจำเลยมิได้กล่าวโดยชัดแจ้งว่าสัญญาประนีประนอมระหว่างโจทก์กับลูกหนี้ในคดีเรื่องก่อน ทำให้หนี้ตามสัญญากู้ระงับสิ้นไป อันทำให้จำเลยผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิดตามมาตรา 698 คำให้การจำเลยกล่าวแต่เพียงว่าสัญญาประนีประนอมยอมผ่อนเวลาชำระหนี้ให้แก่ ส. ลูกหนี้ทำให้จำเลยหลุดพ้นจากความรับผิดตามมาตรา 700 เท่านั้น ยิ่งกว่านั้น ในการชี้สองสถาน จำเลยยังแถลงรับว่า ที่จำเลยไม่ต้องรับผิดก็เพราะโจทก์ยอมผ่อนเวลาให้ ส. โดยจำเลยมิได้ยินยอม การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องจำเลยอีกทั้งที่โจทก์ได้ฟ้อง ส. และทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันแล้ว ย่อมเป็นฟ้องซ้ำ ดังนี้ คำแถลงรับของจำเลยประกอบคำให้การสู้คดี ทำให้เห็นได้ชัดแจ้งว่า จำเลยมิได้ประสงค์จะยกประเด็นข้อกฎหมายว่าสัญญาประนีประนอมยอมความทำให้หนี้เดิมระงับ อันทำให้ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิดตามมาตรา 698 ขึ้นสู้คดี จำเลยจึงมิได้บรรยายไว้โดยชัดแจ้งในคำให้การเพียงแต่จำเลยสรุปไว้ท้ายคำให้การว่า จำเลยไม่ต้องรับผิดโดยหลักกฎหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 698,850,851,852 ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 จึงไม่ทำให้เกิดประเด็นข้อนี้
เมื่อถือว่าจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ว่าสัญญาประนีประนอมยอมความทำให้หนี้เดิมระงับ ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิดตามมาตรา 698 แล้วการที่ศาลชั้นต้นหยิบยกประเด็นข้อนี้ขึ้นวินิจฉัยยกฟ้องโจทก์ จึงเป็นการนอกประเด็น คู่ความจะยกประเด็นข้อนี้ขึ้นอุทธรณ์ฎีกาต่อมาไม่ได้
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 25/2511)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1958/2511

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การให้การของผู้ค้ำประกัน สัญญาประนีประนอม และประเด็นข้อกฎหมายที่มิได้ยกขึ้นต่อสู้ การวินิจฉัยนอกประเด็น
คำให้การของจำเลยมิได้กล่าวโดยชัดแจ้งว่าสัญญาประนีประนอมระหว่างโจทก์กับลูกหนี้ในคดีเรื่องก่อน ทำให้หนี้ตามสัญญากู้ระงับสิ้นไป อันทำให้จำเลยผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิดตามมาตรา 698. คำให้การจำเลยกล่าวแต่เพียงว่าสัญญาประนีประนอมยอมผ่อนเวลาชำระหนี้ให้แก่ ส. ลูกหนี้.ทำให้จำเลยหลุดพ้นจากความรับผิดตามมาตรา 700 เท่านั้น. ยิ่งกว่านั้น ในการชี้สองสถาน จำเลยยังแถลงรับว่า ที่จำเลยไม่ต้องรับผิดก็เพราะโจทก์ยอมผ่อนเวลาให้ ส. โดยจำเลยมิได้ยินยอม. การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องจำเลยอีกทั้งที่โจทก์ได้ฟ้อง ส. และทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันแล้ว ย่อมเป็นฟ้องซ้ำ. ดังนี้ คำแถลงรับของจำเลยประกอบคำให้การสู้คดี ทำให้เห็นได้ชัดแจ้งว่า จำเลยมิได้ประสงค์จะยกประเด็นข้อกฎหมายว่าสัญญาประนีประนอมยอมความทำให้หนี้เดิมระงับ. อันทำให้ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิดตามมาตรา 698 ขึ้นสู้คดี. จำเลยจึงมิได้บรรยายไว้โดยชัดแจ้งในคำให้การเพียงแต่จำเลยสรุปไว้ท้ายคำให้การว่า จำเลยไม่ต้องรับผิดโดยหลักกฎหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 698,850,851,852. ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 จึงไม่ทำให้เกิดประเด็นข้อนี้.
เมื่อถือว่าจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ว่าสัญญาประนีประนอมยอมความทำให้หนี้เดิมระงับ ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิดตามมาตรา 698 แล้ว. การที่ศาลชั้นต้นหยิบยกประเด็นข้อนี้ขึ้นวินิจฉัยยกฟ้องโจทก์ จึงเป็นการนอกประเด็น. คู่ความจะยกประเด็นข้อนี้ขึ้นอุทธรณ์ฎีกาต่อมาไม่ได้. (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 25/2511).
of 47