คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.พ.พ. ม. 1382

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,662 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5833/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์ต้องจดทะเบียนเพื่อใช้ยันสิทธิของผู้อื่น การฟ้องขับไล่เริ่มนับจากวันจดทะเบียน
จำเลยได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทจนได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1382 แต่เมื่อจำเลยยังมิได้จดทะเบียนสิทธิการครอบครองปรปักษ์ดังกล่าว จึงไม่อาจใช้ยันโจทก์ซึ่งได้ซื้อที่ดินพิพาทมาจากการขายทอดตลาดของกรมสรรพากรโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิตั้งแต่ปี 2531 ได้ และโจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยนับแต่ปี 2531 แล้ว หาใช่นับแต่วันที่โจทก์ได้ชำระราคาที่ดินพิพาทครบถ้วนคือวันที่ 19 มิถุนายน 2524 ไม่ เมื่อโจทก์มาฟ้องคดีเมื่อปี 2536 เป็นเวลาไม่เกินกว่า 10 ปี โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยออกไปจากที่พิพาทได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5833/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์และการจดทะเบียนสิทธิ: สิทธิใครเหนือกว่าเมื่อผู้ซื้อที่ดินจากการขายทอดตลาดฟ้องขับไล่ผู้ครอบครองเดิม
จำเลยได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทจนได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 แต่เมื่อจำเลยยังมิได้จดทะเบียนสิทธิการครอบครองปรปักษ์ดังกล่าวจึงไม่อาจใช้ยันโจทก์ซึ่งได้ซื้อที่ดินพิพาทมาจากการขายทอดตลาดของกรมสรรพากรโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิตั้งแต่ปี 2531 ได้ และโจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยนับแต่ปี 2531 แล้ว หาใช่นับแต่วันที่โจทก์ได้ชำระราคาที่ดินพิพาทครบถ้วนคือวันที่ 19 มิถุนายน 2524 ไม่เมื่อโจทก์มาฟ้องคดีเมื่อปี 2536 เป็นเวลาไม่เกินกว่า 10 ปีโจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยออกไปจากที่พิพาทได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4957/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์และผลกระทบต่อค่าขึ้นศาล หากไม่ชำระค่าขึ้นศาลครบถ้วน ศาลมีอำนาจจำหน่ายคดี
จำเลยเข้าไปล้อมรั้วสังกะสีทำเป็นร้านอาหารในที่ดินพิพาทของโจทก์โดยถือวิสาสะ มิใช่เจตนาอย่างเป็นเจ้าของ ส่วนที่จำเลยมุงหลังคากระเบื้องและทำรั้วด้านข้างและด้านหลังนั้น จำเลยก็เพิ่งทำหลังคาและรั้วดังกล่าวเมื่อนับถึงวันที่จำเลยฟ้องแย้งยังไม่ถึง 10 ปี จำเลยจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทและเรียกค่าเสียหายก่อนฟ้อง 30,000 บาท กับค่าเสียหายอนาคตอีกเดือนละ 10,000 บาท จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์ เป็นกรณีพิพาทกันในเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดินด้วย เมื่อศาลอุทธรณ์ยกฟ้องโจทก์ โจทก์ฎีกาโดยเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาเพียงตามจำนวนทุนทรัพย์ในค่าเสียหายก่อนฟ้อง โดยไม่ได้เสียค่าขึ้นศาลตามราคาที่ดินพิพาทมาด้วย ศาลฎีกาสั่งให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลในชั้นฎีกาตามราคาที่ดินพิพาทให้ครบถ้วนแต่โจทก์ไม่ชำระ จึงต้องถือว่าโจทก์ทิ้งฎีกาเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับปัญหาในเรื่องกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174 ประกอบมาตรา 246 และ 247 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวจึงคงมีปัญหาวินิจฉัยในปัญหาค่าเสียหายก่อนฟ้องเท่านั้น แต่เมื่อโจทก์ทิ้งฟ้องในปัญหาที่พิพาทกันในเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดินเสียแล้ว ทั้งปัญหาเรื่องค่าเสียหายก็เกี่ยวเนื่องกับปัญหาที่โจทก์ทิ้งฟ้องไม่สามารถวินิจฉัยแยกออกจากกันได้และไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง ปัญหาเรื่องค่าเสียหายก่อนฟ้องจึงไม่เป็นสาระอันควรได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4957/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าขึ้นศาลฎีกา, การทิ้งฎีกา, กรรมสิทธิ์ที่ดิน, ครอบครองปรปักษ์, ผลกระทบต่อค่าเสียหาย
จำเลยเข้าไปล้อมรั้วสังกะสีทำเป็นร้านอาหารในที่ดินพิพาทของโจทก์โดยถือวิสาสะ มิใช่เจตนาอย่างเป็นเจ้าของ ส่วนที่จำเลยมุงหลังคากระเบื้องและทำรั้วด้านข้างและด้านหลังนั้น จำเลยก็เพิ่งทำหลังคาและรั้วดังกล่าวเมื่อนับถึงวันที่จำเลยฟ้องแย้งยังไม่ถึง 10 ปี จำเลยจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทและเรียกค่าเสียหายก่อนฟ้อง 30,000 บาท กับค่าเสียหายอนาคตอีกเดือนละ 10,000 บาท จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์ เป็นกรณีพิพาทกันในเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดินด้วย เมื่อศาลอุทธรณ์ยกฟ้องโจทก์ โจทก์ฎีกาโดยเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาเพียงตามจำนวนทุนทรัพย์ในค่าเสียหายก่อนฟ้อง โดยไม่ได้เสียค่าขึ้นศาลตามราคาที่ดินพิพาทมาด้วย ศาลฎีกาสั่งให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลในชั้นฎีกาตามราคาที่ดินพิพาทให้ครบถ้วน แต่โจทก์ไม่ชำระ จึงต้องถือว่าโจทก์ทิ้งฎีกาเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับปัญหาในเรื่องกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทตาม ป.วิ.พ.มาตรา 174 ประกอบมาตรา 246 และ 247 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยปัญหาดังกล่าว จึงคงมีปัญหาวินิจฉัยในปัญหาค่าเสียหายก่อนฟ้องเท่านั้น แต่เมื่อโจทก์ทิ้งฟ้องในปัญหาที่พิพาทกันในเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดินเสียแล้ว ทั้งปัญหาเรื่องค่าเสียหายก็เกี่ยวเนื่องกับปัญหาที่โจทก์ทิ้งฟ้องไม่สามารถวินิจฉัยแยกออกจากกันได้และไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง ปัญหาเรื่องค่าเสียหายก่อนฟ้องจึงไม่เป็นสาระอันควรได้รับการวินิจฉัยตาม ป.วิ.พ.มาตรา249 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4931/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์, ทุนทรัพย์, ข้อจำกัดการฎีกา: คดีที่ดินราคาไม่เกินสองแสนบาท ไม่อาจฎีกาในข้อเท็จจริงได้
คดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ที่ดินรวม 3 แปลงมาโดยการครอบครองปรปักษ์ ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า การเข้าครอบครองที่ดินดังกล่าวครอบครองแทน พ. กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามคำร้องขอ เป็นคดีมีทุนทรัพย์ และศาลจะต้องแยกพิจารณาที่ดินแต่ละแปลงออกต่างหากจากกันเป็นรายแปลงว่าเป็นดังที่ผู้ร้องกล่าวอ้างหรือเป็นดังที่ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านทุนทรัพย์จึงต้องแยกออกเฉพาะที่ดินแต่ละแปลง เมื่อปรากฎว่าที่ดินทั้งสามแปลงมีราคาแปลงละไม่เกินสองแสนบาท จึงเป็นคดีที่ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาของที่ดินแต่ละแปลงไม่เกินสองแสนบาท อันต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ.มาตรา 248 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4931/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัยกรณีพิพาทกรรมสิทธิ์ที่ดิน ราคาไม่เกิน 2 แสนบาท เหตุฎีกาในข้อเท็จจริง
คดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ที่ดินรวม 3 แปลงมาโดยการครอบครองปรปักษ์ ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่าการเข้าครอบครองที่ดิน ดังกล่าวครอบครองแทน พ. กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามคำร้องขอ เป็นคดีมีทุนทรัพย์และศาลจะต้องแยกพิจารณาที่ดินแต่ละแปลงออกต่างหากจากกันเป็นรายแปลงว่าเป็นดังที่ผู้ร้องกล่าวอ้างหรือเป็นดังที่ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านทุนทรัพย์จึงต้องแยกออกเฉพาะที่ดินแต่ละแปลง เมื่อปรากฏว่าที่ดินทั้งสามแปลงมี ราคาแปลงละไม่เกินสองแสนบาท จึงเป็นคดีที่ราคา ทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาของที่ดิน แต่ละแปลงไม่เกินสองแสนบาท อันต้องห้ามมิให้คู่ความ ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4420/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขอเป็นคู่ความและการหมดอายุสิทธิร้องสอดคดี การครอบครองปรปักษ์ และผลของการจดทะเบียนสิทธิ
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทเป็นคดีนี้โดยอ้างการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 และศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทนั้นไปแล้ว คดีได้เสร็จสิ้นกระบวนการสมบูรณ์แล้วตั้งแต่วันที่เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการจดทะเบียนให้ผู้ร้องเป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทตามคำสั่งศาลชั้นต้นตั้งแต่ก่อนวันที่ผู้ร้องสอดร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความเกิน10 ปี การบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลชั้นต้นก็ไม่มีอีกต่อไป ผู้ร้องสอดจึงไม่มีส่วนได้เสียและไม่มีสิทธิร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 57(1) ในคดนี้ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4420/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์เป็นผลให้ได้กรรมสิทธิ์เมื่อจดทะเบียนแล้ว ผู้สอดร้องขอไม่มีสิทธิ
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทเป็นคดีนี้โดยอ้างการครอบครองปรปักษ์ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1382 และศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทนั้นไปแล้ว คดีได้เสร็จสิ้นกระบวนการสมบูรณ์แล้วตั้งแต่วันที่เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการจดทะเบียนให้ผู้ร้องเป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทตามคำสั่งศาลชั้นต้น ตั้งแต่ก่อนวันที่ผู้ร้องสอดร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความเกิน 10 ปีการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลชั้นต้นก็ไม่มีอีกต่อไป ผู้ร้องสอดจึงไม่มีส่วนได้เสียและไม่มีสิทธิร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความตาม ป.วิ.พ.มาตรา 57 (1)ในคดีนี้ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4258/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องเรียกคืนทรัพย์สินที่ถูกยักยอกในสัญญาฟื้นฟูป่า ไม่ใช่การเรียกร้องค่าเสียหาย อายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 1336
ฟ้องโจทก์บรรยายว่า จำเลยซึ่งเป็นหัวหน้าศูนย์ปรับปรุงป่าสงวนแห่งชาติ มีหน้าที่กำหนดแผนงานศูนย์ ควบคุมบังคับบัญชากำกับการมอบหมายงานในการฟื้นฟูป่าสงวนแห่งชาติดังกล่าวได้เบิกเงินงบประมาณของโจทก์ไปดำเนินการฟื้นฟูป่าสงวนแห่งชาติตามแผนงานที่โจทก์กำหนด และจงใจปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ไม่ได้ปลูกสร้างสวนป่าทดแทนให้ได้ครบจำนวนตามที่โจทก์กำหนด กลับเบียดบังยักยอกเงินงบประมาณของโจทก์ไป ขอให้บังคับจำเลยคืนเงินงบประมาณที่ยักยอกไปแก่โจทก์กรณีจึงเป็นเรื่องเจ้าของทรัพย์สินฟ้องเรียกเอาทรัพย์ที่ผู้ทำละเมิดยึดถือครอบครองของเขาไว้ในฐานละเมิด ซึ่งโจทก์ย่อมมีสิทธิติดตามเอาคืนได้ ตาม ป.พ.พ.มาตรา1336 ไม่ใช่เรื่องเรียกร้องให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย จึงนำอายุความตามมาตรา448 มาใช้บังคับในกรณีนี้ไม่ได้ โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องจำเลยได้ตาม ป.พ.พ.มาตรา1336 ประกอบด้วยมาตรา 1382 และ 1383 คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3800/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์ต้องไม่เป็นการครอบครองแทนเจ้าของเดิม หากเจ้าของเดิมให้ความยินยอม
จำเลยให้การต่อสู้คดีว่าได้ครอบครองที่ดินและตึกแถวที่พิพาทโดยสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเกินสิบปีจึงได้กรรมสิทธิ์ แต่ทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยเข้าอยู่อาศัยในที่ดินและตึกแถวพิพาทโดย ป.ผู้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์อนุญาต จึงเป็นการที่จำเลยยึดถือครอบครองแทน ป.เมื่อมิใช่ ป.ได้ยกที่ดินพร้อมบ้านพิพาทให้จำเลยยึดถือครอบครองในฐานะเป็นเจ้าของ และไม่ปรากฏว่าจำเลยได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือตาม ป.พ.พ.มาตรา 1381 ดังนั้นไม่ว่า ว.และโจทก์ได้ซื้อที่ดินและตึกแถวพิพาทโดยสุจริตหรือไม่ จำเลยก็ไม่อาจอ้างการครอบครองปรปักษ์ขึ้นต่อสู้โจทก์ได้
โจทก์ฎีกาว่า ที่ดินและตึกแถวพิพาทมีอัตราค่าเช่าไม่น้อยกว่าเดือนละ 15,000 บาท แต่ปรากฏว่าในชั้นอุทธรณ์โจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ในปัญหาดังกล่าวเพียงแต่แก้อุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าเสียหายเพิ่มขึ้น ปัญหาเรื่องค่าเสียหายจึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิที่จะหยิบยกปัญหานี้ขึ้นมาให้ศาลฎีกาวินิจฉัยได้อีก
of 167