พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,662 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7451/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ที่ดินงอก การครอบครองแทนเจ้าของเดิม และการบอกกล่าวเปลี่ยนเจตนา
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ได้ครอบครองทำประโยชน์บนที่งอกที่ดินน้ำทะเลท่วมไม่ถึงหน้าที่ดินตราจองเลขที่1494และหน้าที่ดินตราจองเลขที่1493ของจำเลยที่1และที่2โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลาเกิน10ปีขอให้พิพากษาว่าที่ดินทั้งสองแปลงเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์โจทก์จึงมีหน้าที่พิสูจน์ให้ได้ความตามฟ้องดังกล่าวที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ครอบครองพิพาทแทนจำเลยที่1และที่2เป็นการวินิจฉัยว่าโจทก์พิสูจน์ไม่ได้ว่าโจทก์ครอบครองที่พิพาทด้วยเจตนาเป็นเจ้าของนั่นเองจึงไม่ใช่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น ที่พิพาทเป็นที่งอกริมตลิ่งของที่ดินตราจองที่ตราว่า"ได้ทำประโยชน์แล้ว"เลขที่1494และ1493ที่พิพาทซึ่งเป็นที่งอกจึงเป็นทรัพย์สินของจำลองทั้งสองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1308และถือว่าที่พิพาทไม่ใช่ที่ดินมือเปล่าแต่เป็นที่ดินอยู่ในตราจองที่ตราว่า"ได้ทำประโยชน์แล้ว"ของที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวในลักษณะเป็นส่วนควบส่วนการที่ทางราชการออกโฉนดที่ดินให้แก่ที่พิพาทเป็นเพียงการปฏิบัติเพื่อให้ที่พิพาทมีหนังสือสำคัญตามประเภทของที่ดินเท่านั้นหากโจทก์ครอบครองที่พิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของโจทก์จะต้องครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปีจึงจะได้กรรมสิทธิ์ จำเลยทั้งสองได้ว่าจ้างโจทก์เฝ้าดูแลที่ดินทั้งสองแปลงซึ่งเป็นที่ดินตราจองที่ตราว่า"ได้ทำประโยชน์แล้ว"รวมตลอดทั้งที่พิพาทซึ่งเป็นที่งอกริมตลิ่งด้วยการที่โจทก์ครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทในพฤติการณ์เช่นนี้จึงเป็นการครอบครองแทนจำเลยทั้งสองหากโจทก์ยังคงยึดถือครอบครองที่พิพาทในลักษณะเช่นนี้อยู่ตราบใดไม่ว่าระยะเวลาจะเนิ่นนานเพียงใดโจทก์ก็ย่อมไม่ได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทอยู่ตราบนั้นโจทก์จะมีทางได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทก็ต่อเมื่อโจทก์ได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือโดยบอกกล่าวไปยังจำเลยทั้งสองว่าโจทก์ไม่มีเจตนาจะยึดถือที่พิพาทแทนจำเลยทั้งสองอีกต่อไปแล้วครอบครองที่พิพาทต่อจากนั้นไปโดยสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลาสิบปีเท่านั้นเมื่อปรากฏว่าจำเลยทั้งสองได้ดำเนินการขอออกโฉนดที่พิพาทเมื่อปี2515และโจทก์ได้คัดค้านโดยอ้างว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ที่ได้ครอบครองมาดังนี้การที่โจทก์คัดค้านดังกล่าวถือได้ว่าโจทก์บอกกว่าจะเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือที่พิพาทแทนจำเลยทั้งสองมาเป็นการยึดถือเพื่อตนให้แก่จำเลยทั้งสองทราบแล้วโดยปริยายเมื่อปี2515แต่โจทก์เพิ่งจะมาฟ้องกล่าวอ้างว่าได้ครอบครองที่พิพาทโดยสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเมื่อปี2517หลังจากที่บอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือเพียงสองปียังไม่ครบสิบปีดังนี้โจทก์จึงหาได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1382ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7451/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ที่ดินงอก: การครอบครองแทนเจ้าของเดิม vs. ครอบครองเพื่อตนเอง
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ครอบครองทำประโยชน์บนที่งอกที่ดินน้ำทะเลท่วมไม่ถึงหน้าที่ดินตราจองเลขที่ 1494 และหน้าที่ดินตราจองเลขที่ 1493ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลาเกิน 10 ปี ขอให้พิพากษาว่าที่ดินทั้งสองแปลงเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ โจทก์จึงมีหน้าที่พูิสจน์ให้ได้ความตามฟ้องดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ครอบครองที่พิพาทแทนจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นการวินิจฉัยว่า โจทก์พิสูจน์ไม่ได้ว่าโจทก์ครอบครองที่พิพาทด้วยเจตนาเป็นเจ้าของนั่นเอง จึงไม่ใช่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น
ที่พิพาทเป็นที่งอกริมตลิ่งของที่ดินตราจองที่ตราว่า "ได้ทำประโยชน์แล้ว" เลขที่ 1494 และ 1493 ที่พิพาทซึ่งเป็นที่งอกจึงเป็นทรัพย์สินของจำเลยทั้งสองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1308 และถือว่าที่พิพาทไม่ใช่ที่ดินมือเปล่าแต่เป็นที่ดินอยู่ในตราจองที่ตราว่า "ได้ทำประโยชน์แล้ว" ของที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวในลักษณะเป็นส่วนควบ ส่วนการที่ทางราชการออกโฉนดที่ดินให้แก่ที่พิพาทเป็นเพียงการปฏิบัติเพื่อให้ที่พิพาทมีหนังสือสำคัญตามประเภทของที่ดินเท่านั้น หากโจทก์ครอบครองที่พิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของโจทก์จะต้องครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปีจึงจะได้กรรมสิทธิ์
จำเลยทั้งสองได้ว่าจ้างโจทก์เฝ้าดูแลที่ดินทั้งสองแปลงซึ่งเป็นที่ดินตราจองที่ตราว่า "ได้ทำประโยชน์แล้ว" รวมตลอดทั้งที่พิพาทซึ่งเป็นที่งอกริมตลิ่งด้วย การที่โจทก์ครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทในพฤติการณ์เช่นนี้จึงเป็นการครอบครองแทนจำเลยทั้งสอง หากโจทก์ยังคงยึดถือครอบครองที่พิพาทในลักษณะเช่นนี้อยู่ตราบใด ไม่ว่าระยะเวลาจะเนิ่นนานเพียงใด โจทก์ก็ย่อมไม่ได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทอยู่ตราบนั้น โจทก์จะมีทางได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทก็ต่อเมื่อโจทก์ได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือโดยบอกกล่าวไปยังจำเลยทั้งสองว่า โจทก์ไม่มีเจตนาจะยึดถือที่พิพาทแทนจำเลยทั้งสองอีกต่อไปแล้วครอบครองที่พิพาทต่อจากนั้นไปโดยสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลาสิบปีเท่านั้น เมื่อปรากฏว่าจำเลยทั้งสองได้ดำเนินการขอออกโฉนดที่พิพาทเมื่อปี 2515 และโจทก์ได้คัดค้านโดยอ้างว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ที่ได้ครอบครองมาดังนี้ การที่โจทก์คัดค้านดังกล่าว ถือได้ว่าโจทก์บอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือที่พิพาทแทนจำเลยทั้งสองมาเป็นการยึดถือเพื่อตนให้แก่จำเลยทั้งสองทราบแล้วโดยปริยายเมื่อปี 2515แต่โจทก์เพิ่งจะมาฟ้องกล่าวอ้างว่า ได้ครอบครองที่พิพาทโดยสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเมื่อปี 2517 หลังจากที่บอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือเพียงสองปี ยังไม่ครบสิบปี ดังนี้ โจทก์จึงหาได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยการครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 ไม่
ที่พิพาทเป็นที่งอกริมตลิ่งของที่ดินตราจองที่ตราว่า "ได้ทำประโยชน์แล้ว" เลขที่ 1494 และ 1493 ที่พิพาทซึ่งเป็นที่งอกจึงเป็นทรัพย์สินของจำเลยทั้งสองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1308 และถือว่าที่พิพาทไม่ใช่ที่ดินมือเปล่าแต่เป็นที่ดินอยู่ในตราจองที่ตราว่า "ได้ทำประโยชน์แล้ว" ของที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวในลักษณะเป็นส่วนควบ ส่วนการที่ทางราชการออกโฉนดที่ดินให้แก่ที่พิพาทเป็นเพียงการปฏิบัติเพื่อให้ที่พิพาทมีหนังสือสำคัญตามประเภทของที่ดินเท่านั้น หากโจทก์ครอบครองที่พิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของโจทก์จะต้องครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปีจึงจะได้กรรมสิทธิ์
จำเลยทั้งสองได้ว่าจ้างโจทก์เฝ้าดูแลที่ดินทั้งสองแปลงซึ่งเป็นที่ดินตราจองที่ตราว่า "ได้ทำประโยชน์แล้ว" รวมตลอดทั้งที่พิพาทซึ่งเป็นที่งอกริมตลิ่งด้วย การที่โจทก์ครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทในพฤติการณ์เช่นนี้จึงเป็นการครอบครองแทนจำเลยทั้งสอง หากโจทก์ยังคงยึดถือครอบครองที่พิพาทในลักษณะเช่นนี้อยู่ตราบใด ไม่ว่าระยะเวลาจะเนิ่นนานเพียงใด โจทก์ก็ย่อมไม่ได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทอยู่ตราบนั้น โจทก์จะมีทางได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทก็ต่อเมื่อโจทก์ได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือโดยบอกกล่าวไปยังจำเลยทั้งสองว่า โจทก์ไม่มีเจตนาจะยึดถือที่พิพาทแทนจำเลยทั้งสองอีกต่อไปแล้วครอบครองที่พิพาทต่อจากนั้นไปโดยสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลาสิบปีเท่านั้น เมื่อปรากฏว่าจำเลยทั้งสองได้ดำเนินการขอออกโฉนดที่พิพาทเมื่อปี 2515 และโจทก์ได้คัดค้านโดยอ้างว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ที่ได้ครอบครองมาดังนี้ การที่โจทก์คัดค้านดังกล่าว ถือได้ว่าโจทก์บอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือที่พิพาทแทนจำเลยทั้งสองมาเป็นการยึดถือเพื่อตนให้แก่จำเลยทั้งสองทราบแล้วโดยปริยายเมื่อปี 2515แต่โจทก์เพิ่งจะมาฟ้องกล่าวอ้างว่า ได้ครอบครองที่พิพาทโดยสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเมื่อปี 2517 หลังจากที่บอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือเพียงสองปี ยังไม่ครบสิบปี ดังนี้ โจทก์จึงหาได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยการครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7448/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้สิทธิทางศาลเพื่อยืนยันกรรมสิทธิ์จากการครอบครองปรปักษ์ แม้คดีก่อนหน้าได้วินิจฉัยแล้ว ไม่ถือเป็นการฟ้องซ้ำ
คดีเดิมมีประเด็นว่า ผู้คัดค้านทั้งสองฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากผู้ร้องได้หรือไม่ แม้ผู้ร้องจะให้การสู้คดีว่า ผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทจนได้กรรมสิทธิ์แล้ว ผู้คัดค้านทั้งสองจึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายและศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่า ผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทโดยสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ จนได้กรรมสิทธิ์หรือไม่ ซึ่งศาลพิพากษายกฟ้องโดยฟังว่า ผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินพิพาทจนได้กรรมสิทธิ์แล้วก็ตาม แต่เรื่องดังกล่าวเป็นเพียงประเด็นที่จะนำไปสู่การวินิจฉัยในประเด็นแห่งคดี ส่วนคดีนี้เป็นเรื่องที่ผู้ร้องจำเป็นต้องใช้สิทธิทางศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 55 โดยอาศัยข้อวินิจฉัยจากผลของคำพิพากษาในคดีก่อน ขอให้ศาลสั่งว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองเพื่อจะได้นำคำสั่งศาลไปดำเนินการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนตามประมวลกฎหมายที่ดิน มิใช่กรณีที่มารื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน คดีของผู้ร้องจึงไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7448/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้สิทธิเรียกร้องกรรมสิทธิ์จากการครอบครองปรปักษ์หลังมีคำพิพากษาในคดีขับไล่ การฟ้องร้องซ้ำไม่ขัดกฎหมาย
คดีเดิมมีประเด็นว่าผู้คัดค้านทั้งสองฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากผู้ร้องได้หรือไม่แม้ผู้ร้องจะให้การสู้คดีว่าผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทจนได้กรรมสิทธิ์แล้วผู้คัดค้านทั้งสองจึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายและศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่าผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทโดยสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของจนได้กรรมสิทธิ์หรือไม่ซึ่งศาลพิพากษายกฟ้องโดยฟังว่าผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินพิพาทจนได้กรรมสิทธิ์แล้วก็ตามแต่เรื่องดังกล่าวเป็นเพียงประเด็นที่จะนำไปสู่การวินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีส่วนคดีนี้เป็นเรื่องที่ผู้ร้องจำเป็นต้องใช้สิทธิทางศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา55โดยอาศัยข้อวินิจฉัยจากผลของคำพิพากษาในคดีก่อนขอให้ศาลสั่งว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองเพื่อจะได้นำคำสั่งศาลไปดำเนินการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนตามประมวลกฎหมายที่ดินมิใช่กรณีที่มารื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันคดีของผู้ร้องจึงไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา148
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7010/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภาระจำยอมโดยอายุความ: การได้มาซึ่งสิทธิภาระจำยอมโดยการใช้ทางต่อเนื่อง ทั้งเจ้าของเดิมและผู้รับโอน
แม้โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ซึ่งได้รับโอนที่ดินจาก ม.ได้ใช้ทางพิพาทเป็นทางผ่านเข้าออกสู่ทางสาธารณะมาเกินกว่า 10 ปี อันมีผลทำให้โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ในฐานะเป็นเจ้าของที่ดินที่รับโอนมาจาก ม.ได้ภาระจำยอมในการใช้ทางพิพาทผ่านเข้าออกระหว่างที่ดินของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 กับทางสาธารณะก็ตาม แต่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 นำที่ดินแปลงเดิมที่ได้รับโอนมาจาก ม.ไปแลกเอาที่ดินแปลงใหม่มาจากจำเลยเสียแล้วเมื่อ พ.ศ.2528 ซึ่งระยะเวลาที่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงใหม่นับถึงวันฟ้องเป็นเวลา 6 ปีเศษ และโจทก์ที่ 3เข้าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินดังกล่าวเมื่อ พ.ศ.2534 นับถึงวันฟ้องเป็นเวลาเพียง 1 ปีเศษ ดังนั้นแม้จะฟังว่าโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 ในฐานะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงใหม่ได้ใช้ทางพิพาทผ่านเข้าออกระหว่างที่ดินของตนกับทางสาธารณะตลอดมาถึงวันฟ้องด้วยอำนาจปรปักษ์ ก็มีระยะเวลายังไม่ถึง 10 ปีทางพิพาทจึงยังไม่เป็นทางภาระจำยอมแก่ที่ดินแปลงใหม่
เจ้ามรดกที่ดินที่โจทก์ที่ 4 ถึงที่ 7 ได้รับโอนมรดกมาได้ใช้ทางพิพาทเป็นทางผ่านเข้าออกระหว่างที่ดินมรดกกับทางสาธารณะในหมู่บ้านด้วยอำนาจปรปักษ์ต่อเจ้าของทางพิพาทตลอดมาซึ่งเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้ว ครั้นโจทก์ที่ 4ถึงที่ 7 ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินมรดกสืบต่อมา แม้จะใช้ทางพิพาทผ่านเข้าออกระหว่างที่ดินแปลงดังกล่าวกับทางสาธารณะในหมู่บ้านตลอดมาด้วยอำนาจปรปักษ์ต่อจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของทางพิพาทมายังไม่ครบ 10 ปีก็ตาม แต่เมื่อนับระยะเวลาที่ ก.เจ้ามรดกได้ใช้ทางพิพาทมาก่อนรวมเข้ากับระยะเวลาที่โจทก์ที่ 4 ถึงที่ 7 ผู้รับมรดกได้ใช้ทางพิพาทต่อมาได้ระยะเวลาครบ 10 ปีแล้ว ที่ดินของจำเลยซึ่งเป็นภารยทรัพย์ย่อมต้องตกอยู่ในภาระจำยอมในการที่โจทก์ที่ 4 ถึงที่ 7 จะใช้ทางพิพาทเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินของโจทก์ที่ 4 ถึงที่ 7 ซึ่งเป็นสามยทรัพย์โดยอายุความตาม ป.พ.พ.มาตรา 1401 ประกอบด้วยมาตรา 1385
เจ้ามรดกที่ดินที่โจทก์ที่ 4 ถึงที่ 7 ได้รับโอนมรดกมาได้ใช้ทางพิพาทเป็นทางผ่านเข้าออกระหว่างที่ดินมรดกกับทางสาธารณะในหมู่บ้านด้วยอำนาจปรปักษ์ต่อเจ้าของทางพิพาทตลอดมาซึ่งเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้ว ครั้นโจทก์ที่ 4ถึงที่ 7 ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินมรดกสืบต่อมา แม้จะใช้ทางพิพาทผ่านเข้าออกระหว่างที่ดินแปลงดังกล่าวกับทางสาธารณะในหมู่บ้านตลอดมาด้วยอำนาจปรปักษ์ต่อจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของทางพิพาทมายังไม่ครบ 10 ปีก็ตาม แต่เมื่อนับระยะเวลาที่ ก.เจ้ามรดกได้ใช้ทางพิพาทมาก่อนรวมเข้ากับระยะเวลาที่โจทก์ที่ 4 ถึงที่ 7 ผู้รับมรดกได้ใช้ทางพิพาทต่อมาได้ระยะเวลาครบ 10 ปีแล้ว ที่ดินของจำเลยซึ่งเป็นภารยทรัพย์ย่อมต้องตกอยู่ในภาระจำยอมในการที่โจทก์ที่ 4 ถึงที่ 7 จะใช้ทางพิพาทเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินของโจทก์ที่ 4 ถึงที่ 7 ซึ่งเป็นสามยทรัพย์โดยอายุความตาม ป.พ.พ.มาตรา 1401 ประกอบด้วยมาตรา 1385
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7010/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภารจำยอมโดยอายุความและการใช้ทางร่วมกันของเจ้าของที่ดินหลายช่วง
แม้โจทก์ที่1และที่2ซึ่งได้รับโอนที่ดินจากม.ได้ใช้ทางพิพาทเป็นทางผ่านเข้าออกสู่ทางสาธารณะมาเกินกว่า10ปีอันมีผลทำให้โจทก์ที่1และที่2ในฐานะเป็นเจ้าของที่ดินที่รับโอนมาจากม.ได้ภารจำยอมในการใช้ทางพิพาทผ่านเข้าออกระหว่างที่ดินของโจทก์ที่1และที่2กับทางสาธารณะก็ตามแต่โจทก์ที่1และที่2นำที่ดินแปลงเดิมที่ได้รับโอนมาจากม. ไปแลกเอาที่ดินแปลงใหม่มาจากจำเลยเสียแล้วเมื่อพ.ศ.2528ซึ่งระยะเวลาที่โจทก์ที่1และที่2เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงใหม่นับถึงวันฟ้องเป็นเวลา6ปีเศษและโจทก์ที่3เข้าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินดังกล่าวเมื่อพ.ศ.2534นับถึงวันฟ้องเป็นเวลาเพียง1ปีเศษดังนั้นแม้จะฟังว่าโจทก์ที่1ถึงที่3ในฐานะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงใหม่ได้ใช้ทางพิพาทผ่านเข้าออกระหว่างที่ดินของตนกับทางสาธารณะตลอดมาถึงวันฟ้องด้วยอำนาจปรปักษ์ก็มีระยะเวลายังไม่ถึง10ปีทางพิพาทจึงยังไม่เป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินแปลงใหม่ เจ้ามรดกที่ดินที่โจทก์ที่4ถึงที่7ได้รับโอนมรดกมาได้ใช้ทางพิพาทเป็นทางผ่านเข้าออกระหว่างที่ดินมรดกกับทางสาธารณะในหมู่บ้านด้วยอำนาจปรปักษ์ต่อเจ้าของทางพิพาทตลอดมาซึ่งเป็นเวลาเกินกว่า10ปีแล้วครั้นโจทก์ที่4ถึงที่7ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินมรดกสืบต่อมาแม้จะใช้ทางพิพาทผ่านเข้าออกระหว่างที่ดินแปลงดังกล่าวกับทางสาธารณะในหมู่บ้านตลอดมาด้วยอำนาจปรปักษ์ต่อจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของทางพิพาทมายังไม่ครบ10ปีก็ตามแต่เมื่อนับระยะเวลาที่ก.เจ้ามรดกได้ใช้ทางพิพาทมาก่อนรวมเข้ากับระยะเวลาที่โจทก์ที่4ถึงที่7ผู้รับมรดกได้ใช้ทางพิพาทต่อมาได้ระยะเวลาครบ10ปีแล้วที่ดินของจำเลยซึ่งเป็นภารยทรัพย์ย่อมต้องตกอยู่ในภารจำยอมในการที่โจทก์ที่4ถึงที่7จะใช้ทางพิพาทเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินของโจทก์ที่4ถึงที่7ซึ่งเป็นสามยทรัพย์โดยอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1401ประกอบด้วยมาตรา1385
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6954/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความได้สิทธิภาระจำยอม: การใช้ทางโดยมีข้อตกลงกับเจ้าของที่ดินไม่ถือเป็นการใช้โดยความสงบ
การได้สิทธิภาระจำยอมโดยอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา1401 ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยอายุความได้สิทธิมาใช้บังคับโดยอนุโลมด้วย ซึ่งได้แก่มาตรา 1382 เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ต้องได้ใช้สอยอสังหาริมทรัพย์อื่นโดยความสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาจะให้ได้สิทธิภาระจำยอมในอสังหาริมทรัพย์นั้นติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี จึงจะได้ภาระจำยอมเหนืออสังหาริมทรัพย์นั้น
การช่วยออกเงินค่าทำท่อน้ำและดินลูกรังเพื่อให้เจ้าของที่ดินที่ทางพิพาทผ่านทำถนน เนื่องจากเจ้าของที่ดินได้ยกทางพิพาทให้เป็นทางผ่าน จึงเป็นการใช้ทางพิพาทเข้าออกโดยมีข้อตกลงกับเจ้าของที่ดิน ถือไม่ได้ว่าได้ใช้ทางพิพาทโดยไม่ได้อาศัยสิทธิของเจ้าของที่ดิน ไม่เป็นการใช้ทางพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผย ด้วยเจตนาได้สิทธิภาระจำยอม จึงไม่ได้สิทธิภาระจำยอมโดยอายุความ
การช่วยออกเงินค่าทำท่อน้ำและดินลูกรังเพื่อให้เจ้าของที่ดินที่ทางพิพาทผ่านทำถนน เนื่องจากเจ้าของที่ดินได้ยกทางพิพาทให้เป็นทางผ่าน จึงเป็นการใช้ทางพิพาทเข้าออกโดยมีข้อตกลงกับเจ้าของที่ดิน ถือไม่ได้ว่าได้ใช้ทางพิพาทโดยไม่ได้อาศัยสิทธิของเจ้าของที่ดิน ไม่เป็นการใช้ทางพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผย ด้วยเจตนาได้สิทธิภาระจำยอม จึงไม่ได้สิทธิภาระจำยอมโดยอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6954/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภารจำยอมโดยอายุความต้องใช้สอยโดยสงบ เปิดเผย และเจตนาเป็นเจ้าของ การช่วยเหลือค่าใช้จ่ายทางเข้าออกถือเป็นข้อตกลง ไม่เข้าข่ายอายุความ
การได้สิทธิภารจำยอมโดยอายุความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา1401ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยอายุความได้สิทธิมาใช้บังคับโดยอนุโลมด้วยซึ่งได้แก่มาตรา1382เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ต้องได้ใช้สอยอสังหาริมทรัพย์อื่นโดยความสงบเปิดเผยด้วยเจตนาจะให้ได้สิทธิภารจำยอมในอสังหาริมทรัพย์นั้นติดต่อกันเป็นเวลา10ปีจึงจะได้ภารจำยอมเหนืออสังหาริมทรัพย์นั้น การช่วยออกเงินค่าทำท่อน้ำและดินลูกรังเพื่อให้เจ้าของที่ดินที่ทางพิพาทผ่านทำถนนเนื่องจากเจ้าของที่ดินได้ยกทางพิพาทให้เป็นทางผ่านจึงเป็นการใช้ทางพิพาทเข้าออกโดยมีข้อตกลงกับเจ้าของที่ดินถือไม่ได้ว่าได้ใช้ทางพิพาทโดยไม่ได้อาศัยสิทธิของเจ้าของที่ดินไม่เป็นการใช้ทางพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาได้สิทธิภารจำยอมจึงไม่ได้สิทธิภารจำยอมโดยอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6710/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายที่ดินโดยสำคัญผิดในโฉนด สิทธิของเจ้าของเดิมและผลของการจดทะเบียน
เดิมที่ดินตามโฉนดเลขที่573และ574เป็นของเจ้าของคนเดียวกันได้มีการโอนกรรมสิทธิ์เปลี่ยนมือกันมาหลายทอดโดยโอนโฉนดที่ดินไขว้กันด้วยความเข้าใจผิดโจทก์เจตนาซื้อที่ดินตามโฉนดเลขที่573แต่ได้จดทะเบียนรับโฉนดเลขที่574ส่วนจำเลยมีเจตนาซื้อที่ดินตามโฉนดเลขที่574แต่ได้จดทะเบียนรับโอนโฉนดเลขที่573จากผู้ขายแม้จะได้มีการจดทะเบียนชื่อจำเลยเป็นเจ้าของในโฉนดที่ดินเลขที่573แต่เมื่อการมีชื่อจำเลยในโฉนดเป็นเพราะความสำคัญผิดของจำเลยและเจ้าของที่ดินเดิมซึ่งได้ยึดถือโฉนดไขว้กันมาตั้งแต่ต้นเช่นนี้จำเลยจะอ้างว่าจำเลยได้ซื้อที่ดินแปลงนี้มาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วมายันโจทก์มาได้ไม่โจทก์ย่อมให้บังคับจำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่573แลกเปลี่ยนกับโฉนดที่ดินเลขที่574และจดทะเบียนกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินทั้งสองแปลงให้ถูกต้องตรงความจริงได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6710/2538 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินผิดแปลง ความสำคัญผิดและผลกระทบต่อสิทธิ
เดิมที่ดินตามโฉนดเลขที่ 573 และ 574 เป็นของเจ้าของคนเดียวกันได้มีการโอนกรรมสิทธิ์เปลี่ยนมือกันมาหลายทอดโดยโอนโฉนดที่ดินไขว้กันด้วยความเข้าใจผิด โจทก์เจตนาซื้อที่ดินตามโฉนดเลขที่ 573 แต่ได้จดทะเบียนรับโฉนดเลขที่ 574 ส่วนจำเลยมีเจตนาซื้อที่ดินตามโฉนดเลขที่ 574 แต่ได้จดทะเบียนรับโอนโฉนดเลขที่ 573 จากผู้ขาย แม้จะได้มีการจดทะเบียนชื่อจำเลยเป็นเจ้าของในโฉนดที่ดินเลขที่ 573 แต่เมื่อการมีชื่อจำเลยในโฉนดเป็นเพราะความสำคัญผิดของจำเลยและเจ้าของที่ดินเดิมซึ่งได้ยึดถือโฉนดไขว้กันมาตั้งแต่ต้นเช่นนี้ จำเลยจะอ้างว่าจำเลยได้ซื้อที่ดินแปลงนี้มาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วมายันโจทก์มาได้ไม่ โจทก์ย่อมให้บังคับจำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 573 แลกเปลี่ยนกับโฉนดที่ดินเลขที่ 574 และจดทะเบียนกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินทั้งสองแปลงให้ถูกต้องตรงความจริงได้