พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,662 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2587/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ที่ขัดแย้งกับสิทธิของทายาท เจ้าของเดิม
ห. เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทมิได้ขายที่ดินพิพาทให้จำเลยที่1และจำเลยที่1ไม่ได้ครอบครองที่ดินพิพาทจนได้กรรมสิทธิ์จำเลยที่1ได้ยื่นคำร้องและนำสืบพยานหลักฐานเท็จต่อศาลชั้นต้นในคดีแพ่งว่าได้ครอบครองปรปักษ์จนได้กรรมสิทธิ์ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งแสดงว่าที่ดินพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่1คดีถึงที่สุดคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นคำวินิจฉัยชี้ขาดตัดสินคดีที่มีผลเป็นอย่างเดียวกับคำพิพากษาและเป็นคดีฝ่ายเดียวโจทก์ในฐานะทายาทของ ห. มิได้เป็นคู่ความในคดีนั้นจึงเป็นบุคคลภายนอกย่อมมีสิทธิพิสูจน์ได้ว่ามีสิทธิดีกว่าจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา145(2) เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่1ไม่ได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1382การที่จำเลยที่1โอนที่ดินพิพาทที่ตนไม่มีกรรมสิทธิ์ให้แก่จำเลยที่2จึงไม่ก่อให้เกิดกรรมสิทธิ์ขึ้นมาเป็นของจำเลยที่2ผู้รับโอนแม้จำเลยที่2จะเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตก็ตามจำเลยที่2ก็ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทตามกฎหมายอันจะอ้างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1299มาต่อสู้โจทก์ซึ่งเป็นทายาทของ ห. ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2251/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์: ผลผูกพันเมื่อโจทก์ไม่ทราบคำร้อง และการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์โดยการครอบครอง
คำสั่งศาลที่แสดงว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยการ ครอบครองปรปักษ์มีผลผูกพันโจทก์ต่อเมื่อโจทก์ได้ทราบเรื่องที่จำเลยยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์แล้วไม่โต้แย้งคัดค้านภายในเวลาที่ศาลกำหนดไว้เมื่อโจทก์ไม่ทราบเรื่องที่จำเลยยื่นคำร้อง ขอแสดงกรรมสิทธิ์ ทำให้ไม่อาจโต้แย้งคัดค้านคำร้องขอของจำเลยได้คำสั่งของศาลจึงไม่ผูกพันโจทก์โจทก์มี อำนาจฟ้องคดีเพื่อพิสูจน์ว่าตนมีสิทธิในที่พิพาทดีกว่าจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา145(2)ได้ ข้อเท็จจริงในเรื่องการ ครอบครองที่พิพาทด้วยตนเองหรือให้ผู้อื่นครอบครองแทนนั้นเป็นรายละเอียดที่อาจนำสืบได้ในชั้นพิจารณาแม้โจทก์จะไม่ได้บรรยายฟ้องไว้ว่าผู้อื่นเป็นผู้ครอบครองที่พิพาทแทนก็ตามฟ้องของโจทก์ก็ไม่เคลือบคลุม แม้การที่บิดาโจทก์ยกที่พิพาทให้โจทก์โดยมิได้ จดทะเบียนการยกให้ตามกฎหมายทำให้เป็น โมฆะก็ตามแต่เมื่อโจทก์ได้ ครอบครองที่พิพาทมานับตั้งแต่บิดาโจทก์ยกที่พิพาทให้โดยความสงบและเปิดเผยด้วย เจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเกินกว่า10ปีแล้วประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1382
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1771/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์และการครอบครองแทนเจ้าของเดิม: สิทธิในที่ดินและบ้าน
ส. เป็นกรรมกรก่อสร้างของบริษัทที่สามีโจทก์เป็นผู้จัดการได้เข้าไปอยู่ในที่ดินและบ้านพิพาทเพราะได้รับมอบหมายให้ครอบครองแทนโจทก์หรือสามีโจทก์การที่จำเลยที่1ซึ่งเป็นภรรยาของ ส. เข้าไปอยู่ในที่ดินและบ้านพิพาทจึงเป็นการ อาศัยสิทธิของ ส.แม้ต่อมา ส.ถึงแก่ความตายก็ไม่ทำให้จำเลยที่1ถือสิทธิเป็นเจ้าของได้กรณีถือว่ายังครอบครองแทนเจ้าของเดิมอยู่และไม่มีสิทธินำที่ดินและบ้านพิพาทไปขายได้ดังนั้นจำเลยที่2จะซื้อที่ดินและบ้านพิพาทจากจำเลยที่1หรือไม่และเข้าครอบครองมานานเท่าใดจะเสีย ค่าตอบแทนและซื้อโดยสุจริตหรือไม่ก็ ไม่ได้ กรรมสิทธิ์ และไม่อาจอ้างการ ครอบครองปรปักษ์ขึ้นต่อสู้โจทก์ได้เพราะถือว่าจำเลยที่2 ครอบครองแทนเจ้าของเดิม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1397/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องครอบครองปรปักษ์: ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยนอกประเด็นเรื่องกรรมสิทธิ์และการแบ่งมรดก ทำให้โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
จำเลยให้การต่อสู้ไว้ว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง จำเลยหาจำต้องอุทธรณ์ประเด็นนี้ไม่ แต่เมื่อโจทก์อุทธรณ์ในประเด็นอื่น จำเลยได้กล่าวคำแก้อุทธรณ์ถึงประเด็นข้อนี้แล้ว คดีจึงมีประเด็นตามคำแก้อุทธรณ์ แต่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยให้เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาหยิบยกปัญหาข้อนี้ขึ้นวินิจฉัยได้
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับตามสิทธิที่โจทก์ได้ครอบครองที่ดินพิพาทอย่างเป็นเจ้าของมาเกินสิบปี การที่โจทก์บรรยายถึงการเป็นทายาทก็เพียงให้ทราบว่าโจทก์เข้ามาอยู่ในที่ดินพิพาทได้อย่างไรเท่านั้น ไม่มีประเด็นเรื่องมรดกหรือขอแบ่งมรดก และที่ศาลชั้นต้นตั้งประเด็นไว้ข้อหนึ่งว่าโจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทหรือไม่ ก็หมายความว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในฐานะที่ได้ครอบครองปรปักษ์หรือไม่ตามที่กล่าวในฟ้องนั่นเอง การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ทั้งสองเป็นทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกแทน อ.ถือว่าเป็นเจ้าของรวมและมีสิทธิฟ้องขอแบ่งที่ดินพิพาทได้นั้น จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองร่วมกันครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีจำเลยทั้งหกเป็นทายาทผู้มีชื่อในโฉนดซึ่งยังมิได้มีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนขอให้จำเลยทั้งหกร่วมกันส่งมอบโฉนดเพื่อนำไปทำนิติกรรมแบ่งแยกที่ดินซึ่งจำเลยยึดถือโฉนดไว้ ไม่ได้บรรยายว่าโจทก์ทั้งสองและจำเลยทั้งหกเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดดังกล่าวร่วมกัน โจทก์ทั้งสองประสงค์จะแบ่งแยก ทั้งมิได้มีคำขอให้ศาลมีคำสั่งแสดงว่าโจทก์ทั้งสองได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ แม้จะฟังได้ว่าโจทก์ทั้งสองและจำเลยทั้งหกอยู่ในที่ดินแปลงที่ฝ่ายจำเลยเป็นผู้ยึดถือโฉนดไว้แต่ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยคนใดเป็นผู้มีชื่อในโฉนด จึงไม่มีหน้าที่จะต้องไปจดทะเบียนแบ่งแยกโฉนดที่ดินพิพาทให้โจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้อง
เรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลยกขึ้นได้เองตาม ป.วิ.พ.มาตรา 142 (5) ประกอบด้วยมาตรา 246, 247
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับตามสิทธิที่โจทก์ได้ครอบครองที่ดินพิพาทอย่างเป็นเจ้าของมาเกินสิบปี การที่โจทก์บรรยายถึงการเป็นทายาทก็เพียงให้ทราบว่าโจทก์เข้ามาอยู่ในที่ดินพิพาทได้อย่างไรเท่านั้น ไม่มีประเด็นเรื่องมรดกหรือขอแบ่งมรดก และที่ศาลชั้นต้นตั้งประเด็นไว้ข้อหนึ่งว่าโจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทหรือไม่ ก็หมายความว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในฐานะที่ได้ครอบครองปรปักษ์หรือไม่ตามที่กล่าวในฟ้องนั่นเอง การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ทั้งสองเป็นทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกแทน อ.ถือว่าเป็นเจ้าของรวมและมีสิทธิฟ้องขอแบ่งที่ดินพิพาทได้นั้น จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองร่วมกันครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีจำเลยทั้งหกเป็นทายาทผู้มีชื่อในโฉนดซึ่งยังมิได้มีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนขอให้จำเลยทั้งหกร่วมกันส่งมอบโฉนดเพื่อนำไปทำนิติกรรมแบ่งแยกที่ดินซึ่งจำเลยยึดถือโฉนดไว้ ไม่ได้บรรยายว่าโจทก์ทั้งสองและจำเลยทั้งหกเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดดังกล่าวร่วมกัน โจทก์ทั้งสองประสงค์จะแบ่งแยก ทั้งมิได้มีคำขอให้ศาลมีคำสั่งแสดงว่าโจทก์ทั้งสองได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ แม้จะฟังได้ว่าโจทก์ทั้งสองและจำเลยทั้งหกอยู่ในที่ดินแปลงที่ฝ่ายจำเลยเป็นผู้ยึดถือโฉนดไว้แต่ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยคนใดเป็นผู้มีชื่อในโฉนด จึงไม่มีหน้าที่จะต้องไปจดทะเบียนแบ่งแยกโฉนดที่ดินพิพาทให้โจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้อง
เรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลยกขึ้นได้เองตาม ป.วิ.พ.มาตรา 142 (5) ประกอบด้วยมาตรา 246, 247
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1397/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องครอบครองปรปักษ์: ฟ้องไม่ชัดเจน, วินิจฉัยนอกประเด็น, ไม่มีอำนาจฟ้อง
จำเลยให้การต่อสู้ไว้ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องจำเลยหาจำต้องอุทธรณ์ประเด็นนี้ไม่แต่เมื่อโจทก์อุทธรณ์ในประเด็นอื่นจำเลยได้กล่าวคำแก้อุทธรณ์ถึงประเด็นข้อนี้แล้วคดีจึงมีประเด็นตามคำแก้อุทธรณ์แต่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยให้เป็นการไม่ชอบศาลฎีกาหยิบยกปัญหาข้อนี้ขึ้นวินิจฉัยได้ โจทก์ฟ้องขอให้บังคับตามสิทธิที่โจทก์ได้ครอบครองที่ดินพิพาทอย่างเป็นเจ้าของมาเกินสิบปีการที่โจทก์บรรยายถึงการเป็นทายาทก็เพียงให้ทราบว่าโจทก์เข้ามาอยู่ในที่ดินพิพาทได้อย่างไรเท่านั้นไม่มีประเด็นเรื่องมรดกหรือขอแบ่งมรดกและที่ศาลชั้นต้นตั้งประเด็นไว้ข้อหนึ่งว่าโจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทหรือไม่ก็หมายความว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในฐานะที่ได้ครอบครองปรปักษ์หรือไม่ตามที่กล่าวในฟ้องนั่นเองการที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ทั้งสองเป็นทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกแทนอ. ถือว่าเป็นเจ้าของรวมและมีสิทธิฟ้องขอแบ่งที่ดินพิพาทได้นั้นจึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ทั้งสองร่วมกันครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลากว่า10ปีจำเลยทั้งหกเป็นทายาทผู้มีชื่อในโฉนดซึ่งยังมิได้มีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนขอให้จำเลยทั้งหกร่วมกันส่งมอบโฉนดเพื่อนำไปทำนิติกรรมแบ่งแยกที่ดินซึ่งจำเลยยึดถือโฉนดไว้ไม่ได้บรรยายว่าโจทก์ทั้งสองและจำเลยทั้งหกเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดดังกล่าวร่วมกันโจทก์ทั้งสองประสงค์จะแบ่งแยกทั้งมิได้มีคำขอให้ศาลมีคำสั่งแสดงว่าโจทก์ทั้งสองได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์แม้จะฟังได้ว่าโจทก์ทั้งสองและจำเลยทั้งหกอยู่ในที่ดินแปลงที่ฝ่ายจำเลยเป็นผู้ยึดถือโฉนดไว้แต่ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยคนใดเป็นผู้มีชื่อในโฉนดจึงไม่มีหน้าที่จะต้องไปจดทะเบียนแบ่งแยกโฉนดที่ดินพิพาทให้โจทก์ทั้งสองโจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้อง เรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลยกขึ้นได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142()ประกอบด้วยมาตรา246,247
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1352/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์: การคำนวณระยะเวลาครอบครองที่ถูกต้องตามวันถึงแก่กรรมของผู้ถือกรรมสิทธิ์เดิม
การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าบิดาผู้ร้องถึงแก่กรรมเมื่อวันที่22กันยายน2528เมื่อนับถึงวันยื่นคำร้องขอวันที่27สิงหาคม2535จึงยังไม่ครบ10ปีผู้ร้องจึงยังไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1382แสดงว่าหากนับจากวันที่บิดาผู้ร้องถึงแก่กรรมถึงวันที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเป็นเวลาครบ10ปีคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์จะเปลี่ยนไปเมื่อปรากฏว่าศาลอุทธรณ์ฟังพยานหลักฐานในสำนวนผิดพลาดเพราะความจริงบิดาผู้ร้องถึงแก่กรรมเมื่อวันที่16สิงหาคม2516เป็นเวลาก่อนที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอประมาณ19ปีไม่ใช่วันที่22กันยายน2528อันเป็นผลให้คำวินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมายคลาดเคลื่อนไปศาลฎีกาพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1310-1311/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์ & สิทธิในที่ดิน: สัญญาซื้อขายที่มีผลสมบูรณ์ แม้เอกสารสิทธิยังไม่โอน
ในขณะทำ สัญญาจะซื้อขายที่ดินมี เอกสารสิทธิเพียง น.ส.3จำเลยชำระเงินให้ ส. ผู้จะขายครบถ้วนและผู้จะขายได้มอบที่พิพาทให้จำเลยเข้าครอบครองแล้วตั้งแต่วันทำสัญญาแสดงว่าผู้จะขายได้สละการครอบครองและได้มอบการครอบครองให้แก่จำเลยแล้วตั้งแต่วันทำสัญญาเมื่อได้รับโฉนดที่ดินมาแล้วจำเลยยัง ครอบครองทำนาในที่พิพาทตลอดมาโดยไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้านพฤติการณ์เช่นนี้เห็นได้ว่าจำเลยได้ครอบครองที่พิพาทโดยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลา10ปีแล้วจำเลยจึงได้ กรรมสิทธิ์ในที่พิพาท แม้ชื่อสัญญาจะระบุว่าเป็น สัญญาจะซื้อจะขาย แต่ข้อความในสัญญาแสดงว่าคู่สัญญามีเจตนาที่จะโอนที่ดินให้แก่กันทันทีแต่มีเหตุติดขัดโอนให้แก่กันทันทีไม่ได้เพราะที่ดินอยู่ระหว่างการออกโฉนดดังนี้สัญญาดังกล่าวเป็น สัญญา ซื้อขายเสร็จเด็ดขาด จำเลยฟ้องขอให้ศาลแสดงว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยขอให้โจทก์ไปทำการแบ่งแยกที่พิพาทให้แก่จำเลยเป็นการฟ้องขอให้แสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินไม่ใช่ฟ้องให้ปฏิบัติตามสัญญา ซื้อขายที่ฟ้องระบุว่าจำเลยได้ที่ดินมาโดยการซื้อขายเป็นการบรรยายถึงที่มาของการได้ที่พิพาทมาเท่านั้นการฟ้องเช่นนี้ ไม่มี อายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1238/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ที่ดิน: โจทก์มีสิทธิเหนือกว่าจำเลย แม้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์
จำเลยที่1อยู่ในที่ดินพิพาทมาก่อนโจทก์รับโอนแต่ก็อยู่ในฐานะผู้อาศัยและได้รับอนุญาตจากโจทก์ให้อยู่ต่อเท่านั้นแม้ศาลชั้นต้นในคดีอื่นจะได้มีคำสั่งให้ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่1โดยการครอบครองปรปักษ์แต่คำสั่งศาลก็ไม่ผูกพันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกเมื่อโจทก์พิสูจน์ได้ว่าไม่ได้ละทิ้งการครอบครองและมีสิทธิดีกว่าจำเลยที่1ที่ดินพิพาทจึงยังเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์แม้เจ้าพนักงานที่ดินจะยกเลิกโฉนดที่ดินและออกใบแทนโฉนดที่ดินให้จำเลยที่1ใหม่แต่โฉนดที่ดินเป็นเพียงเอกสารแสดงกรรมสิทธิ์ในตัวทรัพย์เท่านั้นการที่เจ้าพนักงานที่ดินออกใบแทนโฉนดที่ดินให้ใหม่ก็เป็นไปตามคำสั่งศาลไม่มีผลกระทบกระเทือนหรือเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ของโจทก์แม้จำเลยที่2จะอ้างว่าซื้อที่ดินพิพาทมาโดยเสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนโดยสุจริตจำเลยที่2ก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์เพราะผู้รับโอนย่อมไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1200/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การได้มาซึ่งภารจำยอมต้องเป็นการใช้สิทธิอย่างปรปักษ์ การใช้ทางวิสาสะไม่ทำให้เกิดภารจำยอม แม้ใช้ทางต่อเนื่องเกิน 10 ปี
จำเลยมิได้ยื่นคำฟ้องฎีกาโต้แย้งว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ถูกต้อง เพียงแต่ยื่นคำแก้ฎีกาว่าฟ้องเคลือบคลุม นอกเหนือประเด็นที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไว้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยตามคำแก้ฎีกาของจำเลย ทางพิพาทในที่ดินของจำเลยตามที่โจทก์ฟ้อง โจทก์ได้ใช้เส้นทางพิพาทมาหลายปีแล้ว แต่ในการใช้ทางพิพาท ส.เคยใช้มาก่อนและโจทก์ได้ใช้ต่อมาอีกตอน ส. ใช้นั้นโจทก์ไม่นำสืบให้เห็นว่า ส. จะใช้ทางอย่างปรปักษ์อันจะทำให้เกิดสิทธิภารจำยอม เมื่อเห็น ส. ใช้ทางพิพาทมาโจทก์ก็ถือสิทธิใช้ต่อมา สภาพทางพิพาทเป็นทางที่อยู่ในทุ่งนาแม้บางตอนจะมีที่สูงบ้าง และโจทก์ได้ใช้เพื่อประโยชน์ในการทำนา ประกอบกับจำเลยยินยอมให้โจทก์ใช้ทางพิพาท จึงเป็นลักษณะที่โจทก์ใช้ทางพิพาทโดยถือวิสาสะ มิใช่เป็นการใช้สิทธิในทางพิพาทอย่างปรปักษ์อันจะทำให้เกิดสิทธิภารจำยอมแม้โจทก์จะใช้มาเกิน 10 ปี เมื่อไม่เป็นการใช้อย่างปรปักษ์ก็ไม่ได้สิทธิภารจำยอม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1200/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิภาระจำยอมจากการใช้ทาง: การใช้ทางต้องเป็นการปรปักษ์ ไม่ใช่การใช้โดยวิสาสะหรือการต่อจากผู้อื่น
จำเลยมิได้ยื่นคำฟ้องฎีกาโต้แย้งว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ถูกต้อง เพียงแต่ยื่นคำแก้ฎีกาว่าฟ้องเคลือบคลุม นอกเหนือประเด็นที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไว้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยตามคำแก้ฎีกาของจำเลย
ทางพิพาทในที่ดินของจำเลยตามที่โจทก์ฟ้อง โจทก์ได้ใช้เส้นทางพิพาทมาหลายปีแล้ว แต่ในการใช้ทางพิพาท ส.เคยใช้มาก่อนและโจทก์ได้ใช้ต่อมาอีกตอน ส.ใช้นั้นโจทก์ไม่นำสืบให้เห็นว่า ส.จะใช้ทางอย่างปรปักษ์อันจะทำให้เกิดสิทธิภาระจำยอม เมื่อเห็น ส.ใช้ทางพิพาทมาโจทก์ก็ถือสิทธิใช้ต่อมา สภาพทางพิพาทเป็นทางที่อยู่ในทุ่งนาแม้บางตอนจะมีที่สูงบ้าง และโจทก์ได้ใช้เพื่อประโยชน์ในการทำนา ประกอบกับจำเลยยินยอมให้โจทก์ใช้ทางพิพาท จึงเป็นลักษณะที่โจทก์ใช้ทางพิพาทโดยถือวิสาสะ มิใช่เป็นการใช้สิทธิในทางพิพาทอย่างปรปักษ์อันจะทำให้เกิดสิทธิภาระจำยอม แม้โจทก์จะใช้มาเกิน 10 ปี เมื่อไม่เป็นการใช้อย่างปรปักษ์ก็ไม่ได้สิทธิภาระจำยอม
ทางพิพาทในที่ดินของจำเลยตามที่โจทก์ฟ้อง โจทก์ได้ใช้เส้นทางพิพาทมาหลายปีแล้ว แต่ในการใช้ทางพิพาท ส.เคยใช้มาก่อนและโจทก์ได้ใช้ต่อมาอีกตอน ส.ใช้นั้นโจทก์ไม่นำสืบให้เห็นว่า ส.จะใช้ทางอย่างปรปักษ์อันจะทำให้เกิดสิทธิภาระจำยอม เมื่อเห็น ส.ใช้ทางพิพาทมาโจทก์ก็ถือสิทธิใช้ต่อมา สภาพทางพิพาทเป็นทางที่อยู่ในทุ่งนาแม้บางตอนจะมีที่สูงบ้าง และโจทก์ได้ใช้เพื่อประโยชน์ในการทำนา ประกอบกับจำเลยยินยอมให้โจทก์ใช้ทางพิพาท จึงเป็นลักษณะที่โจทก์ใช้ทางพิพาทโดยถือวิสาสะ มิใช่เป็นการใช้สิทธิในทางพิพาทอย่างปรปักษ์อันจะทำให้เกิดสิทธิภาระจำยอม แม้โจทก์จะใช้มาเกิน 10 ปี เมื่อไม่เป็นการใช้อย่างปรปักษ์ก็ไม่ได้สิทธิภาระจำยอม