พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,662 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 292/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิภาระจำยอมโดยอายุความ: การใช้ทางเข้าออกต่อเนื่องเกิน 10 ปี ทำให้ได้สิทธิภาระจำยอม แม้ฟ้องเดิมวินิจฉัยกรรมสิทธิ์
คดีเดิมที่จำเลยฟ้องโจทก์กับพวก อ้างว่าที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยการครอบครอง จำเลยนำเจ้าพนักงานที่ดินรังวัดแนวเขต โจทก์คัดค้านว่าเป็นของโจทก์ ประเด็นมีว่า ผู้ใดเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทส่วนคดีนี้มีประเด็นว่า ทางพิพาทในที่ดินดังกล่าวของจำเลยเป็นภาระจำยอมของโจทก์ตามกฎหมายหรือไม่ เป็นการวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุต่างกัน ฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
โจทก์ใช้ทางพิพาทซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ของจำเลยเป็นทางเข้าออกโดยสงบเปิดเผยด้วยเจตนาให้ได้สิทธิภาระจำยอมในที่ดินติดต่อกันมาเกิน 10 ปี ย่อมได้ภาระจำยอมโดยอายุความ
แม้ฟ้องโจทก์จะกล่าวถึงเนื้อที่ทางพิพาท 1 งาน 25 ตารางวาแต่แผนที่ซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินทำส่งศาลได้แสดงบริเวณที่โจทก์นำรังวัดขอเปิดทางภาระจำยอมเนื้อที่ประมาณ 1 งาน 25 ตารางวา และบริเวณเขตโฉนดที่ดินจำเลยนำรังวัดเนื้อที่ประมาณ 30 ไร่ 1 งาน 33 ตารางวา ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่าทางพิพาทกว้าง 2 วา ยาวถึงทางสาธารณะ จึงเป็นที่เดียวกัน ย่อมไม่เกินคำขอ
โจทก์ใช้ทางพิพาทซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ของจำเลยเป็นทางเข้าออกโดยสงบเปิดเผยด้วยเจตนาให้ได้สิทธิภาระจำยอมในที่ดินติดต่อกันมาเกิน 10 ปี ย่อมได้ภาระจำยอมโดยอายุความ
แม้ฟ้องโจทก์จะกล่าวถึงเนื้อที่ทางพิพาท 1 งาน 25 ตารางวาแต่แผนที่ซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินทำส่งศาลได้แสดงบริเวณที่โจทก์นำรังวัดขอเปิดทางภาระจำยอมเนื้อที่ประมาณ 1 งาน 25 ตารางวา และบริเวณเขตโฉนดที่ดินจำเลยนำรังวัดเนื้อที่ประมาณ 30 ไร่ 1 งาน 33 ตารางวา ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่าทางพิพาทกว้าง 2 วา ยาวถึงทางสาธารณะ จึงเป็นที่เดียวกัน ย่อมไม่เกินคำขอ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 213/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้ทางพิพาทเกิน 10 ปี ไม่เป็นภารจำยอม หากใช้โดยอาศัยสิทธิเจ้าของเดิม
โจทก์ทั้งหกใช้ทางพิพาทโดยขออาศัยสิทธิของเจ้าของทางพิพาทเดิมแม้จะใช้ทางพิพาทตลอดมาเกิน10ปีก็ไม่ถือว่าเป็นการใช้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาจะให้ได้สิทธิภารจำยอมทางพิพาทจึงไม่ตกอยู่ในภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 213/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้ทางพิพาทเกิน 10 ปี ไม่ถือเป็นการได้สิทธิภาระจำยอม หากขาดเจตนาและลักษณะตามกฎหมาย
โจทก์ทั้งหกใช้ทางพิพาทโดยขออาศัยสิทธิของเจ้าของทางพิพาทเดิม แม้จะใช้ทางพิพาทตลอดมาเกิน 10 ปี ก็ไม่ถือว่าเป็นการใช้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาจะให้ได้สิทธิภาระจำยอม ทางพิพาทจึงไม่ตกอยู่ในภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 201/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์ต้องพิสูจน์เจตนาเป็นเจ้าของต่อเนื่อง 10 ปี แม้ครอบครองนานก็ไม่ทำให้ได้กรรมสิทธิ์หากไม่ได้มาด้วยเจตนาที่ถูกต้อง
ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทที่เป็นของโจทก์ด้านทิศตะวันตกซึ่งจำเลยอ้างว่าจำเลยได้ครอบครองปรปักษ์มีเฉพาะจากหลักหมุดที่ 1 มาถึงหลักหมุดที่ 4 ด้านทิศตะวันออกนั้น ศาลอุทธรณ์ไปรับฟังเอาจากรายงานกระบวนพิจารณาการเดินเผชิญสืบของศาลชั้นต้นลงวันที่ 24 สิงหาคม 2531 ซึ่งเป็นการรับฟังที่ผิดไปจากรายงานกระบวนพิจารณา เพราะรายงานกระบวนพิจารณาดังกล่าวมิได้มีข้อความดังที่ศาลอุทธรณ์รับฟัง การรับฟังพยานของศาลอุทธรณ์ในส่วนนี้จึงไม่ชอบ ซึ่งเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย แม้ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท โจทก์ก็ฎีกาได้ และศาลฎีกามีอำนาจฟังข้อเท็จจริงในประเด็นว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์หรือของจำเลย และประเด็นว่าโจทก์ได้รับความเสียหายหรือไม่เพียงใดอันเป็นประเด็นที่เกี่ยวเนื่องมาจากประเด็นแรกเสียใหม่โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอีกเพราะคู่ความได้นำสืบมาสิ้นกระแสความแล้ว ทั้งนี้ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 243 ประกอบมาตรา 247
ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่มีโฉนดที่ดินมาตั้งแต่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าซึ่งออกก่อนที่บิดามารดาจำเลยจะเข้ามาอยู่ในที่ดินพิพาท จำเลยอ้างว่าจำเลยสืบสิทธิการครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทต่อมาจากบิดามารดาจำเลยจนได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท จำเลยมีหน้าที่พิสูจน์ให้ได้ความแน่ชัดว่าบิดามารดาจำเลยและจำเลยได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลา 10 ปี แต่พยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบมายังฟังไม่ได้ว่าบิดามารดาจำเลยเข้ายึดถือครอบครองที่ดินพิพาทด้วยเจตนาเป็นเจ้าของโดยมิได้อาศัยสิทธิของเจ้าของที่ดินพิพาท แม้ครอบครองที่ดินพิพาทมานานเท่าใดก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382และแม้ว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทต่อจากบิดามารดาจำเลยก็หาทำให้จำเลยมีสิทธิเหนือกว่าบิดามารดาจำเลยไม่ จำเลยจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท
ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่มีโฉนดที่ดินมาตั้งแต่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าซึ่งออกก่อนที่บิดามารดาจำเลยจะเข้ามาอยู่ในที่ดินพิพาท จำเลยอ้างว่าจำเลยสืบสิทธิการครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทต่อมาจากบิดามารดาจำเลยจนได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท จำเลยมีหน้าที่พิสูจน์ให้ได้ความแน่ชัดว่าบิดามารดาจำเลยและจำเลยได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลา 10 ปี แต่พยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบมายังฟังไม่ได้ว่าบิดามารดาจำเลยเข้ายึดถือครอบครองที่ดินพิพาทด้วยเจตนาเป็นเจ้าของโดยมิได้อาศัยสิทธิของเจ้าของที่ดินพิพาท แม้ครอบครองที่ดินพิพาทมานานเท่าใดก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382และแม้ว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทต่อจากบิดามารดาจำเลยก็หาทำให้จำเลยมีสิทธิเหนือกว่าบิดามารดาจำเลยไม่ จำเลยจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 201/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์: จำเลยพิสูจน์เจตนาเป็นเจ้าของและระยะเวลาครอบครองไม่ได้ ศาลยืนตามกรรมสิทธิ์เดิม
ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทที่เป็นของโจทก์ด้านทิศตะวันตกซึ่งจำเลยอ้างว่าจำเลยได้ครอบครองปรปักษ์มีเฉพาะจากหลักหมุดที่1มาถึงหลักหมุดที่4ด้านทิศตะวันออกนั้นศาลอุทธรณ์ไปรับฟังเอาจากรายงานกระบวนพิจารณาการเดินเผชิญสืบของศาลชั้นต้นลงวันที่24สิงหาคม2531ซึ่งเป็นการรับฟังที่ผิดไปจากรายงานกระบวนพิจารณาเพราะรายงานกระบวนพิจารณาดังกล่าวมิได้มีข้อความดังที่ศาลอุทธรณ์รับฟังการรับฟังพยานของศาลอุทธรณ์ในส่วนนี้จึงไม่ชอบซึ่งเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายแม้ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน200,000บาทโจทก์ก็ฎีกาได้และศาลฎีกามีอำนาจฟังข้อเท็จจริงในประเด็นว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์หรือของจำเลยและประเด็นว่าโจทก์ได้รับความเสียหายหรือไม่เพียงใดอันเป็นประเด็นที่เกี่ยวเนื่องมาจากประเด็นแรกเสียใหม่โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอีกเพราะคู่ความได้นำสืบมาสิ้นกระแสความแล้วทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความมาตรา243ประกอบมาตรา247 ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่มีโฉนดที่ดินมาตั้งแต่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าซึ่งออกก่อนที่บิดามารดาจำเลยจะเข้ามาอยู่ในที่ดินพิพาทจำเลยอ้างว่าจำเลยสืบสิทธิการครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทต่อมาจากบิดามารดาจำเลยจนได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทจำเลยมีหน้าที่พิสูจน์ให้ได้ความแน่ชัดว่าบิดามารดาจำเลยและจำเลยได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลา10ปีแต่พยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบมายังฟังไม่ได้ว่าบิดามารดาจำเลยเข้ายึดถือครอบครองที่ดินพิพาทด้วยเจตนาเป็นเจ้าของโดยมิได้อาศัยสิทธิของเจ้าของที่ดินพิพาทแม้ครอบครองที่ดินพิพาทมานานเท่าใดก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1382และแม้ว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทต่อจากบิดามารดาจำเลยก็หาทำให้จำเลยมีสิทธิเหนือกว่าบิดามารดาจำเลยไม่จำเลยจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดินเพื่อก่อสร้างโรงเรียนสอนศาสนาอิสลาม ไม่ถือเป็นการครอบครองปรปักษ์เพื่อได้กรรมสิทธิ์
บิดาจำเลยยกที่ดินพิพาทให้ก็เพื่อให้บิดาโจทก์ใช้เป็นสถานที่ก่อสร้างโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามอันเป็นการยกให้ตามหลักศาสนาอิสลามมิได้มีความประสงค์ที่จะยกที่ดินพิพาทให้แก่บิดาโจทก์เป็นสิทธิส่วนตัวซึ่งบิดาโจทก์ทราบถึงเจตนาของบิดาจำเลยและข้อบัญญัติของศาสนาอิสลามเพราะเป็นครูสอนศาสนาอิสลามแม้โจทก์เองซึ่งเป็นผู้ดำเนินกิจการของโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามต่อจากบิดาก็ทราบดีว่าที่ดินที่บิดาจำเลยยกให้นั้นมิได้ยกให้เป็นสิทธิส่วนตัวของบิดาโจทก์แต่ยกให้แก่โรงเรียนสอนศาสนาการที่บิดาโจทก์ครอบครองดูแลที่ดินพิพาทตั้งแต่ได้รับยกให้จากบิดาจำเลยจึงเป็นการครอบครองดูแลรักษาตามบทบัญญัติของศาสนาอิสลามบิดาโจทก์มิได้มีเจตนายึดถือครอบครองที่ดินพิพาทเพื่อตนด้วยเจตนาเป็นเจ้าของแม้ครอบครองที่ดินพิพาทมานานเท่าใดบิดาโจทก์หรือโจทก์ก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1382
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดินเพื่อกิจการศาสนาอิสลาม ไม่ก่อให้เกิดกรรมสิทธิ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382
บิดาจำเลยยกที่ดินพิพาทให้ก็เพื่อให้บิดาโจทก์ใช้เป็นสถานที่ก่อสร้างโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามอันเป็นการยกให้ตามหลักศาสนาอิสลามมิได้มีความประสงค์ที่จะยกที่ดินพิพาทให้แก่บิดาโจทก์เป็นสิทธิส่วนตัว ซึ่งบิดาโจทก์ทราบถึงเจตนาของบิดาจำเลยและข้อบัญญัติของศาสนาอิสลามเพราะเป็นครูสอนศาสนาอิสลาม แม้โจทก์เองซึ่งเป็นผู้ดำเนินกิจการของโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามต่อจากบิดาก็ทราบดีว่าที่ดินที่บิดาจำเลยยกให้นั้นมิได้ยกให้เป็นสิทธิส่วนตัวของบิดาโจทก์ แต่ยกให้แก่โรงเรียนสอนศาสนา การที่บิดาโจทก์ครอบครองดูแลที่ดินพิพาทตั้งแต่ได้รับยกให้จากบิดาจำเลยจึงเป็นการครอบครองดูแลรักษาตามบทบัญญัติของศาสนาอิสลาม บิดาโจทก์มิได้มีเจตนายึดถือครอบครองที่ดินพิพาทเพื่อตนด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ แม้ครอบครองที่ดินพิพาทมานานเท่าใด บิดาโจทก์หรือโจทก์ก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์โดยการครอบครอง: ครอบครองปรนนิบัติโดยสงบและเปิดเผยเกิน 10 ปี
โจทก์ได้ครอบครองที่พิพาทไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลาเกินกว่าสิบปีและการครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นนั้นหามีกฎหมายบัญญัติว่าผู้ครอบครองจำต้องรู้ว่าทรัพย์สินที่ครอบครองนั้นเป็นของผู้อื่นหรือมิใช่ทรัพย์ของตนแต่อย่างใดไม่โจทก์จึงได้กรรมสิทธิในที่พิพาทด้วยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1382
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิจากการครอบครอง: ไม่จำต้องรู้ว่าเป็นของผู้อื่น
โจทก์ได้ครอบครองที่พิพาทไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลาเกินกว่าสิบปี และการครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นนั้นหามีกฎหมายบัญญัติว่าผู้ครอบครองจำต้องรู้ว่าทรัพย์สินที่ครอบครองนั้นเป็นของผู้อื่น หรือมิใช่ทรัพย์ของตนแต่อย่างใดไม่ โจทก์จึงได้กรรมสิทธิในที่พิพาทด้วยการครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7475/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภารจำยอมโดยอายุความ: ระยะเวลาการใช้ทางเดินข้ามที่ดินของผู้อื่นเกิน 10 ปี ทำให้เกิดสิทธิภารจำยอม
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1387 และ 1388 เพ่งเล็งถึงความสำคัญของที่ดินที่เป็นสามยทรัพย์และภารยทรัพย์ ไม่ใช่ตัวบุคคลผู้เป็นเจ้าของทรัพย์ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 24324 มาจาก ส. เมื่อวันที่ 25สิงหาคม 2520 จนถึงวันที่ ส. ขายที่พิพาทให้แก่จำเลยทั้งสามเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2529 เป็นระยะเวลาเพียง 8 ปีเศษ แต่หลังจากนั้นโจทก์ยังคงใช้ทางเดินในที่พิพาทติดต่อมาในช่วงที่จำเลยทั้งสามเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทอีก 2 ปีเศษถือได้ว่าที่ดินพิพาทซึ่งเป็นของจำเลยทั้งสามมีทางเดินเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินแปลงของโจทก์มาเกินกว่า 10 ปีแล้ว ย่อมเกิดภารจำยอมโดยอายุความได้สิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1401