คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.พ.พ. ม. 1382

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,662 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3018/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายบ้านโดยไม่จดทะเบียน และข้อจำกัดการฎีกาในคดีทรัพย์สินราคาไม่เกินสองแสนบาท
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยและครอบครัวเข้าอยู่ในบ้านพิพาทโดยอาศัยโจทก์ แม้จะอยู่มาเกิน 10 ปี ก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในบ้านพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ จำเลยฎีกาว่าจำเลยซื้อบ้านพิพาทจากโจทก์ในราคา 8,000 บาท เมื่อปี 2516จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในบ้านพิพาทแล้วจึงเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเมื่อคดีนี้ราคาทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขใหม่ ซึ่งมีผลบังคับก่อนที่จำเลยยื่นฎีกา คู่ความจะฎีกาได้หรือไม่เพียงใด ต้องพิเคราะห์ตามบทกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะยื่นฎีกา ฎีกาของจำเลยจึงต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3018/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจำกัดสิทธิฎีกาในข้อเท็จจริงเมื่อราคาทรัพย์สินต่ำกว่าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยและครอบครัวเข้าอยู่ในบ้านพิพาทโดยอาศัยโจทก์ แม้จะอยู่มาเกิน 10 ปี ก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในบ้าน-พิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ จำเลยฎีกาว่า จำเลยซื้อบ้านพิพาทจากโจทก์ในราคา 8,000 บาท เมื่อปี 2516 จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในบ้านพิพาทแล้วจึงเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อคดีนี้ราคาทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขใหม่ ซึ่งมีผลบังคับก่อนที่จำเลยยื่นฎีกา คู่ความจะฎีกาได้หรือไม่เพียงใด ต้องพิเคราะห์ตามบทกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะยื่นฎีกา ฎีกาของจำเลยจึงต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2874/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรุกล้ำที่ดิน: แม้ครอบครองนาน ก็ยังต้องรื้อถอน หากละเมิดต่อเนื่อง อายุความไม่ขาด
โจทก์กับจำเลยมีบ้านอยู่ติดกัน และหลังคาบ้านกับรางน้ำฝนบางส่วนของโจทก์รุกล้ำเข้ามาในเขตที่ดินของจำเลย ดังนี้ แม้โจทก์จะซื้อที่ดินพร้อมบ้านมาจากเจ้าของเดิมและโจทก์ได้ครอบครองทั้งบ้านและที่ดินมากว่า 20 ปี แต่การละเมิดที่หลังคาบ้านและรางน้ำฝนบางส่วนของโจทก์รุกล้ำแดนกรรมสิทธิ์ที่ดินของจำเลยคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องจนถึงวันฟ้องและปัจจุบัน จำเลยชอบที่จะฟ้องให้โจทก์รื้อหลังคาและรางน้ำฝนส่วนที่รุกล้ำแดนกรรมสิทธิ์ที่ดินของจำเลยได้ฟ้องแย้งของจำเลยจึงไม่ขาดอายุความ การที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่า ถ้าโจทก์ไม่รื้อหลังคาและรางน้ำฝนส่วนที่รุกล้ำที่ดินของจำเลยออกไป ให้จำเลยเป็นผู้รื้อโดยโจทก์เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายนั้นเป็นการไม่ชอบ เพราะกรณีต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 ทวิ ซึ่งจำเลยชอบที่จะขอต่อศาลให้มีคำสั่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นผู้ดำเนินการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2813/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์ต้องสมบูรณ์ตามกฎหมาย การครอบครองโดยอาศัยสิทธิของผู้อื่นไม่ทำให้ได้กรรมสิทธิ์
ส.ตกลงขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่1โดยส.มีเจตนาจะไปทำสัญญาซื้อขายและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่จำเลยที่ 1 ตามกฎหมายอีกครั้งหนึ่ง เมื่อการซื้อขายรายนี้ยังไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ นิติกรรมซื้อขายย่อมไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย การที่จำเลยที่ 1 เข้าครอบครองที่ดินพิพาทจึงเป็นการครอบครองโดยอาศัยสิทธิของ ส. อันเป็นการยึดถือที่ดินพิพาทแทน ส. มิใช่ยึดถือในฐานะเป็นเจ้าของแม้จะครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาเกินสิบปี จำเลยที่ 1ก็มิได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 แม้จำเลยที่ 1 จะให้การต่อสู้ไว้ในคำให้การว่า จำเลยที่ 1ปลูกสร้างอาคารในที่ดินพิพาทโดยสุจริต ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1310 ไม่จำต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไป แต่ศาลชั้นต้นมิได้ยกปัญหาดังกล่าวขึ้นวินิจฉัย และจำเลยที่ 1 มิได้ยกข้อนี้ขึ้นอุทธรณ์ในชั้นอุทธรณ์ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2813/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์ไม่สมบูรณ์เนื่องจากยังมิได้จดทะเบียนซื้อขาย และข้อจำกัดในการฎีกาประเด็นใหม่
ส.ตกลงขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 โดย ส.มีเจตนาจะไปทำสัญญาซื้อขายและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่จำเลยที่ 1 ตามกฎหมายอีกครั้งหนึ่ง เมื่อการซื้อขายรายนี้ยังไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ นิติกรรมซื้อขายย่อมไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย การที่จำเลยที่ 1 เข้าครอบครองที่ดินพิพาทจึงเป็นการครอบครองโดยอาศัยสิทธิของ ส.อันเป็นการยึดถือที่ดินพิพาทแทน ส.มิใช่ยึดถือในฐานะเป็นเจ้าของ แม้จะครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาเกินสิบปีจำเลยที่ 1 ก็มิได้กรรมสิทธิ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382
แม้จำเลยที่ 1 จะให้การต่อสู้ไว้ในคำให้การว่า จำเลยที่ 1ปลูกสร้างอาคารในที่ดินพิพาทโดยสุจริต ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1310 ไม่จำต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไป แต่ศาลชั้นต้นมิได้ยกปัญหาดังกล่าวขึ้นวินิจฉัย และจำเลยที่ 1 มิได้ยกข้อนี้ขึ้นอุทธรณ์ในชั้นอุทธรณ์ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2666/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การได้ภารจำยอมต้องเริ่มนับอายุความหลังแบ่งแยกที่ดิน การใช้ทางก่อนแบ่งแยกไม่ถือเป็นอายุความ
เดิมที่ดินของโจทก์จำเลยเป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้าของคนเดียวกันเมื่อแบ่งแยกแล้วทางพิพาทอยู่ในที่ดินส่วนของจำเลย แม้โจทก์จะได้ใช้ทางพิพาทเป็นทางเดินออกสู่ทางสาธารณะมาเกิน 10 ปีการที่โจทก์อยู่อาศัยในบ้านของโจทก์ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินนั้นใช้ทางพิพาทออกสู่ทางสาธารณะในระหว่างนั้น ย่อมเป็นผู้ใช้สิทธิในฐานะเป็นบริวารและใช้โดยอาศัยอำนาจของเจ้าของเดิมเมื่อที่ดินเป็นของเจ้าของรายเดียวกัน ย่อมไม่มีเจ้าของสามยทรัพย์กับเจ้าของภารยทรัพย์อันจะทำให้เกิดมีภารจำยอมขึ้นได้ ผู้อยู่ในที่ดินจะใช้ทางนานเพียงใด ทางพิพาทก็ไม่ตกอยู่ในภารจำยอม อายุความการได้ภารจำยอมหากจะมีก็ต้องเริ่มนับตั้งแต่ได้แบ่งแยกที่ดินโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2557/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภาระจำยอมโดยการใช้ทางต่อเนื่อง แม้ที่ดินแบ่งแยกโฉนดใหม่ หากโจทก์ใช้ทางต่อเนื่องก่อนแบ่งแยก ก็ยังคงมีภาระจำยอมได้
ช. บิดาโจทก์ทั้งสองทำทางพิพาทตั้งแต่ พ.ศ.2519 ทั้ง ช.โจทก์ทั้งสองและครอบครัวตลอดจนราษฎรได้ใช้ทางพิพาทเข้าออกทางสาธารณะมาจนถึงวันที่จำเลยทำลายทางพิพาทเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้วโดยไม่ได้ขออนุญาตเจ้าของที่ดินที่ทางพิพาทผ่าน ทางพิพาทจึงตกเป็นทางภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ทั้งสอง
ปัญหาที่จำเลยฎีกาว่า ที่ดินของโจทก์กับที่ดินของจำเลยที่มีทางพิพาทผ่านเดิมเป็นที่ดินแปลงเดียวกันเพิ่งแบ่งแยกโฉนดนับถึงวันฟ้องยังไม่ถึง10 ปี ทางพิพาทจึงไม่ตกเป็นภาระจำยอมนั้น จำเลยไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาตั้งแต่ศาลชั้นต้น ทั้งมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยจึงชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2468/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิภาระจำยอมเกิดจากการใช้ทางต่อเนื่อง แม้เจ้าของที่ดินเปลี่ยนมือ อายุความภาระจำยอม
ที่ดินพิพาทเดิมเป็นแปลงเดียวกัน ต่อมามีการแบ่งแยกโฉนดและเจ้าของโดยโอนมาเป็นของโจทก์หนึ่งแปลง และเป็นของจำเลยหนึ่งแปลง บรรพบุรุษของโจทก์รวมทั้งโจทก์ใช้ทางเดินในที่ดินของจำเลยมานานหลายสิบปีเพื่อออกสู่ถนนสาธารณะ แม้ก่อน ๆ นั้นผู้เป็นเจ้าของเดิมของที่ดินทั้งสองแปลงจะเป็นญาติกันแต่ผู้ใช้ทางก็มิได้ขออนุญาตหรืออาศัยสิทธิของผู้ใด ผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินแต่ละแปลงต่อ ๆ มาก็มิได้เป็นญาติเกี่ยวข้องกัน ถือไม่ได้ว่าเป็นการใช้ทางเดินอย่างฉันพี่น้องกันแต่กลับแสดงให้เห็นว่าเจ้าของเดิมใช้ทางในที่ดินที่โอนมาเป็นของจำเลยอย่างเป็นเจ้าของโดยมิได้อาศัยสิทธิของผู้ใด ทางพิพาทจึงเป็นทางภาระจำยอม
ก่อนแบ่งแยกโฉนด เจ้าของเดิมต่างครอบครองเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดดังกล่าวคนละแปลงเป็นสัดส่วนจนครบ 10 ปีแล้ว ต่างฝ่ายจึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในส่วนที่ตนครอบครองแต่ผู้เดียว ต่อมาที่ดินดังกล่าวตกมาเป็นของโจทก์และจำเลยคนละแปลงโดยเจ้าของเดิมในที่ดินของโจทก์เดินผ่านที่ดินของจำเลยมากว่า 10 ปี เจ้าของเดิมในที่ดินของโจทก์จึงได้สิทธิภาระจำยอมในที่ดินของจำเลยโจทก์ผู้รับโอนที่ดินมาย่อมได้สิทธิดังกล่าวด้วย แม้ที่ดินแปลงใหญ่เพิ่งจะมีการแบ่งแยกและโอนกรรมสิทธิ์นับถึงวันฟ้องคดีนี้โจทก์ใช้ทางพิพาทได้เพียง 2 ปี ทางพิพาทย่อมเป็นภาระจำยอมโดยอายุความเพราะโจทก์เป็นผู้สืบสิทธิต่อจากเจ้าของเดิม
โจทก์ฟ้องขอให้ทางพิพาทตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์จึงชอบที่จะขอให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนสิทธิภาระจำยอมได้ เพราะเป็นการกระทำอันจำเป็นเพื่อรักษาสิทธิของโจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1391 ประการหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2315/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์: ครอบครองโดยสำคัญผิดถึงความเป็นเจ้าของก็มีผล
ที่พิพาทเป็นของจำเลย โจทก์ทั้งสองครอบครองโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลา 10 ปีแล้วแม้จะครอบครองโดยสำคัญผิดว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสองก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการครอบครองที่ดินของโจทก์ทั้งสองเอง หากแต่ต้องถือว่าเป็นการครอบครองที่ดินของบุคคลอื่น ดังนี้โจทก์ทั้งสองย่อมได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทตามนัยแห่ง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 หาจำต้องเป็นการครอบครองโดยรู้ว่าที่พิพาทเป็นที่ดินของบุคคลอื่นไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2079/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์ที่ดินจากการครอบครองปรปักษ์ แม้การโอนไม่เป็นไปตามฟอร์ม
การที่ อ.ยกที่ดินมีโฉนดให้แก่โจทก์และ ก. การยกให้นั้นมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แต่ได้มอบโฉนดที่ดินและใบนำสำรวจพื้นที่ดินเพื่อเสียภาษีบำรุงท้องที่ให้แก่โจทก์ โจทก์กับ ก.ต่างครอบครองที่ดินที่ได้รับการยกให้นั้นตามส่วนของตน เมื่อโจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทมาเกินกว่า10 ปี โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ โจทก์ย่อมได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382
คำขอท้ายฟ้องของโจทก์ที่ให้เพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นที่มีคำสั่งว่า ก.ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาททั้งแปลงนั้น ศาลไม่อาจบังคับได้เพราะคำสั่งดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว แต่โจทก์เป็นบุคคลนอกคดีสามารถพิสูจน์ได้ว่าที่ดินพิพาทส่วนหนึ่งเป็นของโจทก์ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 (2)
of 167