พบผลลัพธ์ทั้งหมด 350 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 251/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกู้ยืมเงินที่ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ: สัญญาไม่สมบูรณ์ แม้มีจดหมายหรือเช็คก็ใช้บังคับคดีไม่ได้
โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้จากจำเลยโดยอาศัยจดหมายที่จำเลยเขียนไปถึงโจทก์ และเช็คที่โจทก์สั่งจ่ายเงินที่ขอกู้นั้นให้จำเลยเป็นหลักฐานจดหมายนั้นมีข้อความเพียงว่า'เฮียสุพจน์ (โจทก์) กรุณามอบเช็คหรือเงินสดจำนวนหนึ่งหมื่นบาทถ้วนตามที่พูดกันไว้กับสังวรณ์ไปด้วย ให้เซ็นรับไป' แล้วจำเลยลงชื่อลงวันที่ที่เขียนจดหมาย ดังนี้ จดหมายดังกล่าวไม่มีข้อความตอนใดเลยพอที่จะแสดงว่าจำเลยเป็นลูกหนี้โจทก์ และจะใช้เงินคืนให้โจทก์ จึงไม่เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืม ส่วนเช็คนั้นก็เป็นหลักฐานแต่เพียงว่าโจทก์ได้จ่ายเช็คของโจทก์ให้จำเลยจริง และจำเลยรับเงินตามเช็คนั้นแล้ว จึงไม่เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเช่นกันเมื่อการกู้ยืมระหว่างโจทก์จำเลยไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือโจทก์จึงฟ้องบังคับคดีไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 251/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกู้ยืมเงินที่ปราศจากหลักฐานเป็นหนังสือที่ชัดเจน การฟ้องเรียกเงินกู้จึงไม่สำเร็จ
โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้จากจำเลยโดยอาศัยจดหมายที่จำเลยเขียนไปถึงโจทก์และเช็คที่โจทกสั่งจ่ายเงินที่ขอกู้นั้นให้ จำเลยเป็นหลักฐาน จดหมายนั้นมีข้อความเพียงว่า "เฮียสุพจน์ (โจทก์) กรุณามอบเช็คหรือเงินสดจำนวนหนึ่งหมื่นบาทถ้วนตามที่พูดกันไว้กับสังวรณ์ไปด้วยให้เซ็นรับไป" แล้วจำเลยลงชื่อลงวันที่ที่เขียนจดหมาย ดังนี้ จดหมายดังกล่าวไม่มีข้อข่วมตอนใดเลยพอที่จะแสดงว่าจำเลยเป็นลูกหนี้โจทก์และจะใช้เงินคืนให้โจทก์จึงไม่เป็น หลักฐานแห่งการกู้ยืมส่วนเช็คนั้นก็เป็นหลักฐานแต่เพียงว่าโจทก์ได้จ่ายเช็คของโจทก์ให้จำเลยจริง และจำเลยรับเงินตามเช็คนั้นแล้วจึงไม่เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเช่นกันเมื่อการกู้ยืมระหว่างโจทก์จำเลยไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือโจทก์จึงฟ้องบังคับคดีไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 250/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อพิพาทเรื่องการบุกรุกที่ดินและกรรมสิทธิ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามข้อเท็จจริงไม่ครบถ้วนตามกฎหมาย
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบุกรุกที่ดินราคา 4,000 บาท ขอห้ามมิให้เกี่ยวข้อง จำเลยต่อสู้กรรมสิทธิ์และฟ้องแย้งขอห้ามกับให้โจทก์รื้อกองฟางและถมบ่อ ดังนี้ เป็นคดีมีทุนทรัพย์ไม่เกิน 5,000 บาท ไม่ถือทุนทรัพย์รวม 2 คดี ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ฎีกาข้อเท็จจริงไม่ได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 237/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดเกี่ยวกับยา สถานพยาบาล และการประกอบวิชาชีพเวชกรรม โดยไม่ได้รับอนุญาต
คำว่า 'ขาย' ตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติยาพ.ศ.2510 หมายความถึงจำหน่าย จ่าย แจก หรือแลกเปลี่ยนเพื่อประโยชน์ในการค้า และมีไว้เพื่อขายด้วย
ยาที่จำเลยได้ขายและมีไว้เพื่อขายโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นทรัพย์สินที่ต้องริบตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ.2510 มาตรา 126 ส่วนเครื่องมือและอุปกรณ์การแพทย์ซึ่งจำเลยใช้ในการรักษาพยาบาลคนไข้ในสถานพยาบาลซึ่งจำเลยเป็นผู้ดำเนินการโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นทรัพย์สินที่ศาลมีอำนาจสั่งริบได้ตามพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ.2504 มาตรา 37
พระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ.2504 มาตรา 38 เป็นกรณีที่ผู้ได้รับอนุญาตให้ดำเนินการสถานพยาบาลอยู่ก่อนและได้ดำเนินการต่อไปเมื่อใบอนุญาตสิ้นอายุแล้ว จำเลยไม่ได้รับอนุญาตให้เป็นผู้ดำเนินการสถานพยาบาล แต่ได้เปิดดำเนินการสถานพยาบาลการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ.2504 มาตรา 37
พระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2511 ยกเลิกพระราชบัญญัติควบคุมการประกอบโรคศิลปะในส่วนที่เกี่ยวกับเวชกรรมดังนั้นการที่โจทก์อ้างพระราชบัญญัติควบคุมการประกอบโรคศิลปะ ซึ่งเป็นกฎหมายที่ถูกยกเลิกแล้ว มาขอให้ลงโทษจำเลยเท่ากับโจทก์ไม่ได้อ้างกฎหมายเลย ศาลยกข้อนี้ขึ้นวินิจฉัยยกฟ้องได้เอง
ความผิดตามพระราชบัญญัติสถานพยาบาล ฯ พระราชบัญญัติยา ฯขายยาและดำเนินการสถานพยาบาลโดยไม่ได้รับอนุญาตซึ่งได้กระทำในระหว่างวันเวลาเดียวกัน เป็นความผิดหลายกระทง ศาลลงโทษเรียงกระทงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ซึ่งแก้ไขโดยประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 พ.ศ.2514 ข้อ2
ยาที่จำเลยได้ขายและมีไว้เพื่อขายโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นทรัพย์สินที่ต้องริบตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ.2510 มาตรา 126 ส่วนเครื่องมือและอุปกรณ์การแพทย์ซึ่งจำเลยใช้ในการรักษาพยาบาลคนไข้ในสถานพยาบาลซึ่งจำเลยเป็นผู้ดำเนินการโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นทรัพย์สินที่ศาลมีอำนาจสั่งริบได้ตามพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ.2504 มาตรา 37
พระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ.2504 มาตรา 38 เป็นกรณีที่ผู้ได้รับอนุญาตให้ดำเนินการสถานพยาบาลอยู่ก่อนและได้ดำเนินการต่อไปเมื่อใบอนุญาตสิ้นอายุแล้ว จำเลยไม่ได้รับอนุญาตให้เป็นผู้ดำเนินการสถานพยาบาล แต่ได้เปิดดำเนินการสถานพยาบาลการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ.2504 มาตรา 37
พระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2511 ยกเลิกพระราชบัญญัติควบคุมการประกอบโรคศิลปะในส่วนที่เกี่ยวกับเวชกรรมดังนั้นการที่โจทก์อ้างพระราชบัญญัติควบคุมการประกอบโรคศิลปะ ซึ่งเป็นกฎหมายที่ถูกยกเลิกแล้ว มาขอให้ลงโทษจำเลยเท่ากับโจทก์ไม่ได้อ้างกฎหมายเลย ศาลยกข้อนี้ขึ้นวินิจฉัยยกฟ้องได้เอง
ความผิดตามพระราชบัญญัติสถานพยาบาล ฯ พระราชบัญญัติยา ฯขายยาและดำเนินการสถานพยาบาลโดยไม่ได้รับอนุญาตซึ่งได้กระทำในระหว่างวันเวลาเดียวกัน เป็นความผิดหลายกระทง ศาลลงโทษเรียงกระทงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ซึ่งแก้ไขโดยประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 พ.ศ.2514 ข้อ2
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 157/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การมีส่วนร่วมในการกระทำผิดทางอาญาและการเป็นผู้เสียหาย: อุทธรณ์ข้อกฎหมาย vs. ข้อเท็จจริง
ในคดีฉ้อโกงศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า อ. ได้นำเงินไปลงหุ้นกับจำเลยและพวกเพื่อที่จะเล่นการพนันโดยไม่ได้รับอนุญาต แล้ววินิจฉัยว่าการที่ อ.นำเงินไปเข้าหุ้นนั้นกระทำไปโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะกระทำผิดกฎหมาย อ.จึงไม่ใช่ผู้เสียหายตามกฎหมายโจทก์อุทธรณ์ว่า ไม่ควรฟังว่า อ.ไม่ใช่ผู้เสียหายเพราะ อ.ไม่ได้มีส่วนร่วมในการกระทำผิดด้วยเนื่องจากได้ยับยั้งไม่กระทำการให้ตลอด อุทธรณ์ของโจทก์ดังกล่าวไม่ได้โต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นฟังมาโดยให้ฟังเป็นอย่างอื่นเลยคงอุทธรณ์โต้เถียง แต่เพียงว่าการกระทำของ อ.ตามที่ศาลชั้นต้นฟังมานั้นจะถือว่า อ.ไม่ใช่ผู้เสียหายหาได้ไม่เท่านั้นจึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 157/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การมีส่วนร่วมในความผิดทางอาญาและการเป็นผู้เสียหาย: อุทธรณ์โต้แย้งข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยถือเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย
ในคดีฉ้อโกง ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า อ. ได้นำเงินไปลงหุ้นกับจำเลยและพวกเพื่อที่จะเล่นการพนันโดยไม่ได้รับอนุญาตแล้ววินิจฉัยว่าการที่ อ. นำเงินไปเข้าหุ้นนั้นกระทำไปโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะกระทำผิดกฎหมาย อ. จึงไม่ใช่ผู้เสียหายตามกฎหมายโจทก์อุทธรณ์ว่า ไม่ควรฟังว่า อ. ไม่ใช่ผู้เสียหายเพราะ อ. ไม่ได้มีส่วนร่วมในการกระทำผิดด้วยเนื่องจากได้ยับยั้งไม่กระทำการให้ตลอดอุทธรณ์ของโจทก์ดังกล่าวไม่ได้โต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นฟังมาโดยให้พังเป็นอย่างอื่นเลยคงอุทธรณ์โต้เถียงแต่เพียงว่าการกระทำของ อ.ตามที่ศาลชั้นต้นฟังมานั้นจะถือว่าอ. ไม่ใช่ผู้เสียหายหาได้ไม่เท่านั้น จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 79/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทิศที่ดินเป็นทางสาธารณะ และสิทธิการใช้ทางของเจ้าของที่ดินอื่น การละเมิดสิทธิในการใช้ทาง
จำเลยได้อุทิศที่พิพาทให้เป็นทางสาธารณะแล้ว การอุทิศที่ให้เป็นทางสาธารณะย่อมสมบูรณ์แม้จะมิได้จดทะเบียน (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 506/2490) การที่จำเลยปักเสาลงในที่พิพาทเป็นเหตุให้โจทก์ซึ่งมีที่ดินอยู่ในซอยตากสิน 8 ไม่อาจใช้ซอยดังกล่าวได้เหมือนเดิม ทำให้โจทก์เสียหายเป็นพิเศษกว่าคนอื่น ๆ เป็นการละเมิดโจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขอให้ศาลสั่งให้จำเลยระงับความเสียหายได้(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1138-1139/2501)
โจทก์บรรยายฟ้องว่าซอยตากสิน 8 มีมาประมาณ 20 ปี โดยเจ้าของที่ดินแต่ละรายสละที่ดินของตนรวมทั้งจำเลยด้วยเพื่อเป็นทางสำหรับให้ประชาชนใช้ร่วมกันโจทก์และ บริวารใช้สอยซอยตากสิน 8 ผ่านเข้าออกสู่ถนนสาธารณะโดยผ่านที่ดินจำเลยเกินกว่า 10 ปีแล้วซอยตากสิน 8 จึงเป็นทางภารจำยอม จำเลยให้การปฏิเสธว่ามิได้มีทางอยู่เลยจำเลยและ อ. เพิ่งทำเป็นถนนขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2502 ดังนี้จำเลยมิได้หลงผิดต่อสู้ว่าทางพิพาทมิได้ตกอยู่ในภารจำยอมแต่อย่างใด และการที่ศาลฟังว่าจำเลยอุทิศที่พิพาทให้เป็นทางสาธารณะแล้วไม่เป็นการนอกฟ้องนอกประเด็นเพราะโจทก์ได้ บรรยายการอ้างถึงสิทธิของโจทก์ที่จะผ่านเข้าออกทางพิพาทนี้มาในฟ้องแล้ว เพียงแต่กล่าวอ้างเป็นทางภารจำยอมไปเท่านั้น (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 217/2509)
โจทก์บรรยายฟ้องว่าซอยตากสิน 8 มีมาประมาณ 20 ปี โดยเจ้าของที่ดินแต่ละรายสละที่ดินของตนรวมทั้งจำเลยด้วยเพื่อเป็นทางสำหรับให้ประชาชนใช้ร่วมกันโจทก์และ บริวารใช้สอยซอยตากสิน 8 ผ่านเข้าออกสู่ถนนสาธารณะโดยผ่านที่ดินจำเลยเกินกว่า 10 ปีแล้วซอยตากสิน 8 จึงเป็นทางภารจำยอม จำเลยให้การปฏิเสธว่ามิได้มีทางอยู่เลยจำเลยและ อ. เพิ่งทำเป็นถนนขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2502 ดังนี้จำเลยมิได้หลงผิดต่อสู้ว่าทางพิพาทมิได้ตกอยู่ในภารจำยอมแต่อย่างใด และการที่ศาลฟังว่าจำเลยอุทิศที่พิพาทให้เป็นทางสาธารณะแล้วไม่เป็นการนอกฟ้องนอกประเด็นเพราะโจทก์ได้ บรรยายการอ้างถึงสิทธิของโจทก์ที่จะผ่านเข้าออกทางพิพาทนี้มาในฟ้องแล้ว เพียงแต่กล่าวอ้างเป็นทางภารจำยอมไปเท่านั้น (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 217/2509)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 79/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทิศที่ดินเป็นทางสาธารณะ และการละเมิดสิทธิการใช้ทางของผู้อื่น
จำเลยได้อุทิศที่พิพาทให้เป็นทางสาธารณะแล้ว การอุทิศที่ให้เป็นทางสาธารณะย่อมสมบูรณ์ แม้จะมิได้จดทะเบียน(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 506/2490) การที่จำเลยปักเสาลงในที่พิพาทเป็นเหตุให้โจทก์ซึ่งมีที่ดินอยู่ในซอยตากสิน 8 ไม่อาจใช้ซอยดังกล่าวได้เหมือนเดิม ทำให้โจทก์เสียหายเป็นพิเศษกว่าคนอื่นๆ เป็นการละเมิด โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขอให้ศาลสั่งให้จำเลยระงับความเสียหายได้(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1138-1139/2501)
โจทก์บรรยายฟ้องว่า ซอยตากสิน 8 มีมาประมาณ 20 ปีโดยเจ้าของที่ดินแต่ละรายสละที่ดินของตน รวมทั้งจำเลยด้วย เพื่อเป็นทางสำหรับให้ประชาชนใช้ร่วมกันโจทก์และบริวารใช้สอยซอยตากสิน 8 ผ่านเข้าออกสู่ถนนสาธารณะ โดยผ่านที่ดินจำเลยเกินกว่า 10 ปีแล้ว ซอยตากสิน 8 จึงเป็นทางภารจำยอม จำเลยให้การปฏิเสธว่ามิได้มีทางอยู่เลยจำเลยและ อ. เพิ่งทำเป็นถนนขึ้นเมื่อ พ.ศ.2502 ดังนี้ จำเลยมิได้หลงผิดต่อสู้ว่าทางพิพาทมิได้ตกอยู่ในภารจำยอมแต่อย่างใดและการที่ศาลฟังว่าจำเลยอุทิศที่พิพาทให้เป็นทางสาธารณะแล้ว ไม่เป็นการนอกฟ้องนอกประเด็นเพราะโจทก์ได้บรรยายกล่าวอ้างถึงสิทธิของโจทก์ที่จะผ่านเข้าออกทางพิพาทนี้มาในฟ้องแล้ว เพียงแต่กล่าวอ้างเป็นทางภารจำยอมไปเท่านั้น(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 217/2509)
โจทก์บรรยายฟ้องว่า ซอยตากสิน 8 มีมาประมาณ 20 ปีโดยเจ้าของที่ดินแต่ละรายสละที่ดินของตน รวมทั้งจำเลยด้วย เพื่อเป็นทางสำหรับให้ประชาชนใช้ร่วมกันโจทก์และบริวารใช้สอยซอยตากสิน 8 ผ่านเข้าออกสู่ถนนสาธารณะ โดยผ่านที่ดินจำเลยเกินกว่า 10 ปีแล้ว ซอยตากสิน 8 จึงเป็นทางภารจำยอม จำเลยให้การปฏิเสธว่ามิได้มีทางอยู่เลยจำเลยและ อ. เพิ่งทำเป็นถนนขึ้นเมื่อ พ.ศ.2502 ดังนี้ จำเลยมิได้หลงผิดต่อสู้ว่าทางพิพาทมิได้ตกอยู่ในภารจำยอมแต่อย่างใดและการที่ศาลฟังว่าจำเลยอุทิศที่พิพาทให้เป็นทางสาธารณะแล้ว ไม่เป็นการนอกฟ้องนอกประเด็นเพราะโจทก์ได้บรรยายกล่าวอ้างถึงสิทธิของโจทก์ที่จะผ่านเข้าออกทางพิพาทนี้มาในฟ้องแล้ว เพียงแต่กล่าวอ้างเป็นทางภารจำยอมไปเท่านั้น(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 217/2509)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3026/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนับระยะเวลาตามหนังสือแจ้งให้ส่งโฉนดที่ดิน: เริ่มนับวันถัดจากวันที่ได้รับหนังสือ และวันหยุดราชการ
จำเลยได้รับหนังสือของเจ้าพนักงานที่ดินเมื่อวันที่ 8 ธันวาคมให้จำเลยส่งโฉนดที่ดินภายในกำหนด 15 วัน การนับระยะเวลา ในกรณีนี้ ต้องนับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 158 ซึ่งห้ามมิให้นับวันแรกแห่งระยะเวลานั้นรวมคำนวณเข้าด้วย เว้นแต่จะเริ่มทำการในวันนั้นเองตั้งแต่เวลาอันเป็นกำหนดเริ่มทำการงานกันตามประเพณี เมื่อไม่มีประเพณีเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้กำหนด 15 วันจึงต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 9 ธันวาคมและครบกำหนดในวันที่ 23 ธันวาคม ซึ่งตรงกับวันอาทิตย์ จำเลยจึงยังมีสิทธินำส่งในวันที่ 24 ธันวาคม อันเป็นวันเริ่มทำงานใหม่ได้อีกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา161 ดังนี้ จำเลยจึงมิได้กระทำผิดในวันที่ 23 ธันวาคม ดังที่โจทก์ฟ้อง เพราะยังไม่ล่วงพ้นระยะเวลาที่พนักงานเจ้าหน้าที่กำหนดให้จำเลยส่ง (อ้างฎีกาที่ 235/2505)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3026/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนับระยะเวลาตามหนังสือแจ้งให้ส่งเอกสาร: เริ่มนับวันถัดจากวันที่ได้รับ และวันหยุดสุดสัปดาห์
จำเลยได้รับหนังสือของเจ้าพนักงานที่ดินเมื่อวันที่ 8 ธันวาคมให้จำเลยส่งโฉนดที่ดินภายในกำหนด 15 วัน การนับระยะเวลา ในกรณีนี้ ต้องนับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 158 ซึ่งห้ามมิให้นับวันแรกแห่งระยะเวลานั้นรวมคำนวณเข้าด้วย เว้นแต่จะเริ่มทำการในวันนั้นเองตั้งแต่เวลาอันเป็นกำหนดเริ่ม ทำการงานกันตามประเพณี เมื่อไม่มีประเพณีเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้กำหนด 15 วันจึงต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 9 ธันวาคมและครบกำหนดในวันที่ 23 ธันวาคม ซึ่งตรงกับวันอาทิตย์ จำเลยจึงยังมีสิทธิ นำส่งในวันที่ 24 ธันวาคม อันเป็นวันเริ่มทำงานใหม่ได้อีก ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา161 ดังนี้ จำเลย จึงมิได้กระทำผิดในวันที่ 23 ธันวาคม ดังที่โจทก์ฟ้องเพราะ ยังไม่ล่วงพ้นระยะเวลาที่พนักงานเจ้าหน้าที่กำหนดให้จำเลยส่ง (อ้างฎีกาที่ 235/2505)