พบผลลัพธ์ทั้งหมด 350 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2176/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษทางอาญาสำหรับความผิดหลายกระทงเกี่ยวกับยาเสพติด และการเรียงกระทงตามกฎหมาย
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยได้บังอาจกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายบทหลายกระทง โดยมีเฮโรอีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษ ซึ่งต้องห้ามโดยเด็ดขาดไว้ในครอบครองและได้บังอาจจำหน่ายเฮโรอีนให้แก่ผู้อื่นโดยผิดกฎหมาย ฯลฯ จำเลยให้การรับสารภาพดังนี้ การที่จำเลยมีเฮโรอีนไว้ในความครอบครองและได้จำหน่ายเฮโรอีนแก่ผู้อื่น การกระทำของจำเลยแยกได้เป็นสองกระทง แต่ละกระทงเป็นความผิดตามกฎหมาย ศาลย่อมลงโทษจำเลยฐานมีเฮโรอีนและฐานจำหน่ายเฮโรอีนได้
มีเฮโรอีนไว้ในความครอบครอง และได้จำหน่ายเฮโรอีนให้แก่ผู้อื่นโดยผิดกฎหมาย เป็นความผิดสองกระทง เมื่อจำเลยกระทำความผิดภายหลังวันที่ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11มีผลใช้บังคับแล้ว แม้โจทก์จะมิได้อ้างประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 มาในคำขอท้ายฟ้อง แต่โจทก์ได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายบทหลายกระทงมาด้วย ศาลย่อมมีอำนาจเรียงกระทงลงโทษจำเลยได้
มีเฮโรอีนไว้ในความครอบครอง และได้จำหน่ายเฮโรอีนให้แก่ผู้อื่นโดยผิดกฎหมาย เป็นความผิดสองกระทง เมื่อจำเลยกระทำความผิดภายหลังวันที่ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11มีผลใช้บังคับแล้ว แม้โจทก์จะมิได้อ้างประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 มาในคำขอท้ายฟ้อง แต่โจทก์ได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายบทหลายกระทงมาด้วย ศาลย่อมมีอำนาจเรียงกระทงลงโทษจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2176/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษจำเลยฐานมีและจำหน่ายเฮโรอีน ศาลมีอำนาจเรียงกระทงความผิดได้ แม้โจทก์มิได้อ้างมาตรา 91
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยได้บังอาจกระทำความผิดต่อกฎหมาย หลายบทหลายกระทง โดยมีเฮโรอีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษซึ่งต้องห้ามโดยเด็ดขาดไว้ในครอบครองและได้บังอาจจำหน่ายเฮโรอีนให้แก่ผู้อื่นโดยผิดกฎหมาย ฯลฯ จำเลยให้การรับสารภาพดังนี้การที่จำเลยมีเฮโรอีนไว้ในความครอบครองและได้จำหน่ายเฮโรอีนแก่ผู้อื่น การกระทำของจำเลยแยกได้เป็นสองกระทง แต่ละกระทง เป็นความผิดตามกฎหมาย ศาลย่อมลงโทษจำเลยฐานมีเฮโรอีนและฐานจำหน่ายเฮโรอีนได้
มีเฮโรอีนไว้ในความครอบครอง และได้จำหน่ายเฮโรอีนให้แก่ ผู้อื่นโดยผิดกฎหมาย เป็นความผิดสองกระทง เมื่อจำเลยกระทำความผิดภายหลังวันที่ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11มีผลใช้บังคับแล้ว แม้โจทก์จะมิได้อ้างประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 มาในคำขอท้ายฟ้อง แต่โจทก์ได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายบทหลายกระทงมาด้วยศาลย่อมมีอำนาจเรียงกระทงลงโทษจำเลยได้
มีเฮโรอีนไว้ในความครอบครอง และได้จำหน่ายเฮโรอีนให้แก่ ผู้อื่นโดยผิดกฎหมาย เป็นความผิดสองกระทง เมื่อจำเลยกระทำความผิดภายหลังวันที่ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11มีผลใช้บังคับแล้ว แม้โจทก์จะมิได้อ้างประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 มาในคำขอท้ายฟ้อง แต่โจทก์ได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายบทหลายกระทงมาด้วยศาลย่อมมีอำนาจเรียงกระทงลงโทษจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1955/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับหนังสือทวงหนี้และการปฏิเสธหนี้เกินกำหนด แม้ส่งโดยชอบ แต่ต้องพิสูจน์การรับจริง
แม้จะถือว่าหนังสือของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้มีการส่งโดยชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 76ตั้งแต่เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2515 แล้วก็ตาม ก็ยังถือเป็นเด็ดขาดไม่ได้ว่าผู้ร้องได้รับในวันที่ส่งนั้นผู้ร้องอาจนำสืบความจริงว่าตนได้รับเมื่อใด เพื่อเป็นข้อแก้ตัวว่าตนได้ตอบปฏิเสธหนี้มาภายใน 14 วันนับแต่วันได้รับหนังสือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะยืนยันให้ถือว่าผู้ร้องไม่ปฏิเสธหนี้ภายในกำหนดในเหตุที่ว่าหนังสือของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ส่งไปยังสำนักทำการงานของผู้ร้องโดยชอบแล้วแต่ประการเดียวหาได้ไม่ แต่การที่ผู้ร้องแถลงไม่ติดใจนำพยานเข้าสืบ และมิได้นำสืบตามข้ออ้างของตนที่ว่าผู้ร้องเพิ่งทราบการเรียกร้องให้ชำระหนี้เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2515 ข้ออ้างดังกล่าวของผู้ร้องจึงไม่อาจรับฟังได้ ต้องถือว่าผู้ร้องรับทราบหนังสือทวงหนี้แล้วตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม 2515 นั่นเอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1955/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับหนังสือทวงหนี้และการปฏิเสธหนี้ภายในกำหนดตามกฎหมายล้มละลาย การไม่นำสืบทำให้ข้ออ้างไม่รับฟัง
แม้จะถือว่าหนังสือของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้มีการส่งโดยชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 76 ตั้งแต่เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2515 แล้วก็ตาม ก็ยังถือเป็นเด็ดขาดไม่ได้ว่าผู้ร้องได้รับในวันที่ส่งนั้นผู้ร้องอาจนำสืบความจริงว่าตนได้รับเมื่อใด เพื่อเป็นข้อแก้ตัวว่าตนได้ตอบปฏิเสธหนี้มาภายใน 14 วันนับแต่วันได้รับหนังสือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะยืนยันให้ถือว่าผู้ร้องไม่ปฏิเสธหนี้ภายในกำหนดในเหตุที่ว่าหนังสือของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ส่งไปยังสำนักทำการงานของผู้ร้องโดยชอบแล้วแต่ประการเดียวหาได้ไม่ แต่การที่ผู้ร้องแถลงไม่ติดใจนำพยานเข้าสืบ และมิได้นำสืบตามข้ออ้างของตนที่ว่าผู้ร้องเพิ่งทราบการเรียกร้องให้ชำระหนี้เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2515 ข้ออ้างดังกล่าวของผู้ร้องจึงไม่อาจรับฟังได้ ต้องถือว่าผู้ร้องรับทราบหนังสือทวงหนี้แล้วตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม 2515 นั่นเอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1770/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับสภาพความรับผิดหลังอายุความ: การผ่อนผันชำระหนี้ถือเป็นการรับสภาพหนี้ใหม่ ทำให้ฟ้องบังคับได้
ตามสัญญาซื้อขาย ผู้ขายตกลงส่งสินค้าให้ผู้ซื้อภายในกำหนด 4 เดือนนับแต่วันทำสัญญา ผู้ซื้อจะต้องชำระหนี้ให้แก่ผู้ขายเป็นงวดๆ งวดสุดท้ายจะต้องชำระภายใน 3 เดือน นับแต่ผู้ขายส่งมอบของ เมื่อผู้ขายได้ส่งมอบของแก่จำเลยแล้ว หนี้ที่เกี่ยวกับเรียกเอาค่าที่ส่งมอบของเช่นนี้ผู้ขายจะต้องฟ้องเรียกร้องเสียภายในกำหนดสองปี มิฉะนั้นเป็นอันขาดอายุความ
เมื่อสิทธิเรียกร้องของผู้ขายขาดอายุความแล้ว ผู้ซื้อซึ่งเป็นลูกหนี้ไม่ได้บอกปัดการชำระหนี้ และได้ละเสียซึ่งประโยชน์แห่งอายุความ กลับมีหนังสือถึงผู้ขายขอชำระหนี้ต่อไปทั้งได้ชำระหนี้ให้อีกบ้าง ผู้ขายก็ได้ตอบสนองรับไป เช่นนี้ถือได้ว่าเป็นการรับสภาพความรับผิดตามสัญญา ผู้ซื้อย่อมผูกพันตามสัญญาการรับสภาพความรับผิดนั้น (อ้างฎีกาที่ 1838/2506) และเมื่อผู้ซื้อผิดนัดอีกผู้ขายย่อมมีสิทธิที่จะฟ้องบังคับให้ผู้ซื้อชำระหนี้ได้
เมื่อสิทธิเรียกร้องของผู้ขายขาดอายุความแล้ว ผู้ซื้อซึ่งเป็นลูกหนี้ไม่ได้บอกปัดการชำระหนี้ และได้ละเสียซึ่งประโยชน์แห่งอายุความ กลับมีหนังสือถึงผู้ขายขอชำระหนี้ต่อไปทั้งได้ชำระหนี้ให้อีกบ้าง ผู้ขายก็ได้ตอบสนองรับไป เช่นนี้ถือได้ว่าเป็นการรับสภาพความรับผิดตามสัญญา ผู้ซื้อย่อมผูกพันตามสัญญาการรับสภาพความรับผิดนั้น (อ้างฎีกาที่ 1838/2506) และเมื่อผู้ซื้อผิดนัดอีกผู้ขายย่อมมีสิทธิที่จะฟ้องบังคับให้ผู้ซื้อชำระหนี้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1770/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
รับสภาพหนี้หลังอายุความ: การผ่อนผันชำระหนี้ถือเป็นการรับสภาพความรับผิดตามสัญญา ทำให้ฟ้องบังคับได้อีก
ตามสัญญาซื้อขาย ผู้ขายตกลงส่งสินค้าให้ผู้ซื้อภายในกำหนด4 เดือนนับแต่วันทำสัญญา ผู้ซื้อจะต้องชำระหนี้ให้แก่ผู้ขายเป็นงวดๆ งวดสุดท้ายจะต้องชำระภายใน 3 เดือนนับแต่ผู้ขายส่งมอบของ เมื่อผู้ขายได้ส่งมอบของแก่จำเลยแล้ว หนี้ที่เกี่ยวกับเรียกเอาค่าที่ส่งมอบของเช่นนี้ผู้ขายจะต้องฟ้องเรียกร้องเสียภายในกำหนดสองปี มิฉะนั้นเป็นอันขาดอายุความ
เมื่อสิทธิเรียกร้องของผู้ขายขาดอายุความแล้ว ผู้ซื้อซึ่งเป็นลูกหนี้ไม่ได้บอกปัดการชำระหนี้ และได้ละเสียซึ่งประโยชน์แห่งอายุความ กลับมีหนังสือถึงผู้ขายขอชำระหนี้ต่อไป ทั้งได้ชำระหนี้ให้อีกบ้าง ผู้ขายก็ได้ตอบสนองรับไป เช่นนี้ ถือได้ว่าเป็นการรับสภาพความรับผิดตามสัญญา ผู้ซื้อย่อมผูกพันตามสัญญาการรับสภาพความรับผิดนั้น (อ้างฎีกาที่ 1838/2506) และเมื่อผู้ซื้อผิดนัดอีกผู้ขายย่อมมีสิทธิที่จะฟ้องบังคับให้ผู้ซื้อชำระหนี้ได้
เมื่อสิทธิเรียกร้องของผู้ขายขาดอายุความแล้ว ผู้ซื้อซึ่งเป็นลูกหนี้ไม่ได้บอกปัดการชำระหนี้ และได้ละเสียซึ่งประโยชน์แห่งอายุความ กลับมีหนังสือถึงผู้ขายขอชำระหนี้ต่อไป ทั้งได้ชำระหนี้ให้อีกบ้าง ผู้ขายก็ได้ตอบสนองรับไป เช่นนี้ ถือได้ว่าเป็นการรับสภาพความรับผิดตามสัญญา ผู้ซื้อย่อมผูกพันตามสัญญาการรับสภาพความรับผิดนั้น (อ้างฎีกาที่ 1838/2506) และเมื่อผู้ซื้อผิดนัดอีกผู้ขายย่อมมีสิทธิที่จะฟ้องบังคับให้ผู้ซื้อชำระหนี้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1730/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิฎีกาคำสั่งศาลอุทธรณ์: ต้องรอคำพิพากษาถึงฎีกาได้ตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
คำสั่งของศาลอุทธรณ์ที่สั่งให้รับอุทธรณ์ของโจทก์นั้นเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ เมื่อศาลอุทธรณ์ยังมิได้มีคำพิพากษา จำเลยไม่มีสิทธิฎีกา ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 196
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1730/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิฎีกาคำสั่งระหว่างพิจารณา: จำเลยไม่มีสิทธิฎีกาจนกว่าศาลอุทธรณ์จะมีคำพิพากษา
คำสั่งของศาลอุทธรณ์ที่สั่งให้รับอุทธรณ์ของโจทก์นั้นเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ เมื่อศาลอุทธรณ์ยังมิได้มีคำพิพากษา จำเลยไม่มีสิทธิฎีกา ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 196
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1617/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภาษีการค้าสมุดเช็ค: การนำเข้าเพื่อใช้ในกิจการธนาคาร ถือเป็นการขายสินค้าต้องเสียภาษี
โจทก์เป็นผู้ประกอบการค้าประเภทธนาคาร ได้สั่งสมุดเช็คจากประเทศอังกฤษเข้ามาในประเทศไทย เพื่อใช้ในกิจการของโจทก์ โดยมอบให้ลูกค้าที่เปิดบัญชีเงินฝากกับธนาคารโจทก์ใช้สั่งจ่ายเงิน สมุดเช็คนั้นเป็นสินค้าอย่างหนึ่งตามประมวลรัษฎากรซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 18) พ.ศ.2504 อันเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะเกิดข้อพิพาทมาตรา 79 ทวิ(1) การนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้าตามประเภทการค้า 1 ชนิด 1(ก) โดยมิใช่นำมาขายหรือผลิตเพื่อขายและสินค้าเหล่านั้นมิใช่เป็นของใช้ส่วนตัวซึ่งใช้กันตามปกติและตามสมควร ถือว่าเป็นการขายสินค้า สมุดเช็คที่โจทก์สั่งเข้ามามีราคาถึงสามแสนบาทเศษ มิใช่เป็นของใช้ส่วนตัวซึ่งใช้ตามปกติและตามสมควร โจทก์ย่อมเป็นผู้ประกอบการค้าสินค้าสมุดเช็ค ซึ่งตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีการค้า (ฉบับที่ 3) ให้ถือว่าผู้ประกอบการค้าที่เป็นผู้นำเข้าซึ่งสินค้าทุกชนิดได้ขายสินค้าในวันนำเข้ามาในราชอาณาจักร เพื่อคำนวณมูลค่าของสินค้าเป็นรายรับในการที่จะประเมินภาษีการค้า โจทก์จึงต้องเสียภาษีการค้าตามมูลค่าของสมุดเช็คซึ่งคำนวณได้ดังกล่าวในประเภทการค้า 1 การขายของ รายการที่ประกอบการค้า การขายสินค้าชนิด 1(ก)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1617/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภาษีการค้า: การนำเข้าสมุดเช็คจากต่างประเทศถือเป็นการขายสินค้า ต้องเสียภาษีการค้า
โจทก์เป็นผู้ประกอบการค้าประเภทธนาคาร ได้สั่งสมุดเช็คจากประเทศอังกฤษเข้ามาในประเทศไทย เพื่อใช้ในกิจการของโจทก์ โดยมอบให้ลูกค้าที่เปิดบัญชีเงินฝากกับธนาคารโจทก์ใช้สั่งจ่ายเงินสมุดเช็คนั้นเป็นสินค้าอย่างหนึ่งตามประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2504 อันเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะเกิดข้อพิพาทมาตรา 79 ทวิ (1) การนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้าตามประเภทการค้า 1 ชนิด 1 (ก) โดยมิใช่นำมาขายหรือผลิตเพื่อขายและสินค้าเหล่านั้นมิใช่เป็นของใช้ส่วนตัวซึ่งใช้กันตามปกติและตามสมควร ถือว่าเป็นการขายสินค้า สมุดเช็คที่โจทก์สั่งเข้ามามีราคาถึงสามแสนบาทเศษ มิใช่เป็นของใช้ส่วนตัวซึ่งใช้ตามปกติและตามสมควร โจทก์ย่อมเป็นผู้ประกอบการค้าสินค้าสมุดเช็คซึ่งตาม ประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีการค้า (ฉบับที่ 3) ให้ถือว่าผู้ประกอบการค้าที่เป็นผู้นำเข้าซึ่งสินค้าทุกชนิดได้ขายสินค้าในวันนำเข้ามาในราชอาณาจักร เพื่อคำนวณมูลค่าของสินค้าเป็นรายรับในการที่จะประเมินภาษีการค้า โจทก์จึงต้องเสียภาษีการค้าตามมูลค่าของสมุดเช็คซึ่งคำนวณได้ดังกล่าวในประเภทการค้า 1 การขายของ รายการที่ประกอบการค้าการขายสินค้าชนิด 1 (ก)