พบผลลัพธ์ทั้งหมด 271 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14301/2557
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานแจ้งเท็จในการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรง รัฐเป็นผู้เสียหาย
ความผิดฐานยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าโดยแสดงข้อความอันเป็นเท็จแก่นายทะเบียนเครื่องหมายการค้าตามที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 มาตรา 107 เป็นการกระทำความผิดต่อนายทะเบียนเครื่องหมายการค้าหรือคณะกรรมการเครื่องหมายการค้า จึงเป็นความผิดต่อรัฐ รัฐเท่านั้นที่เป็นผู้เสียหาย โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายในความผิดฐานนี้ ถึงแม้โจทก์จะอ้างว่าโจทก์ได้รับความเสียหายเนื่องจากเป็นการกระทำที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อโจทก์ แต่กรณีเช่นนี้ มาตรา 67 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 ได้กำหนดกระบวนการที่จะแก้ไขความเสียหายไว้แล้วว่า ภายในห้าปีนับแต่วันที่นายทะเบียนมีคำสั่งให้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าใดตามมาตรา 40 ผู้มีส่วนได้เสียอาจร้องขอต่อศาลให้สั่งเพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้านั้นได้ หากแสดงได้ว่าตนมีสิทธิในเครื่องหมายการค้านั้นดีกว่าผู้ซึ่งได้จดทะเบียนเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้านั้น อันเป็นกระบวนการพิสูจน์สิทธิของโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14298/2557
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ละเมิดลิขสิทธิ์และเครื่องหมายการค้า ผลิตอาหารปลอม ศาลยืนโทษจำคุกเหมาะสม
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์ร่วมเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในฐานะผู้สร้างสรรค์งานศิลปกรรมลักษณะงานจิตรกรรมสร้างสรรค์รูปทรง งานภาพพิมพ์ ใช้ชื่องานว่า เอนไซม์ เจนิฟู้ด ตามบัญชีรายชื่อเจ้าของลิขสิทธิ์ ภาพและชื่องานศิลปกรรมที่ได้สร้างสรรค์ ข้อมูลลิขสิทธิ์ หนังสือรับรองความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ วันเดือนปีและประเทศที่โฆษณาครั้งแรก เอกสารท้ายฟ้อง จึงได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 จำเลยให้การรับสารภาพ ดังนี้ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ดังฟ้องโจทก์ การที่จำเลยกระทำด้วยวิธีใด ๆ ให้ปรากฏภาพซึ่งเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ของโจทก์ร่วมบนกล่องบรรจุผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแล้วนำออกจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ร่วมจึงเป็นความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ร่วมเพื่อการค้า แม้งานอันมีลิขสิทธิ์ของโจทก์ร่วมจะถูกนำไปใช้ร่วมกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์ร่วมก็ตาม แต่งานอันมีลิขสิทธิ์และเครื่องหมายการค้าดังกล่าวของโจทก์ร่วมก็มีลักษณะแยกต่างหากจากกันอย่างเด็ดขาด มิได้เป็นส่วนหนึ่งส่วนใดของกันและกัน จึงเป็นงานคนละประเภทแยกต่างหากจากกันและได้รับความคุ้มครองแยกจากกัน
การกระทำของจำเลยนอกจากก่อให้เกิดความเสียหายโจทก์ร่วมแล้ว ยังเกิดความเสียหายต่อผู้บริโภคทั่วไป เป็นการกระทำที่ขาดความรับผิดชอบต่อส่วนรวม พฤติการณ์แห่งคดีจึงเป็นเรื่องร้ายแรง ที่ศาลทรัพย์สินฯ พิพากษาลงโทษจำคุกโดยไม่รอการลงโทษให้นั้นเหมาะสมแล้ว
การกระทำของจำเลยนอกจากก่อให้เกิดความเสียหายโจทก์ร่วมแล้ว ยังเกิดความเสียหายต่อผู้บริโภคทั่วไป เป็นการกระทำที่ขาดความรับผิดชอบต่อส่วนรวม พฤติการณ์แห่งคดีจึงเป็นเรื่องร้ายแรง ที่ศาลทรัพย์สินฯ พิพากษาลงโทษจำคุกโดยไม่รอการลงโทษให้นั้นเหมาะสมแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13534/2557
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตัวแทนขนส่งไม่มีสิทธิเรียกค่าใช้จ่ายจากผู้รับขน หากไม่มีนิติสัมพันธ์ทางสัญญา
ตามใบยืนยันการจอง จำเลยเข้าไปเกี่ยวข้องเฉพาะเมื่อมีการออกใบตราส่งซึ่งระบุไว้ชัดเจนว่า จำเลยเป็นเพียงตัวแทนของผู้ขนส่งรายบริษัท ร. ไม่ใช่ผู้ขนส่ง พฤติการณ์นับตั้งแต่เริ่มเจรจาตกลงเพื่อทำสัญญาขนส่ง จนกระทั่งมีการทำสัญญาขนส่ง การติดต่อระหว่างการขนส่งที่โจทก์ติดต่อกับบริษัท ร. โดยตรงตลอดระยะเวลาโดยที่จำเลยเข้าไปเกี่ยวข้องเพียงการออกใบตราส่งแทนบริษัท ร. เท่านั้น และยังระบุไว้ว่าออกแทนบริษัทดังกล่าวจึงฟังได้ว่าจำเลยไม่ใช่ผู้ขนส่ง เป็นเพียงตัวแทนผู้ขนส่งเท่านั้น
แม้จำนวนทุนทรัพย์ตามฟ้องแย้งไม่ถึง 200,000 บาท คดีตามฟ้องแย้งจึงต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง แต่เมื่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางรับอุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ส่งมายังศาลฎีกาแล้ว และปรากฏว่าข้อเท็จจริงในฟ้องแย้งกับฟ้องโจทก์เกี่ยวเนื่องกันดังที่วินิจฉัยมา ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ เห็นสมควรเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม จึงรับพิจารณาให้ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 44
เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นผู้ขนส่ง จำเลยจึงไม่มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ในฐานะตัวแทนและตัวการ หากจำเลยจ่ายเงินค่าใช้จ่ายและค่าระวางในการขนส่งครั้งพิพาทแทนไป ก็ย่อมเป็นการจ่ายแทนผู้ขนส่งซึ่งเป็นตัวการของจำเลย ดังนั้น ไม่ว่าจำเลยได้จ่ายเงินค่าใช้จ่ายและค่าระวางใด ๆ เป็นเงินทดรองแทนไปก่อนหรือไม่ก็ตาม จำเลยย่อมไม่มีสิทธิฟ้องเรียกเงินดังกล่าวเอาจากโจทก์ซึ่งไม่มีนิติสัมพันธ์ทั้งในทางสัญญารับขน และสัญญาตัวการตัวแทนกับจำเลย
แม้จำนวนทุนทรัพย์ตามฟ้องแย้งไม่ถึง 200,000 บาท คดีตามฟ้องแย้งจึงต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง แต่เมื่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางรับอุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ส่งมายังศาลฎีกาแล้ว และปรากฏว่าข้อเท็จจริงในฟ้องแย้งกับฟ้องโจทก์เกี่ยวเนื่องกันดังที่วินิจฉัยมา ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ เห็นสมควรเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม จึงรับพิจารณาให้ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 44
เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นผู้ขนส่ง จำเลยจึงไม่มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ในฐานะตัวแทนและตัวการ หากจำเลยจ่ายเงินค่าใช้จ่ายและค่าระวางในการขนส่งครั้งพิพาทแทนไป ก็ย่อมเป็นการจ่ายแทนผู้ขนส่งซึ่งเป็นตัวการของจำเลย ดังนั้น ไม่ว่าจำเลยได้จ่ายเงินค่าใช้จ่ายและค่าระวางใด ๆ เป็นเงินทดรองแทนไปก่อนหรือไม่ก็ตาม จำเลยย่อมไม่มีสิทธิฟ้องเรียกเงินดังกล่าวเอาจากโจทก์ซึ่งไม่มีนิติสัมพันธ์ทั้งในทางสัญญารับขน และสัญญาตัวการตัวแทนกับจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11777/2557
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้ขนส่งสิ้นสุดลงหรือไม่เมื่อผู้รับสินค้าบันทึกสภาพสินค้าเสียหายในใบรับสินค้า
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ผู้ขนส่งเป็นฝ่ายกล่าวอ้างข้อเท็จจริงว่าบริษัท พ. ผู้รับตราส่งได้รับสินค้าไว้แล้วโดยไม่อิดเอื้อนและได้ชำระค่าระวางไว้แล้วเพื่อให้พ้นจากความรับผิดต่อการที่สินค้าเสียหายตาม ป.พ.พ. มาตรา 623 วรรคแรก จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงมีภาระพิสูจน์ข้อเท็จจริงดังกล่าว
สินค้าม้วนแผ่นเหล็กพิพาทตกจากที่สูงจนบิดเบี้ยวเสียรูปทรง ดังเห็นได้จากรูปถ่ายในรายงานการสำรวจความเสียหาย แสดงว่าเมื่อตกจากที่สูงแล้วปรากฏร่องรอยให้เห็นได้ด้วยสายตาว่าเป็นรอยหรือบุบ (Dent) ดังนั้นการที่เจ้าหน้าที่ของบริษัท พ. บันทึกไว้ในใบรับสินค้าว่า "Coil เด็นมาจากท่าเรือ" จึงถือได้แล้วว่าเป็นการอิดเอื้อน ความรับผิดของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ยังไม่สิ้นสุดลง
สินค้าม้วนแผ่นเหล็กพิพาทตกจากที่สูงจนบิดเบี้ยวเสียรูปทรง ดังเห็นได้จากรูปถ่ายในรายงานการสำรวจความเสียหาย แสดงว่าเมื่อตกจากที่สูงแล้วปรากฏร่องรอยให้เห็นได้ด้วยสายตาว่าเป็นรอยหรือบุบ (Dent) ดังนั้นการที่เจ้าหน้าที่ของบริษัท พ. บันทึกไว้ในใบรับสินค้าว่า "Coil เด็นมาจากท่าเรือ" จึงถือได้แล้วว่าเป็นการอิดเอื้อน ความรับผิดของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ยังไม่สิ้นสุดลง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11774/2557
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตัวแทนรับขนของทางทะเล ความรับผิดของผู้ขนส่ง การจำกัดความรับผิด และการพิสูจน์ความประมาทเลินเล่อ
จำเลยที่ 1 เพียงแต่ทำหน้าที่ในการติดต่อประสานงานกับจำเลยที่ 3 ในเรื่องการจองระวางเรือ การรับสินค้า และการชำระค่าระวางและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ของ ซ. แทนจำเลยที่ 3 ข้อเท็จจริงตามทางนำสืบของโจทก์รับฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 1 ได้เข้าทำสัญญารับขนของทางทะเลพิพาทกับ ซ. แทนจำเลยที่ 3 ซึ่งอยู่ต่างประเทศและมีภูมิลำเนาอยู่ต่างประเทศ ซึ่งจำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดเป็นส่วนตัวตาม ป.พ.พ. มาตรา 824
ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า สินค้าสูญหายไปในระหว่างที่อยู่ในความดูแลของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งการสูญหายไปเช่นนี้จำเลยที่ 2 และที่ 3 จะเสียสิทธิในการจำกัดความรับผิดก็ต่อเมื่อโจทก์พิสูจน์ได้ว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 กระทำการหรืองดเว้นกระทำการโดยการละเลยไม่เอาใจใส่ทั้งที่รู้ว่าการสูญหายนั้นอาจเกิดขึ้นได้ แต่ข้อเท็จจริงดังกล่าวไม่ปรากฏในทางนำสืบของโจทก์ ทั้งไม่มีข้อเท็จจริงอื่นพอที่ศาลจะอนุมานเอาจากพฤติการณ์ทั้งปวงได้ ข้อเท็จจริงจึงยังฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 กระทำการหรืองดเว้นกระทำการการละเลยหรือไม่เอาใจใส่จนเป็นเหตุให้สินค้าพิพาทสูญหายไปตาม พ.ร.บ.การรับขนของทางทะเล พ.ศ.2534 มาตรา 60 (1) จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงไม่เสียสิทธิที่จะจำกัดความรับผิดตาม พ.ร.บ.การรับขนของทางทะเล พ.ศ.2534
ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า สินค้าสูญหายไปในระหว่างที่อยู่ในความดูแลของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งการสูญหายไปเช่นนี้จำเลยที่ 2 และที่ 3 จะเสียสิทธิในการจำกัดความรับผิดก็ต่อเมื่อโจทก์พิสูจน์ได้ว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 กระทำการหรืองดเว้นกระทำการโดยการละเลยไม่เอาใจใส่ทั้งที่รู้ว่าการสูญหายนั้นอาจเกิดขึ้นได้ แต่ข้อเท็จจริงดังกล่าวไม่ปรากฏในทางนำสืบของโจทก์ ทั้งไม่มีข้อเท็จจริงอื่นพอที่ศาลจะอนุมานเอาจากพฤติการณ์ทั้งปวงได้ ข้อเท็จจริงจึงยังฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 กระทำการหรืองดเว้นกระทำการการละเลยหรือไม่เอาใจใส่จนเป็นเหตุให้สินค้าพิพาทสูญหายไปตาม พ.ร.บ.การรับขนของทางทะเล พ.ศ.2534 มาตรา 60 (1) จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงไม่เสียสิทธิที่จะจำกัดความรับผิดตาม พ.ร.บ.การรับขนของทางทะเล พ.ศ.2534
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11751-11752/2557
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์คดีทรัพย์สินทางปัญญา: พิจารณาเหตุผลและความจำเป็นเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
การขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์คดีนี้ต้องบังคับตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 37 ที่บัญญัติให้ศาลมีอำนาจพิจารณาให้ย่นหรือขยายระยะเวลาได้ตามความจำเป็นและเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม แม้โจทก์จะขอให้ขยายระยะเวลาภายหลังวันครบกำหนดยื่นอุทธรณ์ ก็หาจำต้องเป็นกรณีมีเหตุสุดวิสัยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 23 แต่อย่างใดไม่ ปรากฏว่า วันที่ 26 เมษายน 2555 ทนายจำเลยทั้งห้ายื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์อ้างเหตุว่ายังไม่ได้รับสำเนาคำพิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง จึงยังทำอุทธรณ์ไม่ได้ ศาลดังกล่าวก็มีคำสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ให้จำเลยทั้งห้าถึงวันที่ 29 มิถุนายน 2555 และในวันที่ 30 เมษายน 2555 อันเป็นวันครบกำหนดยื่นอุทธรณ์ ก็ปรากฏจากรายงานเจ้าหน้าที่ว่าได้ทำสำเนาคำพิพากษาโดยมีการรับรองสำเนาให้แก่โจทก์ตามคำแถลงขอสำเนาคำพิพากษาของโจทก์ลงวันที่ 30 มีนาคม 2555 ดังนี้ ย่อมแสดงว่าในวันที่ 2 พฤษภาคม 2555 ที่โจทก์ยื่นคำร้องขออนุญาตขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์นั้น ทนายโจทก์เพิ่งมีโอกาสได้รับสำเนาคำพิพากษาในวันครบกำหนดยื่นอุทธรณ์และก่อนวันที่โจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์เพียง 2 วัน ซึ่งนับว่าเป็นระยะเวลาที่สั้นมากสำหรับการที่โจทก์จะทำอุทธรณ์ในคดีนี้ กรณีจึงมีเหตุจำเป็นเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมสมควรขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ให้แก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11745/2557
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องละเมิดลิขสิทธิ์ต้องระบุรายละเอียดอายุการคุ้มครองลิขสิทธิ์และเจ้าของลิขสิทธิ์ให้ชัดเจน
โจทก์บรรยายฟ้องในข้อ 1 ว่า บริษัท ฟ. ผู้เสียหายเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายประเทศญี่ปุ่น และเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในฐานะผู้สร้างสรรค์งานศิลปกรรม (ศิลปประยุกต์) ภาพยนตร์การ์ตูนชื่อ โดราเอมอน และบรรยายฟ้องข้อ 2 ว่า เมื่อวันเวลาเกิดเหตุ จำเลยละเมิดลิขสิทธิ์ในงานสร้างสรรค์ประเภทงานศิลปกรรม จิตรกรรม ภาพการ์ตูนดังกล่าวของผู้เสียหายโดยนำสินค้าประเภทกระเป๋าสตางค์และกิ๊บติดผมที่มีรูปการ์ตูนดังกล่าวที่ละเมิดลิขสิทธิ์ซึ่งมีผู้ทำซ้ำและดัดแปลงขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหาย ออกขาย เสนอขาย มีไว้เพื่อขายแก่บุคคลทั่วไป อันเป็นการกระทำเพื่อแสวงหากำไรในทางการค้า ดังนี้ ฟ้องโจทก์ดังกล่าวจึงยังเป็นที่สงสัยว่าผู้เสียหายเป็นผู้สร้างสรรค์และเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในภาพการ์ตูนดังกล่าวในงานใดแน่ เนื่องจากโจทก์บรรยายฟ้องต่างกันในเรื่องงานอันมีลิขสิทธิ์ของผู้เสียหาย หากผู้เสียหายเป็นผู้สร้างสรรค์ศิลปกรรมประเภทงานศิลปประยุกต์และงานภาพยนตร์การ์ตูนดังกล่าวตามฟ้องข้อ 1 และงานศิลปกรรม จิตรกรรม ภาพการ์ตูนดังกล่าวตามฟ้องข้อ 2 โจทก์ก็ต้องบรรยายด้วยว่า ได้สร้างสรรค์งานเมื่อใด หรือได้มีการนำงานดังกล่าวออกโฆษณาครั้งแรกเมื่อใด เนื่องจากงานอันมีลิขสิทธิ์ตามที่โจทก์ฟ้องมีกำหนดระยะเวลาในการให้ความคุ้มครองไว้แน่นอนตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 โดยระยะเวลาดังกล่าวอาจจะเริ่มนับตั้งแต่สร้างสรรค์งานหรือนำงานนั้นออกโฆษณาครั้งแรก ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับประเภทของงานที่สร้างสรรค์นั้น ๆ ซึ่งหากงานดังกล่าวตามที่โจทก์ฟ้องหมดอายุการคุ้มครองแล้วจะตกเป็นสาธารณสมบัติซึ่งบุคคลทั่วไปสามารถนำงานดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ได้โดยไม่ถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ เมื่อโจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าผู้เสียหายได้สร้างสรรค์งานที่อ้างว่าตนเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นงานศิลปประยุกต์ งานภาพยนตร์ หรืองานจิตรกรรมเมื่อใด และนำงานดังกล่าวออกโฆษณาเป็นครั้งแรกตั้งแต่เมื่อใด เพื่อยืนยันว่าขณะเกิดเหตุงานดังกล่าวยังอยู่ในอายุการคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 และโจทก์ไม่ได้บรรยายให้ชัดแจ้งว่า ผู้เสียหายเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในงานสร้างสรรค์ประเภทงานศิลปกรรม จิตรกรรมภาพการ์ตูนดังกล่าวที่จำเลยละเมิดลิขสิทธิ์ โดยเพียงบรรยายฟ้องว่า ผู้เสียหายเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในงานสร้างสรรค์ประเภทงานศิลปกรรม (ศิลปประยุกต์) และงานภาพยนตร์การ์ตูนดังกล่าวเท่านั้น ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องที่ขาดข้อเท็จจริงที่เป็นสาระสำคัญอันเป็นองค์ประกอบความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์โดยการขายหรือมีไว้เพื่อขายซึ่งงานที่ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่นเพื่อการค้าตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 70 วรรคสอง ประกอบมาตรา 31 (1) ไม่ชอบด้วย พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 26 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11191/2557
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตัวแทนขนส่งต่างประเทศ: ความรับผิดของผู้แทนในประเทศที่รับมอบอำนาจเฉพาะการรับส่งสินค้า
โจทก์มีเพียง ท. ซึ่งเป็นพนักงานบริษัทผู้เอาประกันภัยมาเบิกความเกี่ยวกับการทำข้อตกลงสัญญาขนส่งระหว่างผู้เอาประกันภัยกับจำเลยที่ 1 แต่ก็ไม่ยืนยันข้อเท็จจริงให้แน่ชัดว่าผู้เอาประกันภัยตกลงทำสัญญาขนส่งกับจำเลยที่ 1 โดยให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้ขนส่งหรือทำสัญญาขนส่งกับจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2 หรือตกลงให้ร่วมกันขนส่งอย่างใดแน่ ทั้งตามใบรับขนของทางอากาศของจำเลยที่ 2 และที่ 3 แสดงให้เห็นว่า ผู้รับมอบหมายให้จัดการขนส่งทำสัญญาจ้างจำเลยที่ 2 เป็นผู้ขนส่ง แต่จำเลยที่ 2 จ้างจำเลยที่ 3 เป็นผู้ดำเนินการขนส่งและใบรับขนของทางอากาศของจำเลยที่ 3 ระบุให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้รับตราส่งก็เพื่อให้จำเลยที่ 1 ทำหน้าที่เป็นตัวแทนจำเลยที่ 2 ในการรับสินค้าตามใบรับขนของทางอากาศที่จำเลยที่ 2 เป็นผู้ออก ทั้งรายงานการสำรวจความเสียหายก็ระบุว่าจำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนผู้เอาประกันภัยในการดำเนินพิธีศุลกากร เมื่อโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานอื่นที่แสดงว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ขนส่งหรือร่วมขนส่งกับจำเลยที่ 2 แม้จำเลยที่ 1 กับที่ 2 จะเป็นบริษัทในเครือเดียวกันใช้ชื่อเหมือนกัน แต่ก็เป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจากกันและต่างประกอบการขนส่งในแต่ละประเทศต่างหากจากกัน เมื่อตามพฤติการณ์จะต้องขนส่งจากสาธารณรัฐประชาชนจีนอันเป็นที่ตั้งบริษัทจำเลยที่ 2 ก็มีเหตุผลที่จำเลยที่ 2 จะต้องรับขนส่งเพื่อให้ได้ประโยชน์จากค่าระวางเอง โดยไม่จำเป็นต้องให้จำเลยที่ 1 ที่ประกอบกิจการในประเทศไทยร่วมขนส่งแต่อย่างใด พยานหลักฐานต่าง ๆ ล้วนมีเหตุผลแสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ 2 เป็นคู่สัญญาขนส่งกับผู้ขายที่เป็นผู้ส่งสินค้านั้นเอง โดยมีจำเลยที่ 1 บริษัทในเครือกันเป็นตัวแทนจำเลยที่ 2 เฉพาะเพียงการรับสินค้าเพื่อส่งมอบแก่ผู้เอาประกันภัยที่ปลายทางในประเทศไทยและช่วยเรียกเก็บค่าระวางจากผู้เอาประกันภัยแทนจำเลยที่ 2 เพื่อส่งไปให้จำเลยที่ 2 เท่านั้น ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ร่วมขนส่งกับจำเลยที่ 2 รวมทั้งจำเลยที่ 1 ไม่ใช่ตัวแทนในประเทศไทยที่เข้าทำสัญญาขนส่งแทนจำเลยที่ 2 ตัวการในต่างประเทศแต่อย่างใด จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10488/2557
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้ขนส่งทางทะเล กรณีส่งมอบสินค้าล่าช้า ผู้ขนส่งต้องรับผิดไม่เกินค่าระวาง
แม้การระบุถึงวันที่สินค้าพิพาทจะถึงท่าเรือปลายทาง ระบุคำว่า อีทีเอ 24.11.10 ซึ่งหมายถึง กำหนดวันโดยประมาณที่เรือจะเดินทางไปถึงท่าเรือปลายทางวันที่ 24 พฤศจิกายน 2553 อันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติในการขนส่งสินค้าทางทะเลที่ผู้ขนส่งไม่สามารถยืนยันวันส่งมอบสินค้าที่ท่าเรือปลายทางหรือวันที่เรือเดินทางไปถึงท่าเรือปลายทางที่แน่นอนได้ แต่หากตัวแทนของจำเลยไม่ขนถ่ายสินค้าของโจทก์ลงเรือผิดลำ สินค้าของโจทก์ย่อมไปถึงท่าเรือปลายทางตามกำหนดวันที่ประมาณการไว้ เหตุที่สินค้าของโจทก์ไปถึงท่าเรือปลายทางในวันที่ 2 ธันวาคม 2553 มิใช่เหตุล่าช้าในการเดินเรือซึ่งตามปกติย่อมเกิดขึ้นได้ แต่เกิดขึ้นเพราะความบกพร่องและความประมาทเลินเล่อของผู้ขนส่ง กรณีจึงเป็นการส่งมอบที่ชักช้ากว่าระยะเวลาที่ได้ตกลงกันไว้ และทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเพราะผู้ซื้อยกเลิกสัญญาซื้อขาย
การขนส่งสินค้าทางทะเล ผู้ขนส่งมีหน้าที่ขนส่งสินค้าจากท่าเรือต้นทางไปถึงท่าเรือปลายทางตามกำหนดเวลาที่ตกลงกับผู้ส่งสินค้า การเปลี่ยนถ่ายสินค้าจากเรือเดินทะเลลำหนึ่งไปบรรทุกลงเรือเดินทะเลอีกลำหนึ่งหรือกว่านั้น ย่อมต้องเกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติเพื่อให้สินค้าถูกขนส่งไปถึงท่าเรือปลายทางโดยไม่เกิดความเสียหายและภายในกำหนดเวลาที่ประมาณการไว้ การขนถ่ายสินค้าลงเรือเดินทะเลผิดลำ จึงเป็นเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้โดยเฉพาะสินค้าของโจทก์ถูกบรรจุภายในตู้คอนเทนเนอร์ร่วมกับสินค้าของผู้อื่น เป็นเรื่องการจัดการผิดพลาด แม้จะมิได้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง แต่ผู้ขนส่งสามารถนำสินค้าของโจทก์ไปถึงท่าเรือปลายทางในวันที่ 2 ธันวาคม 2553 ช้ากว่าเวลาที่ประมาณการไว้ 8 วัน จึงยังไม่พอฟังได้ว่า การส่งมอบชักช้าดังกล่าวเกิดขึ้นเพราะความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้ขนส่ง
การที่จำเลยไม่สามารถนำสินค้าของโจทก์ไปถึงท่าเรือปลายทางได้ภายในเวลาที่ตกลงกัน ทำให้ผู้ซื้อสินค้าของโจทก์ยกเลิกการซื้อขาย ปฏิเสธไม่ยอมรับสินค้า ทำให้โจทก์เสียหายสิ้นเชิงเพราะสินค้าดังกล่าวไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์หรือจำหน่ายให้แก่บุคคลได้ แต่เมื่อโจทก์ผู้ส่งสินค้าไม่ได้แจ้งราคาสินค้าที่ขนส่งให้ผู้ขนส่งทราบ ทั้งไม่ปรากฏผู้ขนส่งมีเจตนาจะให้เกิดการส่งมอบสินค้าล่าช้า หรือเป็นการละเลยไม่เอาใจใส่ ทั้งที่รู้ว่าการส่งมอบชักช้านั้นอาจเกิดขึ้นได้ ความรับผิดของจำเลยในการส่งมอบชักช้า จึงอยู่ในบังคับของ พ.ร.บ.การรับขนของทางทะเล พ.ศ.2534 มาตรา 58 วรรคสาม คือ รับผิดไม่เกินค่าระวางทั้งหมดตามสัญญารับขนของทางทะเลที่จำเลยทำไว้กับโจทก์
การขนส่งสินค้าทางทะเล ผู้ขนส่งมีหน้าที่ขนส่งสินค้าจากท่าเรือต้นทางไปถึงท่าเรือปลายทางตามกำหนดเวลาที่ตกลงกับผู้ส่งสินค้า การเปลี่ยนถ่ายสินค้าจากเรือเดินทะเลลำหนึ่งไปบรรทุกลงเรือเดินทะเลอีกลำหนึ่งหรือกว่านั้น ย่อมต้องเกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติเพื่อให้สินค้าถูกขนส่งไปถึงท่าเรือปลายทางโดยไม่เกิดความเสียหายและภายในกำหนดเวลาที่ประมาณการไว้ การขนถ่ายสินค้าลงเรือเดินทะเลผิดลำ จึงเป็นเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้โดยเฉพาะสินค้าของโจทก์ถูกบรรจุภายในตู้คอนเทนเนอร์ร่วมกับสินค้าของผู้อื่น เป็นเรื่องการจัดการผิดพลาด แม้จะมิได้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง แต่ผู้ขนส่งสามารถนำสินค้าของโจทก์ไปถึงท่าเรือปลายทางในวันที่ 2 ธันวาคม 2553 ช้ากว่าเวลาที่ประมาณการไว้ 8 วัน จึงยังไม่พอฟังได้ว่า การส่งมอบชักช้าดังกล่าวเกิดขึ้นเพราะความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้ขนส่ง
การที่จำเลยไม่สามารถนำสินค้าของโจทก์ไปถึงท่าเรือปลายทางได้ภายในเวลาที่ตกลงกัน ทำให้ผู้ซื้อสินค้าของโจทก์ยกเลิกการซื้อขาย ปฏิเสธไม่ยอมรับสินค้า ทำให้โจทก์เสียหายสิ้นเชิงเพราะสินค้าดังกล่าวไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์หรือจำหน่ายให้แก่บุคคลได้ แต่เมื่อโจทก์ผู้ส่งสินค้าไม่ได้แจ้งราคาสินค้าที่ขนส่งให้ผู้ขนส่งทราบ ทั้งไม่ปรากฏผู้ขนส่งมีเจตนาจะให้เกิดการส่งมอบสินค้าล่าช้า หรือเป็นการละเลยไม่เอาใจใส่ ทั้งที่รู้ว่าการส่งมอบชักช้านั้นอาจเกิดขึ้นได้ ความรับผิดของจำเลยในการส่งมอบชักช้า จึงอยู่ในบังคับของ พ.ร.บ.การรับขนของทางทะเล พ.ศ.2534 มาตรา 58 วรรคสาม คือ รับผิดไม่เกินค่าระวางทั้งหมดตามสัญญารับขนของทางทะเลที่จำเลยทำไว้กับโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9212/2557
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายระหว่างประเทศ, การไม่ปฏิบัติตามสัญญา, การส่งคืนสินค้า, ค่าเสียหายจากการไม่รับมอบสินค้า
เมื่อไม่มีเหตุอันสมควรสงสัยว่าหนังสือมอบอำนาจไม่ใช่หนังสือมอบอำนาจอันแท้จริง กรณีจึงไม่ต้องกระทำตามที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 26 ประกอบ ป.วิ.พ. มาตรา 47 วรรคสาม
นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นสัญญาซื้อขายแบบ ซีไอเอฟ โจทก์มีหน้าที่จ่ายค่าขนส่งสินค้าไปยังท่าเรือปลายทางที่กรุงเทพมหานคร และเบี้ยประกันภัย ความเสี่ยงภัยจะตกอยู่แก่จำเลยที่ 1 ผู้ซื้อสินค้าเมื่อสินค้าบรรทุกในเรือของผู้ขนส่งแล้ว ส่วนกรรมสิทธิ์ในรถตักคันพิพาทซึ่งเป็นทรัพย์เฉพาะสิ่ง เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์และจำเลยที่ 1 ตกลงกันเป็นอย่างอื่น กรรมสิทธิ์ในรถตักคันพิพาทจึงโอนแก่จำเลยที่ 1 ตั้งแต่ขณะเมื่อได้ทำสัญญาซื้อขายกันแล้ว ดังนั้นก่อนมีการเลิกสัญญา จำเลยที่ 1 จึงมีกรรมสิทธิ์ในรถตักคันพิพาท และมีสิทธิเรียกให้ผู้ขนส่งส่งมอบรถตักคันพิพาทแก่ตนได้ แต่เมื่อมีการเลิกสัญญาโดยความสมัครใจของโจทก์และจำเลยที่ 1 คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมตาม ป.พ.พ. มาตรา 391 กล่าวคือ ต้องให้รถตักคันพิพาทกลับไปเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ เมื่อโจทก์ส่งมอบรถตักคันพิพาทให้แก่ผู้ขนส่ง ถือว่าโจทก์ปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญาซื้อขายแบบซีไอเอฟครบถ้วนแล้ว และเมื่อพิจารณาใบตราส่งแล้ว จำเลยที่ 1 มีฐานะเป็นผู้รับตราส่ง เมื่อรถตักคันพิพาทมาถึงประเทศไทย แม้จำเลยที่ 1 จะไม่ผูกพันตามสัญญาซื้อขายที่ยกเลิกไปแล้ว แต่ก็ต้องดำเนินการเพื่อให้รถตักคันพิพาทกลับไปอยู่ในความครอบครองของโจทก์ดังที่เป็นอยู่เดิม เช่น ส่งรถตักคันพิพาทคืนแก่โจทก์ หรือส่งมอบให้ตัวแทนโจทก์ในประเทศไทย การที่จำเลยที่ 1 เพิกเฉยไม่ดำเนินการใด ๆ ย่อมทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เพราะตามเอกสารยังปรากฏชื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้รับตราส่งอยู่ โดยเฉพาะการที่จำเลยที่ 1 ปฏิเสธที่จะโอนสิทธิในการรับรถตักคันพิพาทให้บุคคลที่สามตามที่โจทก์เสนอ ถือเป็นการละเลยไม่บำบัดปัดป้องหรือบรรเทาความเสียหายให้แก่โจทก์ ส่วนที่จำเลยที่ 2 อ้างว่าการที่จำเลยที่ 1 ยอมรับสินค้าที่ไม่ตรงตามที่ระบุในใบกำกับสินค้าหากจำเลยที่ 2 จะเป็นความผิดเกี่ยวกับอัตราพิกัดภาษี และการสำแดงเท็จ หรือการลงลายมือชื่อในหนังสือโอนสิทธิผู้รับจะเป็นการขัดกับรายละเอียดในใบกำกับสินค้านั้น เป็นข้ออ้างที่ไม่มีน้ำหนักและไม่ใช่เหตุผลอันสมควรที่จะปฏิเสธหน้าที่ภายหลังเลิกสัญญา เนื่องจากปรากฏจากคำเบิกความของเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริการศุลกากรพยานโจทก์ว่า การขอแก้ไขบัญชีสินค้าสำหรับเรือซึ่งหมายถึงการเปลี่ยนผู้รับตราส่งนั้น ผู้ที่ยื่นคำร้องคือตัวแทนเรือไม่ใช่เจ้าของสินค้า นอกจากคำร้องขอแก้ไขจากตัวแทนเรือแล้ว ยังต้องยื่นหนังสือโอนสิทธิ และหนังสือรับโอนสิทธิจากผู้รับตราส่งรายใหม่ประกอบด้วย และเมื่อมีการโอนสิทธิแล้ว ผู้มีหน้าที่เสียภาษีศุลกากรคือ ผู้รับตราส่งที่ได้รับโอนสิทธิ ดังนั้นจำเลยที่ 1 จึงไม่ใช่ผู้ยื่นเรื่องต่อกรมศุลกากรในการเปลี่ยนตัวผู้รับตราส่ง และเมื่อมีการโอนสิทธิแล้ว จำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นผู้ยื่นขอเสียภาษีศุลกากร จำเลยที่ 1 จึงไม่ได้รับผลกระทบไม่ว่าอัตราภาษีศุลกากรจะเป็นอัตราใด ดังนั้นจำเลยที่ 1 มีหน้าที่ต้องส่งมอบรถตักคันพิพาทคืนแก่โจทก์ หากไม่สามารถส่งคืนได้ต้องใช้ราคาพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่รถตักพิพาทถูกส่งมาถึงประเทศไทยจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ส่วนที่โจทก์ฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายกรณีที่จำเลยทั้งสองไม่ดำเนินการรับสินค้าซึ่งบรรจุอยู่ในตู้คอนเทนเนอร์ ณ ท่าเรือปลายทางเพื่อส่งมอบคืนโจทก์ ทำให้โจทก์ต้องรับผิดต่อบริษัท อ. เป็นค่าเช่าตู้คอนเทนเนอร์เกินกำหนดนั้น แม้ไม่มีผู้มารับมอบสินค้าที่ท่าเรือปลายทาง ผู้ขนส่งยังมีหน้าที่ต้องใช้ความระมัดระวังและปฏิบัติการให้เหมาะสมในการเก็บรักษา การดูแล ตาม พ.ร.บ.การรับขนของทางทะเล พ.ศ.2539 มาตรา 10 แต่เนื่องจากผู้ขนส่งเป็นบุคคลภายนอกไม่เกี่ยวข้องกับสัญญาซื้อขาย ไม่อาจทราบเรื่องเจ้าของกรรมสิทธิ์ในสินค้า ผู้ขนส่งต้องย่อมยึดถือชื่อของผู้รับตราส่งตามใบตราส่งเป็นสำคัญ ดังนั้นกรณีที่ไม่มีผู้รับสินค้าที่ท่าเรือปลายทางเป็นเหตุให้ผู้ขนส่งต้องเสียค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เช่น ค่าเสียเวลาของเรือ (demurrage) ค่าเก็บตู้คอนเทนเนอร์ในท่าเรือ (port storage) เป็นต้น ผู้ขนส่งสามารถเรียกร้องจากผู้รับตราส่งได้ ไม่ใช่หน้าที่ของโจทก์ซึ่งเป็นผู้ขายสินค้าที่จะเรียกร้องจากจำเลยที่ 1 โดยตรง นอกจากนี้หากมีการเปลี่ยนตัวผู้รับตราส่ง ผู้รับตราส่งรายใหม่ที่ไปขอรับสินค้าจะเป็นผู้รับผิดชอบชำระค่าใช้จ่ายให้แก่ผู้ขนส่ง ซึ่งไม่ใช่โจทก์อีกเช่นกัน
นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นสัญญาซื้อขายแบบ ซีไอเอฟ โจทก์มีหน้าที่จ่ายค่าขนส่งสินค้าไปยังท่าเรือปลายทางที่กรุงเทพมหานคร และเบี้ยประกันภัย ความเสี่ยงภัยจะตกอยู่แก่จำเลยที่ 1 ผู้ซื้อสินค้าเมื่อสินค้าบรรทุกในเรือของผู้ขนส่งแล้ว ส่วนกรรมสิทธิ์ในรถตักคันพิพาทซึ่งเป็นทรัพย์เฉพาะสิ่ง เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์และจำเลยที่ 1 ตกลงกันเป็นอย่างอื่น กรรมสิทธิ์ในรถตักคันพิพาทจึงโอนแก่จำเลยที่ 1 ตั้งแต่ขณะเมื่อได้ทำสัญญาซื้อขายกันแล้ว ดังนั้นก่อนมีการเลิกสัญญา จำเลยที่ 1 จึงมีกรรมสิทธิ์ในรถตักคันพิพาท และมีสิทธิเรียกให้ผู้ขนส่งส่งมอบรถตักคันพิพาทแก่ตนได้ แต่เมื่อมีการเลิกสัญญาโดยความสมัครใจของโจทก์และจำเลยที่ 1 คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมตาม ป.พ.พ. มาตรา 391 กล่าวคือ ต้องให้รถตักคันพิพาทกลับไปเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ เมื่อโจทก์ส่งมอบรถตักคันพิพาทให้แก่ผู้ขนส่ง ถือว่าโจทก์ปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญาซื้อขายแบบซีไอเอฟครบถ้วนแล้ว และเมื่อพิจารณาใบตราส่งแล้ว จำเลยที่ 1 มีฐานะเป็นผู้รับตราส่ง เมื่อรถตักคันพิพาทมาถึงประเทศไทย แม้จำเลยที่ 1 จะไม่ผูกพันตามสัญญาซื้อขายที่ยกเลิกไปแล้ว แต่ก็ต้องดำเนินการเพื่อให้รถตักคันพิพาทกลับไปอยู่ในความครอบครองของโจทก์ดังที่เป็นอยู่เดิม เช่น ส่งรถตักคันพิพาทคืนแก่โจทก์ หรือส่งมอบให้ตัวแทนโจทก์ในประเทศไทย การที่จำเลยที่ 1 เพิกเฉยไม่ดำเนินการใด ๆ ย่อมทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เพราะตามเอกสารยังปรากฏชื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้รับตราส่งอยู่ โดยเฉพาะการที่จำเลยที่ 1 ปฏิเสธที่จะโอนสิทธิในการรับรถตักคันพิพาทให้บุคคลที่สามตามที่โจทก์เสนอ ถือเป็นการละเลยไม่บำบัดปัดป้องหรือบรรเทาความเสียหายให้แก่โจทก์ ส่วนที่จำเลยที่ 2 อ้างว่าการที่จำเลยที่ 1 ยอมรับสินค้าที่ไม่ตรงตามที่ระบุในใบกำกับสินค้าหากจำเลยที่ 2 จะเป็นความผิดเกี่ยวกับอัตราพิกัดภาษี และการสำแดงเท็จ หรือการลงลายมือชื่อในหนังสือโอนสิทธิผู้รับจะเป็นการขัดกับรายละเอียดในใบกำกับสินค้านั้น เป็นข้ออ้างที่ไม่มีน้ำหนักและไม่ใช่เหตุผลอันสมควรที่จะปฏิเสธหน้าที่ภายหลังเลิกสัญญา เนื่องจากปรากฏจากคำเบิกความของเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริการศุลกากรพยานโจทก์ว่า การขอแก้ไขบัญชีสินค้าสำหรับเรือซึ่งหมายถึงการเปลี่ยนผู้รับตราส่งนั้น ผู้ที่ยื่นคำร้องคือตัวแทนเรือไม่ใช่เจ้าของสินค้า นอกจากคำร้องขอแก้ไขจากตัวแทนเรือแล้ว ยังต้องยื่นหนังสือโอนสิทธิ และหนังสือรับโอนสิทธิจากผู้รับตราส่งรายใหม่ประกอบด้วย และเมื่อมีการโอนสิทธิแล้ว ผู้มีหน้าที่เสียภาษีศุลกากรคือ ผู้รับตราส่งที่ได้รับโอนสิทธิ ดังนั้นจำเลยที่ 1 จึงไม่ใช่ผู้ยื่นเรื่องต่อกรมศุลกากรในการเปลี่ยนตัวผู้รับตราส่ง และเมื่อมีการโอนสิทธิแล้ว จำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นผู้ยื่นขอเสียภาษีศุลกากร จำเลยที่ 1 จึงไม่ได้รับผลกระทบไม่ว่าอัตราภาษีศุลกากรจะเป็นอัตราใด ดังนั้นจำเลยที่ 1 มีหน้าที่ต้องส่งมอบรถตักคันพิพาทคืนแก่โจทก์ หากไม่สามารถส่งคืนได้ต้องใช้ราคาพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่รถตักพิพาทถูกส่งมาถึงประเทศไทยจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ส่วนที่โจทก์ฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายกรณีที่จำเลยทั้งสองไม่ดำเนินการรับสินค้าซึ่งบรรจุอยู่ในตู้คอนเทนเนอร์ ณ ท่าเรือปลายทางเพื่อส่งมอบคืนโจทก์ ทำให้โจทก์ต้องรับผิดต่อบริษัท อ. เป็นค่าเช่าตู้คอนเทนเนอร์เกินกำหนดนั้น แม้ไม่มีผู้มารับมอบสินค้าที่ท่าเรือปลายทาง ผู้ขนส่งยังมีหน้าที่ต้องใช้ความระมัดระวังและปฏิบัติการให้เหมาะสมในการเก็บรักษา การดูแล ตาม พ.ร.บ.การรับขนของทางทะเล พ.ศ.2539 มาตรา 10 แต่เนื่องจากผู้ขนส่งเป็นบุคคลภายนอกไม่เกี่ยวข้องกับสัญญาซื้อขาย ไม่อาจทราบเรื่องเจ้าของกรรมสิทธิ์ในสินค้า ผู้ขนส่งต้องย่อมยึดถือชื่อของผู้รับตราส่งตามใบตราส่งเป็นสำคัญ ดังนั้นกรณีที่ไม่มีผู้รับสินค้าที่ท่าเรือปลายทางเป็นเหตุให้ผู้ขนส่งต้องเสียค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เช่น ค่าเสียเวลาของเรือ (demurrage) ค่าเก็บตู้คอนเทนเนอร์ในท่าเรือ (port storage) เป็นต้น ผู้ขนส่งสามารถเรียกร้องจากผู้รับตราส่งได้ ไม่ใช่หน้าที่ของโจทก์ซึ่งเป็นผู้ขายสินค้าที่จะเรียกร้องจากจำเลยที่ 1 โดยตรง นอกจากนี้หากมีการเปลี่ยนตัวผู้รับตราส่ง ผู้รับตราส่งรายใหม่ที่ไปขอรับสินค้าจะเป็นผู้รับผิดชอบชำระค่าใช้จ่ายให้แก่ผู้ขนส่ง ซึ่งไม่ใช่โจทก์อีกเช่นกัน