พบผลลัพธ์ทั้งหมด 33 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1039/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของนายประกันเมื่อจำเลยไม่มาตามนัด แม้เจ้าทุกข์ถอนฟ้อง
ในคดีความผิดต่อส่วนตัว ในระหว่างพิจารณานายประกันไม่นำจำเลยมาในวันนัดของศาลแม้ต่อมาเจ้าทุกข์ได้ขอถอนคำร้องทุกข์เสียแล้วก็ตาม ศาลก็ย่อมปรับนายประกันฐานผิดสัญญาประกันตามจำนวนที่ศาลเห็นสมควรได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 749-750/2499
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสมบูรณ์ของฟ้องคดีป่าไม้และการขาดลายมือชื่อผู้เรียงฟ้องส่งผลต่อความชอบด้วยกฎหมายของคำพิพากษา
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยโดยให้วางโทษทั้งจำคุกและปรับ
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขเพียงเล็กน้อยในข้อให้ลดโทษฐานปราณีตาม กฎหมายอาญา มาตรา 59 และให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
คำขอให้ลงโทษของโจทก์ โจทก์มิได้อ้าง พระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ. 2484 มาตรา 69,73 คงอ้างมาแต่ พระราชบัญญัติป่าไม้(ฉบับที่ 3)พ.ศ. 2494 มาตรา16,17 เช่นนี้ถือได้แล้วว่าฟ้องโจทก์ได้อ้างมาตราในกฎหมายซึ่งบัญญัติว่าการกระทำของจำเลยนั้นเป็นความผิดและความใน พระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ.2484 มาตรา 69,73 ได้ถูกยกเลิกตามพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2494 มาตรา 16,17 แล้ว เมื่อศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงตามฟ้องโจทก์สืบสมศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยได้แม้ศาลจะอ้าง มาตรา 69 และ 73 แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 เป็นบทลงโทษด้วยก็หาทำให้จำเลยพ้นผิดไปได้ไม่จึงถือว่าฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(6) และการที่ศาลลงโทษจำเลยก็ชอบด้วยกระบวนวิธีพิจารณาแล้ว
ปัญหาว่าฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือไม่เพราะไม่มีลายมือชื่อผู้เรียงถือว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยแม้จำเลยจะมิได้หยิบยกขึ้นโต้เถียงในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์แต่จำเลยย่อมหยิบยกขึ้นโต้เถียงในชั้นศาลฎีกาได้เสมอ
ปรากฏว่าฟ้องของโจทก์ไม่มีลายมือชื่อผู้เรียงจริงจึงถือว่าไม่เป็นฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา158(7) ศาลต้องยกฟ้องเสียโดยไม่จำต้องพิจารณาถึงปัญหาอื่นอีก
จำเลยฎีกาว่าจำเลยได้ชำระค่าปรับตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นไว้แล้วแต่จำเลยต้องถูกขังเกินกำหนดเวลาที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำคุกและปรับมา ศาลควรต้องหักเวลาที่ต้องขังเกินกำหนดโดยคิดเป็นเงินวันละ1 บาท คืนให้จำเลยนั้นกรณีเป็นเรื่องบังคับตามคำพิพากษาเมื่อยังไม่ปรากฏว่าศาลล่างได้มีคำสั่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้อย่างไรย่อมถือว่ายังไม่มีปัญหามาสู่ศาลฎีกา ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยให้
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขเพียงเล็กน้อยในข้อให้ลดโทษฐานปราณีตาม กฎหมายอาญา มาตรา 59 และให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
คำขอให้ลงโทษของโจทก์ โจทก์มิได้อ้าง พระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ. 2484 มาตรา 69,73 คงอ้างมาแต่ พระราชบัญญัติป่าไม้(ฉบับที่ 3)พ.ศ. 2494 มาตรา16,17 เช่นนี้ถือได้แล้วว่าฟ้องโจทก์ได้อ้างมาตราในกฎหมายซึ่งบัญญัติว่าการกระทำของจำเลยนั้นเป็นความผิดและความใน พระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ.2484 มาตรา 69,73 ได้ถูกยกเลิกตามพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2494 มาตรา 16,17 แล้ว เมื่อศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงตามฟ้องโจทก์สืบสมศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยได้แม้ศาลจะอ้าง มาตรา 69 และ 73 แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 เป็นบทลงโทษด้วยก็หาทำให้จำเลยพ้นผิดไปได้ไม่จึงถือว่าฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(6) และการที่ศาลลงโทษจำเลยก็ชอบด้วยกระบวนวิธีพิจารณาแล้ว
ปัญหาว่าฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือไม่เพราะไม่มีลายมือชื่อผู้เรียงถือว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยแม้จำเลยจะมิได้หยิบยกขึ้นโต้เถียงในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์แต่จำเลยย่อมหยิบยกขึ้นโต้เถียงในชั้นศาลฎีกาได้เสมอ
ปรากฏว่าฟ้องของโจทก์ไม่มีลายมือชื่อผู้เรียงจริงจึงถือว่าไม่เป็นฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา158(7) ศาลต้องยกฟ้องเสียโดยไม่จำต้องพิจารณาถึงปัญหาอื่นอีก
จำเลยฎีกาว่าจำเลยได้ชำระค่าปรับตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นไว้แล้วแต่จำเลยต้องถูกขังเกินกำหนดเวลาที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำคุกและปรับมา ศาลควรต้องหักเวลาที่ต้องขังเกินกำหนดโดยคิดเป็นเงินวันละ1 บาท คืนให้จำเลยนั้นกรณีเป็นเรื่องบังคับตามคำพิพากษาเมื่อยังไม่ปรากฏว่าศาลล่างได้มีคำสั่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้อย่างไรย่อมถือว่ายังไม่มีปัญหามาสู่ศาลฎีกา ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 53/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสิ้นสุดสัญญาประกันเมื่อจำเลยหลบหนีหลังฟังคำพิพากษา ศาลถือว่าสัญญาประกันสิ้นสุดโดยปริยาย
นายประกันตัวจำเลยซึ่งส่งตัวจำเลยมาฟังคำพิพากษาตามนัด
จำเลยมาฟังคำพิพากษาจบ และเซ็นนามในหน้าสำนวนแล้วหลบหนีไปในระหว่างที่ผู้พิพากษายังอยู่บนบัลลังก์ ดังนี้ถือว่าสัญญาประกันเดิมสิ้นสุดนายประกันพ้นความรับผิด
จำเลยมาฟังคำพิพากษาจบ และเซ็นนามในหน้าสำนวนแล้วหลบหนีไปในระหว่างที่ผู้พิพากษายังอยู่บนบัลลังก์ ดังนี้ถือว่าสัญญาประกันเดิมสิ้นสุดนายประกันพ้นความรับผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1467/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสิ้นสุดสัญญาประกันตัวเมื่อศาลพิพากษาลงโทษจำเลย ผู้ประกันหมดหน้าที่
คดีอาญา ผู้ประกันนำจำเลยมาตามวันนัดให้มาฟังคำพิพากษาศาลได้เรียกจำเลยเข้าฟังคำพิพากษา และอ่านคำพิพากษาลงโทษจำเลยแล้ว ถือได้ว่าผู้ประกันได้นำตัวจำเลยส่งศาลแล้ว การที่ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยนั้น ย่อมถือเสมือนว่าศาลสั่งถอนประกันไปในตัว ผู้ประกันหมดหน้าที่ตามสัญญาประกันแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1467/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสิ้นสุดสัญญาประกันตัวเมื่อศาลมีคำพิพากษาลงโทษจำเลย และหน้าที่ของผู้ประกัน
คดีอาญา ผู้ประกันนำจำเลยมาตามวันนัดให้มาฟังคำพิพากษา ศาลได้เรียกจำเลยเข้าฟังคำพิพากษา และอ่านคำพิพากษาลงโทษจำเลยแล้ว ถือได้ได้ว่าผู้ประกันได้นำตัวจำเลยส่งศาลแล้ว การที่ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยนั้น ย่อมถือเสมือนว่าศาลสั่งถอนประกันไปในตัว ผู้ประกันหมดหน้าที่ตามสัญญาประกันแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1218/2491
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลื่อนคดีอาญา: เหตุผลที่ควรอนุญาตเลื่อนเมื่อพยานไม่มาและโจทก์ได้ดำเนินการส่งหมายเรียกพยานแล้ว
คดีอาญา นัดพิจารณาครั้งแรก ตัวโจทก์มาศาล แต่พยานโจทก์ไม่มา โจทก์แถลงว่าไม่ทราบเหตุขัดข้อง แต่ได้ส่งหมายพยานไปทางอำเภอแล้ว ขอเลื่อนคดี ดังนี้ กรณีมีเหตุที่ควรอนุญาตให้เลื่อนคดีได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1021/2491
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคืนหลักประกันเมื่อคดีถึงที่สุด แม้มีการอุทธรณ์ระหว่างดำเนินคดี
คดีอาญา เมื่อคดีถึงที่สุดแล้วต้องคืนหลักประกันแก่ผู้ที่ควรรับไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 26/2487
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสิ้นสุดความรับผิดของนายประกันเมื่อจำเลยชำระค่าปรับ
ศาลชั้นต้นพิพากษาปรับจำเลย จำเลยชำระค่าปรับแล้วนายประกันในศาลชั้นต้นก็เป็นอันหมดความรับผิดตามสัญญาประกันแม้โจทก์จะอุทธรณ์ก็ไม่สำคัญ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 26/2487 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปล่อยตัวจำเลยหลังชำระค่าปรับ และความรับผิดของนายประกัน
สา--ชั้นต้นพิพากสาปรับจำเลย จำเลยชำระค่าปรับแล้ว นายประกันไปสาลชั้นต้นก็เปนอันหมดความรับผิดตามสัญญาประกัน แม้โจทจะอุธรน์ไม่สำคัน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 972/2480
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีอาญาโดยโจทก์ต่างคนกัน และผลของการไม่โต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้น
อัยยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลย 2 พวก ฐานทำร้ายร่างกายจำเลยพวกหนึ่งได้เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยอีกพวกหนึ่งฐานทำร้ายร่างกายบาดเจ็บสาหัส เมื่อศาลขั้นต้นยกฟ้องสำนวนที่อัยยการเป็นโจทก์ฟ้อง แต่ลงโทษจำเลยพวกที่ถูกฟ้องฐานทำร้ายร่างการบาดเจ็บสาหัสแลัว อัยยการมิได้อุทธรณ์เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกฟ้องจำเลยพวกที่ถูกลงโทษอัยยการจะฎีกาไม่ได้เราะเมื่ออัยยการไม่อุทธรณ์คดีก็เสร็จเด็ดชาดแล้ว