พบผลลัพธ์ทั้งหมด 304 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1272/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฆ่าเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่: เหตุบันดาลโทสะไม่สมเหตุผล
ข้อเท็จจริงฟังได้ความว่า จำเลยเป็นพลตำรวจ ผู้ตายเป็นผู้บังคับกองเป็นผู้บังคับบัญชาของจำเลย ผู้ตายได้สั่งให้จำเลยปฏิบัติหน้าที่ราชการตามอำนาจหน้าที่ แต่จำเลยละเลยไม่ปฏิบัติกลับประพฤติผิดวินัย เมาสุราอาละวาด พกอาวุธปืนเถื่อนและขัดขืนคำสั่ง พูดจาท้าทายจะยิงกับผู้ตายต่อหน้าประชาชน ผู้ตายจึงตบหน้าจำเลยไป 1 ปี แล้วนำตัวไปสถานีตำรวจ ระหว่างทางจำเลยยังทำร้ายและพูดจาก้าวร้าวท้าทายผู้ตายอีก เมื่อถึงสถานีตำรวจ ผู้ตายจึงชกและเตะจำเลยไปอย่างละที แล้วสั่งให้ขังจำเลยเป็นการลงทัณฑ์ตามอำนาจหน้าที่ที่ผู้ตายในฐานะผู้บังคับบัญชากระทำได้ตามพระราชบัญญัติวินัยตำรวจ จำเลยกลับหนีไปบ้านพักเอาอาวุธปืนมายิงผู้ตายด้วยเจตนาฆ่าผู้ตายถึงแก่ความตาย ดังนี้ เป็นการฆ่าผู้ตายซึ่งเป็นเจ้าพนักงานเพราะเหตุที่ได้กระทำการตามหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (2) แม้ผู้ตายจะกระทำแก่จำเลยเกินเลยไปบ้าง การกระทำของผู้ตายก็ไม่ทำให้กลายเป็นไม่ใช่เจ้าพนักงานไปได้
การที่จำเลยถูกผู้ตายตบหน้า ชกและเตะแล้วจำเลยหลบหนีไปห้องพักของจำเลยเอาปืนมายิงผู้ตาย การกระทำของผู้ตายที่มีต่อจำเลยได้ขาดตอนไปแล้ว จำเลยมิได้กระทำในขณะจำเลยถูกทำร้ายด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การกระทำของจำเลยที่ยิงผู้ตายในตอนหลังนี้ไม่เข้าลักษณะเป็นการบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72
การที่จำเลยถูกผู้ตายตบหน้า ชกและเตะแล้วจำเลยหลบหนีไปห้องพักของจำเลยเอาปืนมายิงผู้ตาย การกระทำของผู้ตายที่มีต่อจำเลยได้ขาดตอนไปแล้ว จำเลยมิได้กระทำในขณะจำเลยถูกทำร้ายด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การกระทำของจำเลยที่ยิงผู้ตายในตอนหลังนี้ไม่เข้าลักษณะเป็นการบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1272/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฆ่าเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่: การกระทำของผู้ตายไม่ขาดตอนและจำเลยไม่ได้ถูกทำร้ายขณะกระทำผิด จึงไม่เป็นบันดาลโทสะ
ข้อเท็จจริงฟังได้ความว่า จำเลยเป็นพลตำรวจ ผู้ตายเป็นผู้บังคับกองเป็นผู้บังคับบัญชาของจำเลย ผู้ตายได้สั่งให้จำเลยปฏิบัติหน้าที่ราชการตามอำนาจหน้าที่ แต่จำเลยละเลยไม่ปฏิบัติกลับประพฤติผิดวินัย เมาสุราอาละวาดพกอาวุธปืนเถื่อนและขัดขืนคำสั่ง พูดจาท้าทายจะยิงกับผู้ตายต่อหน้าประชาชน ผู้ตายจึงตบหน้าจำเลยไป 1 ที แล้วนำตัวไปสถานีตำรวจระหว่างทางจำเลยยังทำร้ายและพูดจาก้าวร้าวท้าทายผู้ตายอีก เมื่อถึงสถานีตำรวจ ผู้ตายจึงชกและเตะจำเลยไปอย่างละที แล้วสั่งให้ขังจำเลยเป็นการลงทัณฑ์ตามอำนาจหน้าที่ที่ผู้ตายในฐานะผู้บังคับบัญชากระทำได้ตามพระราชบัญญัติวินัยตำรวจ จำเลยกลับหนีไปบ้านพักเอาอาวุธปืนมายิงผู้ตายด้วยเจตนาฆ่าจนผู้ตายถึงแก่ความตาย ดังนี้เป็นการฆ่าผู้ตายซึ่งเป็นเจ้าพนักงานเพราะเหตุที่ได้กระทำการตามหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(2) แม้ผู้ตายจะกระทำแก่จำเลยเกินเลยไปบ้าง การกระทำของผู้ตายก็ไม่ทำให้กลายเป็นไม่ใช่เจ้าพนักงานไปได้
การที่จำเลยถูกผู้ตายตบหน้า ชกและเตะแล้วจำเลยหลบหนีไปห้องพักของจำเลยเอาปืนมายิงผู้ตาย การกระทำของผู้ตายที่มีต่อจำเลยได้ขาดตอนไปแล้ว จำเลยมิได้กระทำในขณะจำเลยถูกทำร้ายด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การกระทำของจำเลยที่ยิงผู้ตายในตอนหลังนี้ไม่เข้าลักษณะเป็นการบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72
การที่จำเลยถูกผู้ตายตบหน้า ชกและเตะแล้วจำเลยหลบหนีไปห้องพักของจำเลยเอาปืนมายิงผู้ตาย การกระทำของผู้ตายที่มีต่อจำเลยได้ขาดตอนไปแล้ว จำเลยมิได้กระทำในขณะจำเลยถูกทำร้ายด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การกระทำของจำเลยที่ยิงผู้ตายในตอนหลังนี้ไม่เข้าลักษณะเป็นการบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1266/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเบิกเงินทดรองค่าก่อสร้างและการไม่นำไปซื้อวัสดุ ไม่เป็นความผิดฐานยักยอก หากเป็นหน้าที่ต้องจัดหาอยู่แล้ว
จำเลยรับเหมาก่อสร้างบ้านพักให้ ช. และขอเบิกเงินจำนวนหนึ่งจาก ช. เพื่อนำไปซื้อวัสดุก่อสร้าง ช. ก็ทดรองจ่ายเงินจำนวนนั้นให้จำเลย แต่จำเลยไม่นำเงินไปซื้อวัสดุก่อสร้าง เช่นนี้ จำเลยไม่มีความผิดฐานยักยอก เพราะจำเลยมีหน้าที่จัดหาวัสดุก่อสร้างอยู่แล้ว มิใช่รับเงินไปซื้อวัสดุก่อสร้างตามคำสั่งของ ช.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1266/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเบิกเงินค่าวัสดุก่อสร้างจากผู้ว่าจ้าง จำเลยไม่มีความผิดฐานยักยอก เพราะเป็นหน้าที่ต้องจัดหาวัสดุเอง
จำเลยรับเหมาก่อสร้างบ้านพักให้ ช. และขอเบิกเงินจำนวนหนึ่งจาก ช. เพื่อนำไปซื้อวัสดุก่อสร้าง ช. ก็ทดรองจ่ายเงินจำนวนนั้นให้จำเลยแต่จำเลยไม่นำเงินไปซื้อวัสดุก่อสร้างเช่นนี้ จำเลยไม่มีความผิดฐานยักยอกเพราะจำเลยมีหน้าที่จัดหาวัสดุก่อสร้างอยู่แล้ว มิใช่รับเงินไปซื้อวัสดุก่อสร้างตามคำสั่งของ ช.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1087/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องเรียกเงินคืนจากการสัญญาช่วยเหลือทางคดีที่ไม่เป็นผล การฟ้องไม่เคลือบคลุมและไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อย
ฟ้องเรียกเงินคืนที่โจทก์บรรยายข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหามาแล้วว่า เมื่อเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ 2511 ก่อนพนักงานอัยการยื่นฟ้องบุตรโจทก์ต่อศาล จำเลยได้เรียกเอาเงินโจทก์ไป 2 คราว ๆ ละ500 บาท โดยจำเลยรับจะช่วยบุตรโจทก์ให้พ้นโทษ โดยจะหาทนายสู้คดีหรือช่วยด้วยวิธีอื่นให้บุตรโจทก์ถูกปล่อย โจทก์หลงเชื่อจึงมอบเงินให้จำเลยไป เมื่อบุตรโจทก์ถูกฟ้องศาล จำเลยไม่ช่วยเหลืออย่างใดกลับบอกให้บุตรโจทก์รับสารภาพโดยบอกว่า อายุยังไม่ถึง 20 ปี ศาลไม่ลงโทษเป็นเหตุให้บุตรโจทก์หลงเชื่อรับสารภาพ ดังนี้ ไม่จำเป็นต้องระบุว่าจำเลยเรียกเอาเงินจากโจทก์ที่ไหน จำเลยก็เข้าใจฟ้องได้ดีแล้ว เป็นฟ้องไม่เคลือบคลุม และไม่ใช่เป็นฟ้องที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน เพราะไม่ใช่ให้เงินแก่จำเลยเพื่อช่วยเหลือโดยวิธีที่ผิดกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1086/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขัดทรัพย์ก่อนการบังคับคดี การถอนคำร้องไต่สวน และสิทธิในการอุทธรณ์
ศาลสั่งอนุญาตให้เจ้าพนักงานบังคับคดีขายนาพิพาทไปก่อนสั่งคำร้องขัดทรัพย์ของผู้ร้อง ดังนี้ ผู้ร้องยังเป็นคนนอกคดีในขณะศาลอนุญาตให้ขาย เมื่อผู้ร้องเห็นว่าการขายทำไปโดยไม่ถูกต้องไม่สมควรประการใด ถ้าหากตนมีส่วนได้เสียก็ชอบที่จะร้องขอต่อศาลให้สั่งยกคำสั่งอนุญาตให้ขาย และกำหนดวิธีการอย่างใด ๆ ตามที่เห็นสมควร ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 296 วรรคสองเมื่อศาลไต่สวนสั่งต่อไปประการใด หากไม่พอใจก็อุทธรณ์ฎีกาต่อไป กรณีนี้ ในชั้นแรกศาลก็สั่งนัดไต่สวนหาข้อเท็จจริงเพื่อสั่งคำร้องของผู้ร้องแล้ว แต่ผู้ร้องกลับขอให้งดการไต่สวนเสียเอง แล้วยื่นอุทธรณ์ขอให้เพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้ขายนาที่พิพาทเสียทีเดียวดังนี้ ย่อมไม่มีข้อเท็จจริงที่จะรับฟังตามคำร้องของผู้ร้องได้ ผู้ร้องจึงไม่มีข้ออ้างที่จะยกเป็นข้ออุทธรณ์ ขอให้เพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ขายทอดตลาดไปก่อนแล้วได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1075/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขโทษที่ศาลอุทธรณ์ และการใช้ดุลพินิจในการวางโทษที่เหมาะสม
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 81 ลงโทษจำคุกจำเลย 2 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะเรื่องโทษ เป็นให้จำคุกจำเลย 1 ปี และให้รอการลงโทษจำเลยไว้มีกำหนด 3 ปี เช่นนี้เป็นการแก้มาก โจทก์ฎีกาคัดค้านดุลพินิจในการวางโทษของศาลอุทธรณ์ได้ ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 และ 220
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1075/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขโทษจำคุกโดยศาลอุทธรณ์ โจทก์ฎีกาได้ ศาลฎีกายืนตามดุลพินิจ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 81 ลงโทษจำคุกจำเลย 2 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะเรื่องโทษ เป็นให้จำคุกจำเลย 1 ปี และให้รอการลงโทษจำเลยไว้มีกำหนด3 ปี เช่นนี้เป็นการแก้มาก โจทก์ฎีกาคัดค้านดุลพินิจในการวางโทษของศาลอุทธรณ์ได้ ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 และ 220
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1071/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายที่ดิน & เพิกถอนคืนการให้: สิทธิเรียกร้องยังคงอยู่แม้มีคำพิพากษาคืนการให้
จำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินพิพาทแก่โจทก์และจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์จึงฟ้องขอให้บังคับจำเลยโอนที่พิพาทให้โจทก์เป็นคดีนี้ ในระหว่างพิจารณา มารดาจำเลยได้ฟ้องเรียกที่ดินคืนจากจำเลยเพราะเหตุเนรคุณ ซึ่งศาลชั้นต้นได้พิพากษาให้เพิกถอนคืนการให้ ถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติตามก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย คดีถึงที่สุด ดังนี้ แม้ที่พิพาทที่โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยโอนให้โจทก์ในคดีนี้จะถูกศาลพิพากษาให้เพิกถอนคืนการให้ในคดีระหว่างมารดาจำเลยเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยตามสำนวนคดีแพ่งแดงที่ 14/2511 ก็ตาม แต่ยังไม่มีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์กลับคืนไปยังมารดาจำเลย กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทจึงยังเป็นของจำเลยอยู่ จำเลยอยู่ในฐานะที่จะถูกบังคับให้โอนขายให้โจทก์ตามฟ้องได้ ส่วนปัญหาระหว่างโจทก์กับมารดาจำเลยซึ่งต่างเป็นผู้ชนะคดีด้วยกัน ใครจะมีสิทธิดีกว่ากันนั้น ก็จะต้องไปว่ากล่าวกันในชั้นบังคับคดีหรือฟ้องร้องกันใหม่ ไม่ใช่ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยชี้ขาดในชั้นนี้
คำพิพากษาในคดีแพ่งแดงที่ 14/2511 เป็นคำพิพากษาให้เพิกถอนคืนการให้เพราะเหตุเนรคุณ ไม่ใช่คำพิพากษาที่วินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินใด ๆ ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145(2) ใช้ยันโจทก์ซึ่งไม่ได้เป็นคู่ความด้วยไม่ได้
คำพิพากษาในคดีแพ่งแดงที่ 14/2511 เป็นคำพิพากษาให้เพิกถอนคืนการให้เพราะเหตุเนรคุณ ไม่ใช่คำพิพากษาที่วินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินใด ๆ ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145(2) ใช้ยันโจทก์ซึ่งไม่ได้เป็นคู่ความด้วยไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1071/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
แม้มีคำพิพากษาเพิกถอนคืนการให้ แต่หากกรรมสิทธิ์ยังไม่โอน โจทก์ยังบังคับให้จำเลยโอนได้
จำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินพิพาทแก่โจทก์และจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์จึงฟ้องขอให้บังคับจำเลยโอนที่พิพาทให้โจทก์เป็นคดีนี้ ในระหว่างพิจารณา มารดาจำเลยได้ฟ้องเรียกที่ดินคืนจากจำเลยเพราะเหตุเนรคุณ ซึ่งศาลชั้นต้นได้พิพากษาให้เพิกถอนคืนการให้ ถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติตามก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย คดีถึงที่สุด ดังนี้ แม้ที่พิพาทที่โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยโอนให้โจทก์ในคดีนี้จะถูกศาลพิพากษาให้เพิกถอนคืนการให้ในคดีระหว่างมารดาจำเลยเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยตามสำนวนคดีแพ่งแดงที่ 14/2511 ก็ตาม แต่ยังไม่มีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์กลับคืนไปยังมารดาจำเลย กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทจึงยังเป็นของจำเลยอยู่ จำเลยอยู่ในฐานะที่จะถูกบังคับให้โอนขายให้โจทก์ตามฟ้องได้ ส่วนปัญหาระหว่างโจทก์กับมารดาจำเลยซึ่งต่างเป็นผู้ชนะคดีด้วยกัน ใครจะมีสิทธิดีกว่ากันนั้น ก็จะต้องไปว่ากล่าวกันในชั้นบังคับคดีหรือฟ้องร้องกันใหม่ ไม่ใช่ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยชี้ขาดในชั้นนี้
คำพิพากษาในคดีแพ่งแดงที่ 14/2511 เป็นคำพิพากษาให้เพิกถอนคืนการให้เพราะเหตุเนรคุณไม่ใช่คำพิพากษาที่วินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินใด ๆ ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 (2) ใช้ยันโจทก์ซึ่งไม่ได้เป็นคู่ความด้วยไม่ได้
คำพิพากษาในคดีแพ่งแดงที่ 14/2511 เป็นคำพิพากษาให้เพิกถอนคืนการให้เพราะเหตุเนรคุณไม่ใช่คำพิพากษาที่วินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินใด ๆ ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 (2) ใช้ยันโจทก์ซึ่งไม่ได้เป็นคู่ความด้วยไม่ได้