คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.พ.พ. ม. 535 (3)

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 14 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3880/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนการให้ทรัพย์สินโดยเสน่หาและการประพฤติเนรคุณ รวมถึงการนำสืบหลักฐานเจตนาการให้
โจทก์จดทะเบียนยกที่ดินให้แก่จำเลยผู้เป็นบุตรเพื่อนำไปทำมาหาเลี้ยงชีพนั้น เป็นการให้ทรัพย์สินแก่บุตรโดยเสน่หา มิใช่เป็นการให้โดยหน้าที่ธรรมจรรยาดังที่บัญญัติไว้ตามมาตรา 535 (3) แห่ง ป.พ.พ.เพราะโจทก์ไม่มีหน้าที่ตามธรรมจรรยาที่จะต้องกระทำเช่นนั้น ทั้งในการจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่จำเลยก็ระบุไว้ในสารบัญจดทะเบียนตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์และหนังสือสัญญาให้ที่ดินว่า เป็นการให้ไม่มีค่าตอบแทน เพราะผู้รับให้เป็นบุตร จำเลยผู้รับให้จะอ้างว่าที่ระบุการให้เช่นนั้น เป็นแต่เพียงกระทำขึ้นตามระเบียบปฏิบัติของกรมที่ดินกระทรวงมหาดไทย มิได้กระทำไปตามเจตนาแห่งการให้โดยหน้าที่ธรรมจรรยาหาได้ไม่ จึงต้องฟังว่าการจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่จำเลยดังกล่าวเป็นการให้ทรัพย์สินโดยเสน่หา
จำเลยด่าโจทก์ผู้ให้ซึ่งเป็นบิดาของจำเลยด้วยถ้อยคำว่า"ไอ้เปรต ไอ้เฒ่าบ้า แก่จะเข้าโลงยังหลงบ้าสมบัติ แถมบ้าเมีย ไม่สมแก่ไอ้หัวล้าน" และด้วยถ้อยคำว่า "ไอ้เปรต ไอ้เฒ่า ไอ้หัวดอ ตายกับหีอีคลี่"ต่อหน้าบุคคลอื่น การที่จำเลยด่าโจทก์ด้วยถ้อยคำเช่นนั้นผู้ได้ยินฟังย่อมเข้าใจได้ว่าโจทก์เป็นคนไม่ดี บ้าสมบัติ บ้าผู้หญิง ถ้อยคำดังกล่าวมิใช่เป็นเพียงแต่คำหยาบคายและเป็นคำกล่าวที่ไม่สมควรเท่านั้น หากแต่เป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ผู้ให้อย่างร้ายแรง อันถือได้ว่าเป็นการประพฤติเนรคุณ โจทก์ย่อมจะเรียกถอนคืนการให้จากจำเลยได้ตาม ป.พ.พ.มาตรา 531 (2)
แม้สารบัญจดทะเบียนตามโฉนดที่ดิน จะระบุว่า อ.ขายให้แก่จำเลยก็ตาม แต่โจทก์ก็สามารถนำพยานบุคคลมาสืบได้ว่าโจทก์ผู้เป็นบิดาเป็นผู้ชำระราคาที่ดิน โดยให้จำเลยบุตรของโจทก์เป็นผู้รับโอนในฐานะผู้ซื้อเนื่องจากโจทก์ประสงค์จะยกที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลย เพราะเป็นการนำสืบถึงเหตุแห่งความจริงเกี่ยวกับเจตนาของโจทก์ผู้ให้และความสัมพันธ์ระหว่างผู้ให้กับผู้รับการยกให้ การจดทะเบียนก็ยังคงเป็นการจดทะเบียนขายที่ดินของ อ. ให้โจทก์ เพียงแต่ระบุชื่อผู้ซื้อเป็นจำเลยซึ่งเป็นผู้ที่โจทก์ประสงค์จะยกที่ดินนั้นให้เท่านั้น หาใช่เป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสารอันจะต้องห้ามตาม ป.วิ.พ.มาตรา 94
คดีนี้จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ แต่จำเลยสาบานตนให้การเป็นพยาน ปัญหาว่าการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยในประเด็นที่ว่าที่ดินพิพาท ร.มารดาจำเลยเป็นเจ้าของร่วมอยู่ด้วย โจทก์จึงไม่มีสิทธิขอให้เพิกถอนที่ดินส่วนของนางรุ่นชอบหรือไม่นั้น เมื่อประเด็นดังกล่าวจำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้คดีไว้ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นทั้งมิใช่เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลอุทธรณ์ภาค 3ไม่รับวินิจฉัยให้ชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3880/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การให้ทรัพย์สินโดยเสน่หา vs. หน้าที่ธรรมจรรยา, การหมิ่นประมาท, และการเพิกถอนการให้
โจทก์จดทะเบียนยกที่ดินให้แก่จำเลยผู้เป็นบุตรเพื่อ นำไปทำมาหาเลี้ยงชีพนั้น เป็นการให้ทรัพย์สินแก่บุตรโดยเสน่หามิใช่เป็นการให้โดยหน้าที่ธรรมจรรยาดังที่บัญญัติไว้ตามมาตรา 535(3) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เพราะโจทก์ไม่มีหน้าที่ตามธรรมจรรยาที่จะต้องกระทำเช่นนั้น ทั้งในการจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่จำเลยก็ระบุไว้ในสารบัญจดทะเบียนตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์และหนังสือสัญญาให้ที่ดินว่าเป็นการให้ไม่มีค่าตอบแทน เพราะผู้รับให้เป็นบุตร จำเลยผู้รับให้จะอ้างว่าที่ระบุการให้เช่นนั้น เป็นแต่เพียงกระทำขึ้นตามระเบียบปฎิบัติของกรมที่ดินกระทรวงมหาดไทยมิได้กระทำตามเจตนาแห่งการให้โดยหน้าที่ธรรมจรรยาหาได้ไม่จึงต้องฟังว่าการจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่จำเลยดังกล่าวเป็นการให้ทรัพย์สินโดยเสน่หา จำเลยด่าโจทก์ผู้ให้ซึ่งเป็นบิดาของจำเลยด้วยถ้อยคำว่า"ไอ้เปรต"ไอ้เฒ่าบ้าแก่จะเข้าโลงยังหลงบ้าสมบัติแถมบ้าเมียไม่สมแก่ไอ้หัวล้าน"และด้วยถ้อยคำว่า"ไอ้เปรตไอ้เฒ่าไอ้หัวดอ ตายกับหีอีคลี่" ต่อหน้าบุคคลอื่น การที่จำเลยด่าโจทก์ด้วยถ้อยคำเช่นนั้นผู้ได้ยินฟังย่อมเข้าใจได้ว่าโจทก์เป็นคนไม่ดี บ้าสมบัติบ้าผู้หญิง ถ้อยคำดังกล่าวมิใช่เป็นเพียงแต่คำหยาบคายและเป็นคำกล่าวที่ไม่สมควรเท่านั้นหากแต่เป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ผู้ให้อย่างร้ายแรง อันถือได้ว่าเป็นการประพฤติเนรคุณ โจทก์ย่อมจะเรียกถอนคืนการให้จากจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531(2) แม้สารบัญจดทะเบียนตามโฉนดที่ดิน จะระบุว่า อ.ขายให้แก่จำเลยก็ตาม แต่โจทก์ก็สามารถนำพยานบุคคลมาสืบได้ว่าโจทก์ผู้เป็นบิดาเป็นผู้ชำระราคาที่ดิน โดยให้จำเลยบุตรของโจทก์ของโจทก์เป็นผู้รับโอนในฐานะผู้ซื้อเนื่องจากโจทก์ประสงค์จะยกที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลย เพราะเป็นการนำสืบถึงเหตุแห่งความจริงเกี่ยวกับเจตนาของโจทก์ผู้ให้และความสัมพันธ์ระหว่างผู้ให้กับผู้รับการยกให้ การจดทะเบียนก็ยังคงเป็นการจดทะเบียนขายที่ดินของ อ. ให้โจทก์ เพียงแต่ระบุชื่อผู้ซื้อเป็นจำเลยซึ่งเป็นผู้ที่โจทก์ประสงค์จะยกที่ดินนั้นให้เท่านั้น หาใช่เป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสารอันจะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 คดีนี้จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ แต่จำเลยสาบานตนให้การเป็นพยาน ปัญหาว่าการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยในประเด็นที่ว่าที่ดินพิพาท ร.มารดาจำเลยเป็นเจ้าของร่วมอยู่ด้วย โจทก์จึงไม่มีสิทธิขอให้เพิกถอนที่ดินส่วนของนางรุ่นชอบหรือไม่นั้น เมื่อประเด็นดังกล่าวจำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้คดีไว้ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นทั้งมิใช่เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่รับวินิจฉัยให้ชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 310/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนการโอนทรัพย์สินเพื่อหลีกเลี่ยงหนี้สินสมรส แม้เป็นการยกให้โดยหน้าที่ธรรมจรรยา
แม้จะเป็นการยกให้โดยหน้าที่ธรรมจรรยา ซึ่งผู้ให้ จะถอนคืนการให้เพราะเหตุเนรคุณไม่ได้ก็ตาม แต่ก็ต้องถือว่า จำเลยที่ 3 ได้รับการยกให้โดยเสน่หา แม้จำเลยที่ 3 มิได้รู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้อง เสียเปรียบ เพียงแต่จำเลยที่ 2 ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียว ศาลก็เพิกถอนการโอนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2883/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พินัยกรรมยกทรัพย์สินสมรสไม่ชอบ ศาลคุ้มครองสิทธิเจ้าของร่วม
ผู้ตายทำพินัยกรรมยกทรัพย์ให้จำเลย ถือไม่ได้ว่าเป็นการให้โดยเสน่หาจำเลยยกข้อต่อสู้ว่าเป็นการให้ตามสมควรในทางศีลธรรมอันดีหรือในทางสมาคมไม่ได้
การที่ผู้ตายทำพินัยกรรมยกทรัพย์พิพาทอันเป็นสินสมรสซึ่งโจทก์มีส่วนเป็นเจ้าของให้แก่จำเลยทั้งหมด พินัยกรรมเกี่ยวกับสินสมรสส่วนของโจทก์จึงไม่ชอบ โจทก์ย่อมมีสิทธิติดตามทรัพย์ส่วนของตนคืนได้ จะนำอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 240 อันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเพิกถอนการฉ้อฉลปรับกรณีนี้มิได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2043/2523

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การถอนคืนการให้ที่ดินเนื่องจากเนรคุณและการหมิ่นประมาท
บิดาจำเลยถึงแก่กรรมตั้งแต่จำเลยอายุ 1 ขวบ โจทก์ซึ่งเป็นปู่ได้เลี้ยงดูจำเลยตั้งแต่นั้นมาให้การศึกษา ให้เรียนเย็บผ้า เมื่อจำเลยอายุได้ 11 ปี โจทก์ได้ยกที่พิพาท 2 แปลงให้จำเลย และโจทก์ไม่มีที่ดินเหลือแล้วเพราะได้ยกให้แก่คนอื่น ๆ หมดแล้วก็ตาม การให้ดังกล่าวก็หาใช่เป็นการให้โดยหน้าที่ธรรมจรรยาไม่เพราะโจทก์ไม่มีหน้าที่ตามธรรมจรรยาที่จะต้องกระทำเช่นนั้นจำเลยชี้หน้าด่าโจทก์ว่าอ้ายแก่ฉิบหาย กูไม่นับถือมึงมึงโกงที่ดินกู การกระทำ ของจำเลยจึงเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง ซึ่งถือได้ว่า เป็นการประพฤติเนรคุณและโจทก์ชอบที่จะถอนคืนการให้ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2043/2523 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การถอนคืนการให้เนื่องจากเนรคุณและการหมิ่นประมาท
บิดาจำเลยถึงแก่กรรมตั้งแต่จำเลยอายุ 1 ขวบ โจทก์ซึ่งเป็นปู่ได้เลี้ยงดูจำเลยตั้งแต่นั้นมาให้การศึกษา ให้เรียนเย็บผ้า เมื่อจำเลยอายุได้ 11 ปี โจทก์ได้ยกที่พิพาท 2 แปลงให้จำเลย และโจทก์ไม่มีที่ดินเหลือแล้วเพราะได้ยกให้แก่คนอื่นๆ หมดแล้วก็ตาม การให้ดังกล่าวก็หาใช่เป็นการให้โดยหน้าที่ธรรมจรรยาไม่ เพราะโจทก์ไม่มีหน้าที่ตามธรรมจรรยาที่จะต้องกระทำเช่นนั้น จำเลยชี้หน้าค่าโจทก์กว่า อ้ายแก่ฉิบหาย กูไม่นับถือมึง มึงโกงที่ดินกู การกระทำของจำเลยจึงเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง ซึ่งถือได้ว่าเป็นการประพฤติเนรคุณและโจทก์ชอบที่จะถอนคืนการให้ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1680/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยกที่ดินให้บุตรโดยไม่เป็นไปตามหน้าที่ธรรมจรรยา และการประพฤติเนรคุณทำให้ถอนคืนการให้ได้
มารดายกที่ดินให้บุตร 1 แปลง เนื้อที่ 11 ไร่ ในขณะที่บุตรนั้นมีอาชีพและครอบครัวเป็นหลักฐานแล้ว ไม่อยู่ในสภาพที่ผู้เป็นมารดามีหน้าที่ตามธรรมจรรยาที่จะต้องอุปการะ ทั้งที่ดินเป็นจำนวนมาก ราคาสูง จึงมิใช่เป็นการให้โดยหน้าที่ธรรมจรรยาดังที่บัญญัติไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 535(3)
การที่บุตรด่าว่ามารดาด้วยถ้อยคำว่า "อีแก่มึงจะโกงเงินกู อีแก่อย่าไปเก็บผลไม้ของกู ถ้าไม่เชื่อกูจะเอาตำรวจมาจับมึงข้อหาว่าลักทรัพย์" และด้วยถ้อยคำว่า "ใครแดกได้ก็แดกแดกไม่ได้ก็อย่าแดก" เป็นการแสดงเจตนาดูหมิ่นมารดา ผู้เป็นบุพพการี โดยไม่มีความเคารพยำเกรงตามวิสัยของบุตรทั่วไป นับได้ว่าเป็นการหมิ่นประมาทมารดาอย่างร้ายแรง ถือได้ว่าเป็นการประพฤติเนรคุณตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1680/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การถอนคืนการให้ที่ดินเนื่องจากบุตรประพฤติเนรคุณและไม่ได้ให้โดยหน้าที่ธรรมจรรยา
มารดายกที่ดินให้บุตร 1 แปลง เนื้อที่ 11 ไร่ ในขณะที่บุตรนั้นมีอาชีพและครอบครัวเป็นหลักฐานแล้ว ไม่อยู่ในสภาพที่ผู้เป็นมารดามีหน้าที่ตามธรรมจรรยาที่จะต้องอุปการะทั้งที่ดินเป็นจำนวนมากราคาสูง จึงมิใช่เป็นการให้โดยหน้าที่ธรรมจรรยาดังที่บัญญัติไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 535 (3)
การที่บุตรด่าว่ามารดาด้วยถ้อยคำว่า "อีแก่มึงจะโกงเงินกูอีแก่อย่าไปเก็บผลไม้ของกู ถ้าไม่เชื่อกูจะเอาตำรวจมาจับมึงข้อหาว่าลักทรัพย์" และด้วยถ้อยคำว่า "ใครแดกได้ก็แดกแดกไม่ได้ก็อย่าแดก" เป็นการแสดงเจตนาดูหมิ่นมารดา ผู้เป็นบุพพการี โดยไม่มีความเคารพยำเกรงตามวิสัยของบุตรทั่วไปนับได้ว่าเป็นการหมิ่นประมาทมารดาอย่างร้ายแรง ถือได้ว่าเป็นการประพฤติเนรคุณตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1146-1147/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประพฤติเนรคุณและการถอนคืนการให้ทรัพย์สิน กรณีบุตรกล่าวหาบิดาข่มขืนเด็ก
แม้จำเลยซึ่งเป็นบุตรสาว จะได้อยู่บ้านปรนนิบัติโจทก์ผู้เป็นบิดามาแต่ผู้เดียวในเวลา เดียวกับที่พี่ ๆ น้อง ๆ ไปศึกษาเล่าเรียกหรือไปอยู่ต่างจังหวัดก็ดี การที่โจทก์ให้กรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นจำนวนมากราคาสูง และเป็นทรัพย์ส่วนใหญ่ให้แก่จำเลยแต่ผู้เดียว ส่วนบุตรคนอื่น ๆ ไม่ได้ ก็มีลักษณะที่แสดงให้เห็นว่า เนื่องจากจากเหตุบางประการที่ไม่ปรากฏชัดแจ้งในสำนวน เช่นนี้ ไม่ใช่เป็นการให้โดยหน้าที่ธรรมจรรยา
จำเลยเป็นบุตรสาวของโจทก์ เวลากลางคืนโจทก์ไปตามเด็กหญิง คนใช้ที่บ้านพักจำเลยโดยหาว่าจำเลยเอาเด็กนั้นมากักขังไว้ โจทก์จะให้เด็กกลับบ้านโจทก์ จำเลยไม่ยอม หาว่าโจทก์ปลุกปล้ำเด็กจะเอาเป็นภรรยา เด็กไม่ยอมจึงวิ่งมาหาจำเลย โจทก์จำเลยเถียงกัน จำเลยค่าโจทก์ว่า ไอ้แก่ กูไม่นับถือมึง อ้ายพ่อฉิบหาย โจทก์ตบหน้าจำเลย จำเลยถีบเอาโจทก์ ล้มลง แล้วต่างปล้ำทำร้ายกัน จนร่างกายฟกช้ำดำเขียว ไปทั้งสองฝ่าย โจทก์ด่าจำเลยว่า อีสัตว์อีเหี้ย จำเลยด่าโจทก์ว่า อ้ายแก่ อ้ายเนรคุณ กูไม่นับถือมึง มีคนห้ามจึงเลิกกัน ต่อมาอีก 5 วัน โจทก์และจำเลยมาสถานีตำรวจ เรื่องจำเลยหาว่าโจทก์ลักโฉนด เกิดโต้เถียงกันอีก จำเลยค่า โจทก์ว่า มึงเนรคุณกู กูไม่นับถือมึง แก่แล้วยังบ้าตัณหาข่มขืนเด็ก ทั้งนี้ ต่อหน้าคนหลายคน เช่นนี้ ถือว่าการกระทำของจำเลยเข้าลักษณะเป็นการประพฤติเนรคุณ ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531 (2) แล้ว คือจำเลยผู้รับได้ทำให้โจทก์ ผู้ให้ เสียชื่อเสียงและหมิ่นประมาทผู้ให้อย่างร้ายแรง เพราะจำเลยได้ว่า โจทก์ข่มขืนเด็ก ซึ่งเป็นความผิดอันจักต้องโทษ ทางอาญา การกล่าวอ้าง ทั้งนี้ จะถือว่าเป็นเพียงการค่าว่า โต้ตอบกันไปกันระหว่างจำเลยกับโจทก์ไม่ได้เพราะคำที่กล่าวนั้น มิใช่เพียงคำ หยาบที่ไร้ความหมาย หรือที่มิได้ตั้งใจจะให้มีความหมาย นอกไปจากเป็นคำหยาบ หากแต่เป็นคำกล่าวยืนยัน ข้อเท็จจริงซึ่งจำเลยยกขึ้นว่าเอากับโจทก์ว่าบ้าตัณหาข่มขืนเด็ก กรณีดังนี้ โจทก์ย่อม ถอนคืนการให้ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1146-1147/2503

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การถอนคืนการให้เนื่องจากเนรคุณ: การด่าว่าและกล่าวหาเท็จสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียง
แม้จำเลยซึ่งเป็นบุตรสาวจะได้อยู่บ้านปรนนิบัติโจทก์ผู้เป็นบิดามาแต่ผู้เดียวในเวลาเดียวกับที่พี่ๆ น้องๆไปศึกษาเล่าเรียนหรือไปอยู่ต่างจังหวัดก็ดี การที่โจทก์ให้กรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นจำนวนมากราคาสูงและเป็นทรัพย์ส่วนใหญ่ให้แก่จำเลยแต่ผู้เดียว ส่วนบุตรคนอื่นๆ ไม่ได้ ก็มีลักษณะที่แสดงให้เห็นว่าเนื่องมาจากเหตุบางประการที่ไม่ปรากฏชัดแจ้งในสำนวนเช่นนี้ ไม่ใช่เป็นการให้โดยหน้าที่ธรรมจรรยา
จำเลยเป็นบุตรสาวของโจทก์ เวลากลางคืนโจทก์ไปตามเด็กหญิงคนใช้ที่บ้านพักจำเลยโดยหาว่าจำเลยเอาเด็กนั้นมากักขังไว้ โจทก์จะให้เด็กกลับบ้านโจทก์ จำเลยไม่ยอม หาว่าโจทก์ปลุกปล้ำเด็กจะเอาเป็นภรรยา เด็กไม่ยอมจึงวิ่งมาหาจำเลย โจทก์จำเลยเถียงกัน จำเลยด่าโจทก์ว่า "ไอ้แก่กูไม่นับถือมึงอ้ายพ่อฉิบหาย" โจทก์ตบหน้าจำเลย จำเลยถีบเอาโจทก์ล้มลงแล้วต่างปล้ำทำร้ายกัน จนร่างกายฟกช้ำดำเขียวไปทั้งสองฝ่าย โจทก์ด่าจำเลยว่าอีสัตว์อีเหี้ย จำเลยด่าโจทก์ว่า "อ้ายแก่อ้ายเนรคุณกูไม่นับถือมึง" มีคนห้ามจึงเลิกกัน ต่อมาอีก 5 วัน โจทก์และจำเลยมาสถานีตำรวจ เรื่องจำเลยหาว่าโจทก์ลักโฉนด เกิดโต้เถียงกันอีก จำเลยด่าโจทก์ว่า "มึงเนรคุณกู กูไม่นับถือมึง แก่แล้วยังบ้าตัณหาข่มขืนเด็ก" ทั้งนี้ ต่อหน้าคนหลายคนเช่นนี้ ถือว่าการกระทำของจำเลยเข้าลักษณะเป็นการประพฤติเนรคุณตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531(2) แล้ว คือจำเลยผู้รับได้ทำให้โจทก์ผู้ให้ เสียชื่อเสียงและหมิ่นประมาทผู้ให้อย่างร้ายแรงเพราะจำเลยได้ว่าโจทก์ข่มขืนเด็ก ซึ่งเป็นความผิดอันจักต้องโทษทางอาญา การกล่าวอ้างทั้งนี้จะถือว่าเป็นเพียงการด่าว่าโต้ตอบกันไปมาระหว่างจำเลยกับโจทก์ไม่ได้ เพราะคำที่กล่าวนั้น มิใช่เพียงคำหยาบที่ไร้ความหมาย หรือที่มิได้ตั้งใจจะให้มีความหมายนอกไปจากเป็นคำหยาบหากแต่เป็นคำกล่าวยืนยันข้อเท็จจริงซึ่งจำเลยยกขึ้นว่าเอากับโจทก์ว่าบ้าตัณหาข่มขืนเด็กกรณีดังนี้ โจทก์ย่อมถอนคืนการให้ได้
of 2