พบผลลัพธ์ทั้งหมด 167 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1666/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางละเมิดจากการจอดรถกีดขวางทางและประมาทเลินเล่อของทั้งฝ่ายผู้กระทำและผู้เสียหาย
จำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นพนักงานของกรมทางหลวงจำเลยที่ 3 ได้ทำการซ่อมทางหลวงและนำรถเคี่ยวยางจอดไว้ในทางเวลากลางคืนโดยไม่จุดไฟไว้ ถือเป็นผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2477 มาตรา 23 เป็นความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ละเว้นไม่กระทำการอันควรกระทำตามหน้าที่ที่กฎหมายบัญญัติไว้เป็นเหตุให้รถจักรยานยนต์ที่ผู้ตายขับขี่ไปชนเกิดความเสียหายขึ้น ถือได้ว่าจำเลยเป็นผู้ทำละเมิด จำเลยที่ 3 ต้องรับผิดร่วมในผลแห่งการละเมิดด้วย
จำเลยและผู้ตายต่างประมาทด้วยกัน ฝ่ายไหนจะรับผิดเพียงใดนั้นต้องพิจารณาถึงพฤติการณ์ด้วยว่าฝ่ายไหนเป็นผู้ก่อให้เกิดความเสียหายยิ่งหย่อนกว่ากันเพียงใด โจทก์เป็นฝ่ายเสียหายมากแต่เป็นฝ่ายประมาทน้อยกว่า จำเลยเสียหายน้อยแต่ประมาทมากกว่า เห็นควรแบ่งค่าเสียหายออกเป็น 3 ส่วน ให้จำเลยรับผิด 2 ใน 3 ส่วน
ค่าปลงศพและค่าใช้จ่ายอันจำเป็นนี้จะต้องพิจารณาตามสมควรตามความจำเป็นและตามฐานะของผู้ตาย ทั้งต้องพิจารณาถึงประเพณีการทำศพตามลัทธินิยมประกอบด้วย และต้องไม่ใช่รายการที่ฟุ่มเฟือยเกินไป หาใช่ว่าเมื่อจ่ายไปเท่าไรแล้วจะเรียกเอาได้หมด
จำเลยและผู้ตายต่างประมาทด้วยกัน ฝ่ายไหนจะรับผิดเพียงใดนั้นต้องพิจารณาถึงพฤติการณ์ด้วยว่าฝ่ายไหนเป็นผู้ก่อให้เกิดความเสียหายยิ่งหย่อนกว่ากันเพียงใด โจทก์เป็นฝ่ายเสียหายมากแต่เป็นฝ่ายประมาทน้อยกว่า จำเลยเสียหายน้อยแต่ประมาทมากกว่า เห็นควรแบ่งค่าเสียหายออกเป็น 3 ส่วน ให้จำเลยรับผิด 2 ใน 3 ส่วน
ค่าปลงศพและค่าใช้จ่ายอันจำเป็นนี้จะต้องพิจารณาตามสมควรตามความจำเป็นและตามฐานะของผู้ตาย ทั้งต้องพิจารณาถึงประเพณีการทำศพตามลัทธินิยมประกอบด้วย และต้องไม่ใช่รายการที่ฟุ่มเฟือยเกินไป หาใช่ว่าเมื่อจ่ายไปเท่าไรแล้วจะเรียกเอาได้หมด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1666/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางละเมิดจากการจอดรถกีดขวางจราจรและความประมาทของผู้ขับขี่ การแบ่งความรับผิดตามพฤติการณ์
จำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นพนักงานของกรมทางหลวงจำเลยที่ 3 ได้ทำการซ่อมทางหลวงและนำรถเคี่ยวยางจอดไว้ในทางเวลากลางคืนโดยไม่จุดไฟไว้ ถือเป็นผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2477มาตรา 23 เป็นความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ละเว้นไม่กระทำการอันควรกระทำตามหน้าที่ที่กฎหมายบัญญัติไว้เป็นเหตุให้รถจักรยานยนต์ที่ผู้ตายขับขี่ไปชนเกิดความเสียหายขึ้น ถือได้ว่าจำเลยเป็นผู้ทำละเมิด จำเลยที่ 3 ต้องรับผิดร่วมในผลแห่งการละเมิดด้วย
จำเลยและผู้ตายต่างประมาทด้วยกัน ฝ่ายไหนจะรับผิดเพียงใดนั้นต้องพิจารณาถึงพฤติการณ์ด้วยว่าฝ่ายไหนเป็นผู้ก่อให้เกิดความเสียหายยิ่งหย่อนกว่ากันเพียงใด โจทก์เป็นฝ่ายเสียหายมากแต่เป็นฝ่ายประมาทน้อยกว่า จำเลยเสียหายน้อยแต่ประมาทมากกว่า เห็นควรแบ่งค่าเสียหายออกเป็น 3 ส่วน ให้จำเลยรับผิด 2 ใน 3 ส่วน
ค่าปลงศพและค่าใช้จ่ายอันจำเป็นนี้จะต้องพิจารณาตามสมควรตามความจำเป็นและตามฐานะของผู้ตาย ทั้งต้องพิจารณาถึงประเพณีการทำศพตามลัทธินิยมประกอบด้วย และต้องไม่ใช่รายการที่ฟุ่มเฟือยเกินไป หาใช่ว่าเมื่อจ่ายไปเท่าไรแล้วจะเรียกเอาได้หมด
จำเลยและผู้ตายต่างประมาทด้วยกัน ฝ่ายไหนจะรับผิดเพียงใดนั้นต้องพิจารณาถึงพฤติการณ์ด้วยว่าฝ่ายไหนเป็นผู้ก่อให้เกิดความเสียหายยิ่งหย่อนกว่ากันเพียงใด โจทก์เป็นฝ่ายเสียหายมากแต่เป็นฝ่ายประมาทน้อยกว่า จำเลยเสียหายน้อยแต่ประมาทมากกว่า เห็นควรแบ่งค่าเสียหายออกเป็น 3 ส่วน ให้จำเลยรับผิด 2 ใน 3 ส่วน
ค่าปลงศพและค่าใช้จ่ายอันจำเป็นนี้จะต้องพิจารณาตามสมควรตามความจำเป็นและตามฐานะของผู้ตาย ทั้งต้องพิจารณาถึงประเพณีการทำศพตามลัทธินิยมประกอบด้วย และต้องไม่ใช่รายการที่ฟุ่มเฟือยเกินไป หาใช่ว่าเมื่อจ่ายไปเท่าไรแล้วจะเรียกเอาได้หมด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1546/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งหมายเรียกและคำบังคับโดยชอบด้วยกฎหมาย การพิจารณาคดีใหม่ และสิทธิของผู้ถูกบังคับคดี
โจทก์นำเจ้าพนักงานศาลไปส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องให้แก่จำเลยที่บ้านเรือนของจำเลย ไม่พบจำเลย บุตรจำเลยว่าจำเลยไปธุระแต่ไม่ยอมรับหมายแทน แล้วโจทก์ยังแถลงยืนยันว่าจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ตามฟ้องและว่าส่วนมากจำเลยจะอยู่บ้านไม่ค่อยจะไปไหน ดังนี้ จะถือว่ากรณีเป็นเรื่องไม่สามารถส่งโดยวิธีธรรมดาได้ยังไม่ชอบถ้าศาลสั่งอนุญาตให้ลงโฆษณาทางหนังสือพิมพ์แทนการส่งหมายโดยวิธีธรรมดาก็เป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 79 จะถือว่าจำเลยได้ทราบประกาศการส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องแล้วโดยผลของกฎหมายไม่ได้ และการส่งคำบังคับก็ได้กระทำโดยการโฆษณาทางหนังสือพิมพ์อีก ย่อมเป็นกระบวนพิจารณาที่ขัดต่อกฎหมายเช่นกัน ต่อมาจำเลยถูกยึดทรัพย์เมื่อการส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องและการส่งคำบังคับได้กระทำไปโดยไม่ชอบ จำเลยจึงมีสิทธิยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ได้ภายใน 6 เดือน นับแต่วันที่ได้ยึดทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1546/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผู้ถูกฟ้องมีสิทธิขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้
โจทก์นำเจ้าพนักงานศาลไปส่งหมายเรียก และสำเนาฟ้องให้แก่จำเลยที่บ้านเรือนของจำเลยไม่พบจำเลยบุตรของจำเลยว่าจำเลยไปธุระแต่ไม่ยอมรับหมายแทนแล้วโจทก์ยังแถลงยืนยันว่าจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ตามฟ้องและว่าส่วนมากจำเลยจะอยู่บ้านไม่ค่อยจะไปไหน ดังนี้จะถือว่ากรณีเป็นเรื่องไม่สามารถส่งโดยวิธีธรรมดาได้ยังไม่ชอบ ถ้าศาลสั่งอนุญาตให้ลงโฆษณาทางหนังสือพิมพ์แทนการส่งหมายโดยวิธีธรรมดาก็เป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 79 จะถือว่าจำเลยได้ทราบประกาศการส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องแล้วโดยผลของกฎหมายไม่ได้ และการส่งคำบังคับก็ได้กระทำโดยการโฆษณาทางหนังสือพิมพ์อีก ย่อมเป็นกระบวนพิจารณาที่ขัดต่อกฎหมายเช่นกัน ต่อมาจำเลยถูกยึดทรัพย์เมื่อการส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้อง และการส่งคำบังคับกระทำไปโดยไม่ชอบ จำเลยจึงมีสิทธิยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ได้ภายใน 6 เดือน นับแต่วันที่ได้ยึดทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1520/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลื่อนการพิจารณาคดีอาญาเนื่องจากทนายจำเลยติดว่าความคดีอื่น ศาลต้องอนุญาตหากมีเหตุสมควร
ทนายจำเลยยื่นคำร้องขอเลื่อนการพิจารณาโดยอ้างว่าในวันนัดนั้น ทนายจำเลยติดว่าความที่ศาลอื่น ข้ออ้างของทนายจำเลยเป็นความจริงทั้งเป็นกรณีที่มีเหตุอันสมควร ชอบที่ศาลชั้นต้นจะอนุญาตให้เลื่อนการพิจารณาสืบพยานโจทก์ไปได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 175 วรรค 2 แต่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีและทำการพิจารณาพิพากษาไปเลย จึงเป็นการปฏิบัติไม่ถูกต้องตามกระบวนพิจารณาศาลฎีกาจึงให้ศาลชั้นต้นทำการพิจารณาพิพากษาใหม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 208(2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1520/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลื่อนการพิจารณาคดีอาญาเนื่องจากทนายจำเลยติดว่าความคดีอื่น ศาลต้องอนุญาตหากมีเหตุสมควร
ทนายจำเลยยื่นคำร้องขอเลื่อนการพิจารณาโดยอ้างว่าในวันนัดนั้นทนายจำเลยติดว่าความที่ศาลอื่น ข้ออ้างของทนายจำเลยเป็นความจริงทั้งเป็นกรณีที่มีเหตุอันสมควร ชอบที่ศาลชั้นต้นจะอนุญาตให้เลื่อนการพิจารณาสืบพยานโจทก์ไปได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 179 วรรคสอง แต่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีและทำการพิจารณาพิพากษาไปเลย จึงเป็นการปฏิบัติไม่ถูกต้องตามกระบวนพิจารณาศาลฎีกาจึงให้ศาลชั้นต้นทำการพิจารณาพิพากษาใหม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 208(2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1291/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้รถราชการไปในกิจส่วนตัว นายทหารไม่ต้องรับผิดค่าเสียหายจากอุบัติเหตุ
นายทหารสั่งให้ทหารพลขับขับรถยนต์ของกรมทหารไปซื้อปูนซีเมนต์ขนไปให้วัด ซึ่งนายทหารนั้นเป็นกรรมการวัดอยู่เป็นการใช้ให้ไปปฏิบัติงานเป็นการส่วนตัวของนายทหารผู้นั้น การไปปฏิบัติงานของทหารพลขับนั้นจึงเรียกไม่ได้ว่าเป็นการไปปฏิบัติงานในหน้าที่ตามทางราชการของกองทัพบกและกระทรวงกลาโหม เมื่อทหารพลขับขับรถโดยประมาทชนผู้อื่นตายกองทัพบกและกระทรวงกลาโหม ไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1291/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของหน่วยงานราชการต่อการละเมิดของลูกจ้าง เมื่อการกระทำนั้นเป็นการส่วนตัว ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ราชการ
นายทหารสั่งให้ทหารพลขับขับรถยนต์ของกรมทหารไปซื้อปูนซีเมนต์ขนไปให้วัดซึ่งนายทหารนั้นเป็นกรรมการวัดอยู่เป็นการใช้ให้ไปปฏิบัติงานเป็นการส่วนตัวของนายทหารผู้นั้น การไปปฏิบัติงานของทหารพลขับนั้นจึงเรียกไม่ได้ว่าเป็นการไปปฏิบัติงานในหน้าที่ตามทางราชการของกองทัพบกและกระทรวงกลาโหม เมื่อทหารพลขับขับรถโดยประมาทชนผู้อื่นตายกองทัพบกและกระทรวงกลาโหม ไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1282/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทในการขับเรือทำให้เกิดการชน ผู้ขับเรือต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายและอันตรายที่เกิดขึ้น
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ขับเรือแล่นมาด้วยความเร็วสูงและต่างแล่นมาตรงกลางลำน้ำ เมื่อใกล้จะสวนกันเรือทั้งสองแล่นเกือบเป็นเส้นตรงเข้าหากันในลักษณะน่ากลัวจะเกิดโดนกัน แม้จำเลยที่ 2 จะเบนหลีกไปทางขวามือ อันเป็นการปฏิบัติตามกฎกระทรวง (พ.ศ. 2498) ออกตามความในพระราชบัญญัติป้องกันเรือโดนกัน พ.ศ. 2497 ข้อ19(ก)ก็ตาม แต่จำเลยที่ 2 ก็มิได้ลดความเร็ว กลับขับเรือเบนเข้าเส้นทางเรือของตนทางด้านขวาในระยะกระชั้นชิด ส่วนจำเลยที่ 1 ก็มิได้ลดความเร็วทั้งมิได้เบนเข้าเส้นทางเรือของตนทางด้านขวา เพื่อหลีกเลี่ยงการโดนกันแต่กลับคงแล่นตรงไป เรือจำเลยที่ 2 จึงชนตรงกราบเรือด้านขวาของเรือจำเลยที่ 1 เป็นเหตุให้ผู้โดยสารในเรือจำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตายและบาดเจ็บเช่นนี้ แสดงว่าจำเลยทั้งสองกระทำด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นจำเลยทั้งสองซึ่งขับขี่เรือยนต์สวนทางกันจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ จำเลยทั้งสองจึงต้องมีความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตาย และบาดเจ็บ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1282/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทในการขับเรือทำให้เกิดการชนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ ผู้ขับเรือทั้งสองมีความผิด
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ขับเรือแล่นมาด้วยความเร็วสูงและต่างแล่นมาตรงกลางลำน้ำ เมื่อใกล้จะสวนกันเรือทั้งสองแล่นเกือบเป็นเส้นตรงเข้าหากันในลักษณะน่ากลัวจะเกิดโดนกัน แม้จำเลยที่ 2 จะเบนหลีกไปทางขวามือ อันเป็นการปฏิบัติตามกฎกระทรวง (พ.ศ. 2498) ออกตามความในพระราชบัญญัติป้องกันเรือโดนกัน พ.ศ. 2497 ข้อ 19 (ก) ก็ตาม แต่จำเลยที่ 2 ก็มิได้ลดความเร็ว กลับขับเรือเบนเข้าเส้นทางเรือของตนทางด้านขวาในระยะกระชั้นชิด ส่วนจำเลยที่ 1 ก็มิได้ลดความเร็วทั้งมิได้เบนเข้าเส้นทางเรือของตนทางด้านขวา เพื่อหลีกเลี่ยงการโดนกันแต่กลับคงแล่นตรงไป เรือจำเลยที่ 2 จึงชนตรงกราบเรือด้านขวาของเรือจำเลยที่ 1 เป็นเหตุให้ผู้โดยสารในเรือ จำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตายและบาดเจ็บเช่นนี้ แสดงว่าจำเลยทั้งสองกระทำด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นจำเลยทั้งสองซึ่งขับขี่เรือยนต์สวนทางกันจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ จำเลยทั้งสองจึงต้องมีความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตายและบาดเจ็บ