คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ฉัตร รัตนทัศนีย์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 167 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1275/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิ่มโทษจำเลยในคดีหลบหนีระหว่างต้องรับโทษคดีอื่น แม้ยังไม่เริ่มรับโทษจำคุก
จำเลยต้องคำพิพากษาของศาล คดีถึงที่สุดแล้ว 2 คดี คดีแรกฐานมีอาวุธปืนไม่รับอนุญาตต้องโทษปรับ คดีหลังฐานรับของโจรต้องโทษจำคุกนับโทษติดต่อจากคดีแรก แม้จำเลยกระทำความผิดในคดีนี้หลบหนีที่คุมขังไปในระหว่างถูกกักขังแทนค่าปรับในคดีแรก ยังไม่เริ่มรับโทษจำคุกในคดีหลังก็ดี ถือได้ว่าจำเลยได้กระทำความผิดอีกในระหว่างที่ยังจะต้องรับโทษอยู่ เข้าเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 เพิ่มโทษจำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1274/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องเท็จและให้ข้อมูลเท็จต่อศาลในคดีแพ่ง ไม่เป็นความผิดแจ้งความเท็จหรือจดข้อความเท็จ
การเอาความเท็จมาฟ้องในคดีแพ่งหรือการที่จำเลยในคดีแพ่งยื่นคำให้การเป็นเท็จ ไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 เพราะมิได้เป็นการแจ้งความต่อเจ้าพนักงาน และการที่โจทก์หรือจำเลยในคดีแพ่งแถลงให้ศาลจดข้อความอันเป็นเท็จลงในสำนวนคดีแพ่งโดยมิได้มีวัตถุประสงค์จะใช้ข้อความนั้นเป็นพยานหลักฐานก็หาเป็นความผิดฐานแจ้งให้พนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 267 ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1274/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแจ้งความเท็จในคดีแพ่งไม่เป็นความผิดอาญาตาม ม.137 และการแถลงเท็จต่อศาลไม่ผิดตาม ม.267 หากไม่มีเจตนาใช้เป็นพยานหลักฐาน
การเอาความเท็จมาฟ้องในคดีแพ่งหรือการที่จำเลยในคดีแพ่งยื่นคำให้การเป็นเท็จ ไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 เพราะมิได้เป็นการแจ้งความต่อเจ้าพนักงาน และการที่โจทก์หรือจำเลยในคดีแพ่งแถลงให้ศาลจดข้อความอันเป็นเท็จลงในสำนวนคดีแพ่งโดยมิได้มีวัตถุประสงค์จะใช้ข้อความนั้นเป็นพยานหลักฐาน ก็หาเป็นความผิดฐานแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 267 ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1271/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวต้องไม่ต่อเนื่องจากการทำร้ายซึ่งกันและกัน การยิงหลังจากการทะเลาะวิวาทไม่ถือเป็นการป้องกันตัว
จำเลยกับผู้ตายและคนอื่นอีก 2 คน ร่วมดื่มสุรากันในร้านจนต่างมึนเมาเกิดทะเลาะวิวาทกัน จำเลยถูกตีศรีษะโลหิตไหลและจำเลยก็ตีผู้ตายแล้ววิ่งหนีออกจากร้านไปได้ 6-7 เมตร แล้วหันกลับมาใช้ปืนยิงผู้ตายซึ่งขวดโซดาตามออกมาที่หน้าร้านการที่จำเลยยิงผู้ตายเช่นนี้จะอ้างว่าเป็นการกระทำเพื่อป้องกันตัวไม่ได้เพราะเป็นเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องจากการสมัครใจทำร้ายกันในร้านยังไม่ขาดตอน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1271/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยิงเพื่อป้องกันตัวที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย: เหตุการณ์ต่อเนื่องจากการทำร้ายร่างกาย
จำเลยกับผู้ตายและคนอื่นอีก 2 คน ร่วมดื่มสุรากันในร้านจนต่างมึนเมาเกิดทะเลาะวิวาทกัน จำเลยถูกตีศีรษะโลหิตไหล และจำเลยก็ตีผู้ตายแล้ววิ่งหนีออกจากร้านไปได้ 6 - 7 เมตร แล้วหันกลับมาใช้ปืนยิงผู้ตายซึ่งถือขวดโซดาตามออกมาที่หน้าร้าน การที่จำเลยยิงผู้ตายเช่นนี้จะอ้างว่าเป็นการกระทำเพื่อป้องกันตัวไม่ได้ เพราะเป็นเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องจากการสมัครใจทำร้ายกันในร้าน ยังไม่ขาดตอน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1269/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนายิงเพื่อฆ่า แม้พลาดเป้าจากการถูกกดมือ ถือเป็นความผิดพยายามฆ่า
ถ้อยคำที่จำเลยต่อว่าและท้าทายผู้เสียหายว่า "อ้ายพงษ์ลื้อจะเอากับหลงจู๊ เอากับอั๋วไหม" และพฤติการณ์ที่จำเลยยกปืน ซึ่งขึ้นนกแล้วและนิ้วอยู่ในโกร่งไกปืน จ้องเล็งไปยังหน้าอกผู้เสียหาย ซึ่งอยู่ห่างเพียง 3 เมตร แล้วปืนลั่นถูกผู้เสียหายนั้น ถือว่าจำเลยยิงผู้เสียหายโดยมีเจตนาฆ่า แต่ในขณะที่จำเลยยิง มีผู้อื่นกดมือจำเลยต่ำลง กระสุนพลาดไปถูกโคนขาผู้เสียหาย ผู้เสียหายจึงไม่ถึงแก่ความตายนั้น การกระทำของจำเลยย่อมเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1269/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่า vs. พยายามฆ่า: การยิงโดยมีผู้อื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง
ถ้อยคำที่จำเลยต่อว่าและท้าทายผู้เสียหายว่า 'อ้ายพงษ์ลื้อจะเอากับหลงจู๊เอากับอั้วไหม' และพฤติการณ์ที่จำเลยยกปืน ซึ่งขึ้นนกแล้วและนิ้วอยู่ในโกร่งไกปืนจ้องเล็งไปยังหน้าอกผู้เสียหาย ซึ่งอยู่ห่างเพียง 3 เมตรแล้วปืนลั่นขึ้นถูกผู้เสียหายนั้น ถือว่าจำเลยยิงผู้เสียหายโดยมีเจตนาฆ่าแต่ในขณะที่จำเลยยิง มีผู้อื่นกดมือจำเลยต่ำลง กระสุนพลาดไปถูกโคนขาผู้เสียหาย ผู้เสียหายจึงไม่ถึงแก่ความตายนั้น การกระทำของจำเลยย่อมเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1263/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไต่สวนคำร้องขอคืนของกลางในคดีอาญา ศาลต้องเปิดโอกาสโจทก์สืบพยานหักล้างได้เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
ในกรณีผู้เป็นเจ้าของทรัพย์ที่ถูกศาลสั่งให้ริบยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้คืนทรัพย์ที่ริบเพราะมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำผิด แม้โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วมิได้คัดค้านก็ตาม จะถือว่าโจทก์ยอมรับว่าทรัพย์ของกลางนั้นเป็นของผู้ร้องรวมตลอดทั้งเหตุผลที่อ้างในการขอคืนทรัพย์ในคำร้องนั้นด้วยยังไม่ได้ และการที่โจทก์มายื่นบัญชีอ้างพยานเมื่อฝ่ายผู้ร้องสืบพยานเสร็จ ศาลก็มีอำนาจอนุญาตให้โจทก์สืบพยานได้ หากศาลเห็นสมควรเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1263/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการขอคืนของกลาง: แม้โจทก์ไม่คัดค้านคำร้อง แต่ศาลต้องเปิดโอกาสให้โจทก์สืบพยานหักล้างได้เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
ในกรณีผู้เป็นเจ้าของทรัพย์ที่ถูกศาลสั่งให้ริบยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้คืนทรัพย์ที่ริบเพราะมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำผิด แม้โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วมิได้คัดค้านก็ตาม จะถือว่าโจทก์ยอมรับว่าทรัพย์ของกลางนั้นเป็นของผู้ร้องรวมตลอดทั้งเหตุผลที่อ้างในการขอคืนทรัพย์ในคำร้องนั้นด้วยยังไม่ได้ และการที่โจทก์มายื่นบัญชีอ้างพยานเมื่อฝ่ายผู้ร้องสืบพยานเสร็จ ศาลก็มีอำนาจอนุญาตให้โจทก์สืบพยานได้ หากศาลเห็นสมควรเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1196/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำสั่งงดสืบพยานต้องให้โอกาสคู่ความโต้แย้ง หากไม่มีโอกาสโต้แย้ง สิทธิในการนำสืบพยานย่อมไม่ตัดไป
ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลย ดังนี้ คำสั่งของศาลชั้นต้นเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 ซึ่งจะต้องให้คู่ความมีโอกาสและมีเวลาพอสมควรที่จะโต้แย้งคำสั่งนั้นได้ กรณีนี้ปรากฏว่าศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานวันที่ 11 กรกฎาคม 2511 แล้วพิพากษาวันที่ 12 เดือนเดียวกัน โจทก์ย่อมไม่มีโอกาสโต้แย้งคำสั่งนั้นได้ จะเอาข้อที่โจทก์ไม่ได้โต้แย้งนี้มาตัดสิทธิโจทก์ไม่ให้นำพยานมาสืบหาชอบไม่
of 17