พบผลลัพธ์ทั้งหมด 309 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1054-1055/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทเลินเล่อของผู้บังคับการเรือ การควบคุมเรือในแม่น้ำ การละเลยการแต่งลำเรือเพื่อความปลอดภัย
จำเลยนำเรือรบแล่นตามแม่น้ำจะผ่านสะพานพระพุทธยอดฟ้าเห็นแต่ไกลว่าสะพานยังไม่เปิด จำเลยควรจะชะลอความเร็วแล้วเดินหน้าถอยหลังจนกว่าสะพานเปิด แต่ก็ไม่ทำ กลับให้หยุดเดินเครื่องปล่อยให้เรือลอยไปตามกระแสน้ำใกล้สะพานจึงให้ทิ้งสมอจอดเรือเรือก็กลับลำเอาท้ายเรือไปปะทะเรือสะพานและรั้วของราษฎรซึ่งอยู่ริมแม่น้ำเสียหาย ถ้าน้ำไหลและลมพัดอย่างปกติตามฤดูกาลเท่านั้นแล้วจำเลยจะอ้างไม่ได้ว่าเป็นเหตุสุดวิสัยที่จำเลยจะป้องกันได้ เพราะกระแสน้ำไหลเชี่ยวและลมก็พัดแรง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1054-1055/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทเลินเล่อในการบังคับเรือ การไม่ชะลอความเร็วและแก้ไขสถานการณ์เมื่อใกล้สะพาน ถือเป็นละเมิด
จำเลยนำเรือรบแล่นตามแม่น้ำจะผ่านสะพานพระพุทธยอดฟัง เห็นแต่ไกลว่าสะพานยังไม่เปิด จำเลยควรจะชลอความเร็วแล้วเดินหน้าถอยหลังจนกว่าสะพานเปิด แต่ก็ไม่ทำ กลับให้หยุดเดินเครื่องปล่อยให้เรือลอยไปตามกระแสน้ำใกล้สะพานจึงทิ้งสมอจอดเรือเรือก็กลับลำเอาท้ายเรือไปปะทะเรือ สะพานและรั้วของราษฎรซึ่งอยู่ริมแม่น้ำเสียหาย ถ้าน้ำไหลและลมพัดอย่างปกติตามฤดูกาลเท่านั้นแล้ว จำเลยจะอ้างไม่ได้ว่าเป็นเหตุสุดวิสัยที่จำเลยจะป้องกันได้เพราะกระแสน้ำไหลเชี่ยวและลมก็พัดแรง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1040/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลอุทธรณ์วินิจฉัยยกเว้นโทษจากกฎหมายใหม่ แม้คดีอยู่ระหว่างพิจารณา และหลักการใช้กฎหมายที่เอื้อประโยชน์แก่จำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นและฐานมีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่รับอนุญาต ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 อันเป็นกระทงหนักตามมาตรา 91 จำเลยอุทธรณ์แต่เฉพาะในข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่น เมื่อคดียังอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ได้มีพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2510 ประกาศใช้บังคับโดยมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัตินี้ยกเว้นโทษให้จำเลยในความผิดฐานครอบครองอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต เช่นนี้ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจหยิบยกพระราชบัญญัตินี้ขึ้นวินิจฉัยยกเว้นโทษให้จำเลยในความผิดฐานนี้ได้ ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง และตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 17/2513)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1040/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้กฎหมายใหม่ยกเว้นโทษในคดีอาวุธปืน แม้คดีอยู่ระหว่างพิจารณา ศาลมีอำนาจวินิจฉัยได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น และฐานมีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่รับอนุญาต ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 อันเป็นกระทงหนักตามมาตรา 91 จำเลยอุทธรณ์แต่เฉพาะในข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่น เมื่อคดียังอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ได้มีพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2510 ประกาศใช้บังคับ โดยมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัตินี้ยกเว้นโทษให้จำเลยในความผิดฐานครอบครองอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต เช่นนี้ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจหยิบยกพระราชบัญญัตินี้ขึ้นวินิจฉัยยกเว้นโทษให้จำเลยในความผิดฐานนี้ได้ ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรค 2 และตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 17/2513)
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 17/2513)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 947/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาความเหมือนหรือความคล้ายคลึงของเครื่องหมายการค้าเพื่อวินิจฉัยการละเมิดสิทธิ
สลากเครื่องหมายการค้าของทั้งสองฝ่ายเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าปิดที่ฝากล่องใส่ตะไบนอนไปตามส่วนยาวของกล่อง ตอนส่วนบนสลากของโจทก์เป็นรูปตะไบ 2 อันไขว้ทับกันเป็นเส้นทะแยงมุมของรูปสี่เหลี่ยมตรงกลางระหว่างโคนตะไบมีตัวอักษรภาษาอังกฤษ ยู.เอส.เอ. เป็นอักษรตัวพิมพ์ใหญ่ส่วนของจำเลยเป็นรูปตะไบ 2 อันวางอยู่ห่างกัน หันปลายตะไบเข้าหากัน โคนตะไบถ่างออกจากกันตรงกลางระหว่างโคนตะไบเป็นรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวต่อลงไปทางส่วนกลางของสลากของโจทก์เป็นรูปผู้ชายกำลังยืนใช้ตะไบถูเหล็ก ส่วนของจำเลยเป็นรูปโรงงานมีควันไฟกำลังออกจากปล่องของโรงงานรูปทั้งสองบนสลากดังกล่าวนี้มีลักษณะเด่นเห็นได้ชัดเจนที่สุด ไม่มีทางที่จะทำให้เห็นได้เลยว่าเครื่องหมายการค้าของจำเลยจะมีลักษณะไปในทางเหมือนหรือคล้ายคลึงกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์ และไม่ชวนให้เห็นว่าเป็นลักษณะทำนองเดียวกันหรือเกือบเหมือนกัน ดังนี้ เครื่องหมายการค้าของจำเลยไม่เหมือนหรือคล้ายกันกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์จนนับได้ว่าเป็นการลวงสาธารณชน การที่จำเลยไปขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลย และการที่จำเลยสั่งตะไบที่มีเครื่องหมายการค้าตามหมาย จ.11 มาขาย จึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 947/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาความเหมือนหรือความคล้ายคลึงของเครื่องหมายการค้าเพื่อวินิจฉัยการละเมิดสิทธิ
สลากเครื่องหมายการค้าของทั้งสองฝ่ายเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าปิดที่ฝากล่องใส่ตะไบนอนไปตามส่วนยาวของกล่อง ตอนส่วนบนสลากของโจทก์เป็นรูปตะไบ 2 อันไขว้ทับกันเป็นเส้นทะแยงมุมของรูปสี่เหลี่ยมตรงกลางระหว่างโคนตะไบมีตัวอักษรภาษาอังกฤษ ยู.เอส.เอ. เป็นอักษรตัวพิมพ์ใหญ่ส่วนของจำเลยเป็นรูปตะไบ 2 อันวางอยู่ห่างกันหันปลายตะไบเข้าหากัน โคนตะไบถ่างออกจากกันตรงกลางระหว่างโคนตะไบเป็นรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวต่อลงไปทางส่วนกลางของสลากของโจทก์เป็นรูปผู้ชายกำลังยืนใช้ตะไบถูเหล็ก ส่วนของจำเลยเป็นรูปโรงงานมีควันไฟกำลังออกจากปล่องของโรงงานรูปทั้งสองบนสลากดังกล่าวนี้มีลักษณะเด่นเห็นได้ชัดเจนที่สุด ไม่มีทางที่จะทำให้เห็นได้เลยว่าเครื่องหมายการค้าของจำเลยจะมีลักษณะไปในทางเหมือนหรือคล้ายคลึงกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์ และไม่ชวนให้เห็นว่าเป็นลักษณะทำนองเดียวกันหรือเกือบเหมือนกัน ดังนี้ เครื่องหมายการค้าของจำเลยไม่เหมือนหรือคล้ายกันกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์จนนับได้ว่าเป็นการลวงสาธารณชน การที่จำเลยไปขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลย และการที่จำเลยสั่งตะไบที่มีเครื่องหมายการค้าตามหมาย จ.11 มาขาย จึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 946/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่ส่งสำเนาอุทธรณ์ตามกำหนดเวลา ถือเป็นการทิ้งฟ้องในชั้นอุทธรณ์
การที่โจทก์ผู้อุทธรณ์ไม่นำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยอุทธรณ์คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งภายในกำหนดเวลาที่ศาลสั่ง จะเป็นโดยจงใจหรือหลงลืมพลั้งเผลอย่อมเป็นการทิ้งฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2)
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 246 บัญญัติให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยการพิจารณาและการชี้ขาดตัดสินคดีในศาลชั้นต้น มาใช้บังคับแก่การพิจารณาและการชี้ขาดตัดสินคดีในชั้นอุทธรณ์โดยอนุโลม และมาตรา 229 กำหนดให้ผู้อุทธรณ์ยื่นสำเนาอุทธรณ์ต่อศาลเพื่อส่งให้แก่จำเลยอุทธรณ์ ฉะนั้น การส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งจึงเป็นเรื่องที่จะละเว้นเสียมิได้และบทบัญญัติแห่งมาตรา 174(2) ย่อมนำมาใช้บังคับในชั้นพิจารณาขอศาลอุทธรณ์ได้
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 246 บัญญัติให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยการพิจารณาและการชี้ขาดตัดสินคดีในศาลชั้นต้น มาใช้บังคับแก่การพิจารณาและการชี้ขาดตัดสินคดีในชั้นอุทธรณ์โดยอนุโลม และมาตรา 229 กำหนดให้ผู้อุทธรณ์ยื่นสำเนาอุทธรณ์ต่อศาลเพื่อส่งให้แก่จำเลยอุทธรณ์ ฉะนั้น การส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งจึงเป็นเรื่องที่จะละเว้นเสียมิได้และบทบัญญัติแห่งมาตรา 174(2) ย่อมนำมาใช้บังคับในชั้นพิจารณาขอศาลอุทธรณ์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 946/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่ส่งสำเนาอุทธรณ์ตามกำหนดเวลาถือเป็นการทิ้งฟ้อง แม้จะติดใจดำเนินคดีต่อ
การที่โจทก์ผู้อุทธรณ์ไม่นำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยอุทธรณ์คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งภายในกำหนดเวลาที่ศาลสั่ง จะเป็นโดยจงใจหรือหลงลืมพลั้งเผลอย่อมเป็นการทิ้งฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2)
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 246 บัญญัติให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยการพิจารณาและการชี้ขาดตัดสินคดีในศาลชั้นต้น มาใช้บังคับแก่การพิจารณาและการชี้ขาดตัดสินคดีในชั้นอุทธรณ์โดยอนุโลม และมาตรา 229 กำหนดให้ผู้อุทธรณ์ยื่นสำเนาอุทธรณ์ต่อศาลเพื่อส่งให้แก่จำเลยอุทธรณ์ ฉะนั้น การส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งจึงเป็นเรื่องที่จะละเว้นเสียมิได้และบทบัญญัติแห่งมาตรา 174(2) ย่อมนำมาใช้บังคับในชั้นพิจารณาขอศาลอุทธรณ์ได้
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 246 บัญญัติให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยการพิจารณาและการชี้ขาดตัดสินคดีในศาลชั้นต้น มาใช้บังคับแก่การพิจารณาและการชี้ขาดตัดสินคดีในชั้นอุทธรณ์โดยอนุโลม และมาตรา 229 กำหนดให้ผู้อุทธรณ์ยื่นสำเนาอุทธรณ์ต่อศาลเพื่อส่งให้แก่จำเลยอุทธรณ์ ฉะนั้น การส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งจึงเป็นเรื่องที่จะละเว้นเสียมิได้และบทบัญญัติแห่งมาตรา 174(2) ย่อมนำมาใช้บังคับในชั้นพิจารณาขอศาลอุทธรณ์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 941/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเรียกคืนที่ดินเวนคืนเพื่อกิจการรถไฟ แม้จะไม่ได้ใช้ประโยชน์จริง เจ้าของไม่มีสิทธิเรียกร้องคืน
พระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2477 มาตรา 32กำหนดให้เจ้าของเดิมหรือทายาทหรือผู้รับโอนมีสิทธิเรียกทรัพย์สินคืนได้เฉพาะแต่ในกรณีที่เวนคืนมาเพื่อการสาธารณูปโภคหรือการเหมืองแร่แต่ถ้าเวนคืนมาเพื่อใช้ในกิจการของรถไฟ และที่ดินที่เวนคืนได้ตกเป็นของรถไฟโดยโดยชอบแล้ว แม้รถไฟจะมิได้เคยใช้หรือกำลังใช้ในกิจการของรถไฟ เจ้าของหรือทายาทหรือผู้รับโอนก็ไม่มีสิทธิที่จะเรียกทรัพย์สินนั้นคืนได้ตามมาตรา 32 นี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 941/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเรียกคืนที่ดินเวนคืนเพื่อกิจการรถไฟ แม้ยังมิได้ใช้ประโยชน์ ย่อมไม่มีสิทธิเรียกคืนได้ตาม พ.ร.บ.เวนคืน
พระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2477 มาตรา 32 กำหนดให้เจ้าของเดิมหรือทายาทหรือผู้รับโอนมีสิทธิเรียกทรัพย์สินคืนได้เฉพาะแต่ในกรณีที่เวนคืนมาเพื่อการสาธารณูปโภคหรือการเหมืองแร่แต่ถ้าเวนคืนมาเพื่อใช้ในกิจการของรถไฟ และที่ดินที่เวนคืนได้ตกเป็นของรถไฟโดยโดยชอบแล้ว แม้รถไฟจะมิได้เคยใช้หรือกำลังใช้ในกิจการของรถไฟ เจ้าของหรือทายาทหรือผู้รับโอนก็ไม่มีสิทธิที่จะเรียกทรัพย์สินนั้นคืนได้ตามมาตรา 32 นี้