คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ชวน พูนคำ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 309 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 801/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฎีกาขัดต่อดุลพินิจศาลในการส่งตัวจำเลยไปฝึกอบรมแทนการลงโทษตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
การที่ศาลพิพากษาให้ส่งตัวจำเลยไปฝึกและอบรม ณสถานพินิจและคุ้มครองเด็กโดยอาศัยอำนาจตามความในบทบัญญัติมาตรา 75 ประกอบด้วยมาตรา 74 แห่งประมวลกฎหมายอาญา แม้มิใช่การพิพากษาให้ลงโทษจำคุก แต่ก็เป็นการสั่งใช้วิธีการที่เบากว่าโทษจำคุกจึงต้องอยู่ในบังคับของมาตรา 218 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาด้วย เมื่อศาลอุทธรณ์เพียงแต่แก้กำหนดระยะเวลาที่จะให้จำเลยไปอยู่ฝึกและอบรม จำเลยกลับฎีกาอ้างเหตุมาว่า ถูกคุมขังในระหว่างอุทธรณ์มาเกินกำหนดระยะเวลาแล้ว ถือว่าเป็นการลงโทษและจำเลยได้รับโทษตามคำพิพากษาแล้ว ขอให้ศาลฎีกาพิพากษาว่า ขังมาพอกับโทษและให้ปล่อยตัวไป เช่นนี้เท่ากับจำเลยฎีกาคัดค้านดุลพินิจของศาลและขอให้เปลี่ยนจากใช้วิธีการที่เบากว่าโทษตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์มาเป็นการลงโทษและกำหนดโทษใหม่ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 801/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้าม: การโต้แย้งดุลพินิจศาลเกี่ยวกับวิธีการบำบัดฟื้นฟูเด็กแทนการลงโทษ
การที่ศาลพิพากษาให้ส่งตัวจำเลยไปฝึกและอบรมณสถานพินิจและคุ้มครองเด็กโดยอาศัยอำนาจตามความในบทบัญญัติมาตรา 75 ประกอบด้วยมาตรา 74 แห่งประมวลกฎหมายอาญา แม้มิใช่การพิพากษาให้ลงโทษจำคุก แต่ก็เป็นการสั่งใช้วิธีการที่เบากว่าโทษจำคุกจึงต้องอยู่ในบังคับของมาตรา 218 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาด้วย เมื่อศาลอุทธรณ์เพียงแต่แก้กำหนดระยะเวลาที่จะให้จำเลยไปอยู่ฝึกและอบรม จำเลยกลับฎีกาอ้างเหตุมาว่า ถูกคุมขังในระหว่างอุทธรณ์มาเกินกำหนดระยะเวลาแล้ว ถือว่าเป็นการลงโทษและจำเลยได้รับโทษตามคำพิพากษาแล้ว ขอให้ศาลฎีกาพิพากษาว่า ขังมาพอกับโทษและให้ปล่อยตัวไป เช่นนี้เท่ากับจำเลยฎีกาคัดค้านดุลพินิจของศาลและขอให้เปลี่ยนจากใช้วิธีการที่เบากว่าโทษตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์มาเป็นการลงโทษและกำหนดโทษใหม่ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 684/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้สิทธิจำนองหลังขายทอดตลาด: ผู้ร้องยื่นคำร้องพ้นกำหนดระยะเวลาตามกฎหมาย
การขอหักเงินที่ได้มาจากการขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยลูกหนี้ตามคำพิพากษาเพื่อเอาเงินชำระต้นเงินและดอกเบี้ยอันเกิดจากการจำนองเป็นกรณีใช้สิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 289ซึ่งวรรค 2 กำหนดระยะเวลาให้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอก่อนเอาทรัพย์สินนั้นออกขายทอดตลาด เมื่อผู้ร้องยื่นคำร้องขอเข้ามาภายหลังจากที่ได้ขายทอดตลาดทรัพย์นั้นไปเสร็จสิ้นแล้ว ชอบที่ศาลจะต้องยกคำร้องเพราะเป็นคำร้องขอที่ยื่นมาพ้นกำหนดระยะเวลาตามที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 289 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 684/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้สิทธิจำนองหลังการขายทอดตลาด: คำร้องพ้นกำหนดระยะเวลาตามกฎหมาย
การขอหักเงินที่ได้มาจากการขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยลูกหนี้ตามคำพิพากษาเพื่อเอาเงินชำระต้นเงินและดอกเบี้ยอันเกิดจากการจำนองเป็นกรณีใช้สิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 289 ซึ่งวรรคสองกำหนดระยะเวลาให้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอก่อนเอาทรัพย์สินนั้นออกขายทอดตลาด เมื่อผู้ร้องยื่นคำร้องขอเข้ามาภายหลังจากที่ได้ขายทอดตลาดทรัพย์นั้นไปเสร็จสิ้นแล้ว ชอบที่ศาลจะต้องยกคำร้องเพราะเป็นคำร้องขอที่ยื่นมาพ้นกำหนดระยะเวลาตามที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 289 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 598/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจเทศบาลสั่งรื้ออาคารต้องพิจารณาตัวอาคารที่ชำรุดทรุดโทรมจริง มิใช่แค่บริเวณที่ดูไม่น่าดู
อำนาจของเทศบาลที่จะสั่งรื้อและดำเนินการรื้อถอนอาคารที่ชำรุดทรุดโทรมหรืออยู่ในสภาพอันเป็นที่น่ารังเกียจและไม่อาจแก้ไขได้ตามมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมืองพ.ศ. 2503 นั้น หมายความถึงตัวอาคารชำรุดทรุดโทรมหรืออยู่ในสภาพอันเป็นที่น่ารังเกียจและไม่อาจแก้ไขได้ มิใช่หมายความถึงบริเวณ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าอาคารของโจทก์ยังไม่ชำรุดทรุดโทรม เป็นแต่ตั้งปะปนอยู่กับอาคารอื่นเมื่อรื้ออาคารอื่นแล้วทำให้เกิดที่ว่างคั่นอาคารของโจทก์ ทำให้มีสภาพไม่น่าดูเท่านั้น ซึ่งไม่เป็นเหตุให้อาคารของโจทก์ตกเป็นอาคารที่อยู่ในสภาพอันเป็นที่น่ารังเกียจและไม่อาจแก้ไขได้ เช่นนี้ เทศบาลจึงจะใช้อำนาจตามมาตรา 12 แห่งกฎหมายดังกล่าวมาบังคับไม่ได้
เมื่ออาคารของโจทก์ไม่อยู่ในลักษณะที่เทศบาลจะใช้อำนาจตามมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ. 2503 บังคับได้ การที่เทศบาลสั่งรื้อและดำเนินการรื้อถอนอาคารของโจทก์เอง โดยโจทก์ไม่ยินยอมจึงเป็นการละเมิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 598/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เทศบาลใช้อำนาจสั่งรื้ออาคารชำรุดไม่ได้ หากอาคารยังมั่นคงแข็งแรง และสภาพแวดล้อมโดยรวมไม่น่ารังเกียจ
อำนาจของเทศบาลที่จะสั่งรื้อและดำเนินการรื้อถอนอาคารที่ชำรุดทรุดโทรมหรืออยู่ในสภาพอันเป็นที่น่ารังเกียจ และไม่อาจแก้ไขได้ ตามมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมืองพ.ศ. 2503 นั้น หมายความถึงตัวอาคารชำรุดทรุดโทรมหรืออยู่ในสภาพอันเป็นที่น่ารังเกียจและไม่อาจแก้ไขได้ มิใช่หมายความถึงบริเวณ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า อาคารของโจทก์ยังไม่ชำรุดทรุดโทรม เป็นแต่ตั้งปะปนอยู่กับอาคารอื่นเมื่อรื้ออาคารอื่นแล้วทำให้เกิดที่ว่างคั่นอาคารของโจทก์ ทำให้มีสภาพไม่น่าดูเท่านั้น ซึ่งไม่เป็นเหตุให้อาคารของโจทก์ตกเป็นอาคารที่อยู่ในสภาพอันเป็นที่น่ารังเกียจและไม่อาจแก้ไขได้ เช่นนี้ เทศบาลจึงจะใช้อำนาจตามมาตรา 12 แห่งกฎหมายดังกล่าวมาบังคับไม่ได้
เมื่ออาคารของโจทก์ไม่อยู่ในลักษณะที่เทศบาลจะใช้อำนาจตามมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ. 2503 บังคับได้ การที่เทศบาลสั่งรื้อและดำเนินการรื้อถอนอาคารของโจทก์เอง โดยโจทก์ไม่ยินยอมจึงเป็นการละเมิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 589/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องซ้ำและการนำสืบเปลี่ยนแปลงเอกสารสัญญากู้: ศาลฎีกาวินิจฉัยประเด็นข้อต่อสู้เรื่องประกันหนี้
โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีล้มละลายด้วยมูลหนี้สัญญากู้ เมื่อศาลยกฟ้องแล้วโจทก์นำสัญญากู้นั้นมาฟ้องเรียกเงินกู้จากจำเลยอีก ดังนี้ ไม่เป็นการฟ้องซ้ำ
จำเลยรับว่าได้ทำสัญญากู้ไว้ให้โจทก์จริงและในสัญญามีข้อความว่าได้รับเงินกู้ไปแล้ว การที่จะให้จำเลยนำสืบว่าความจริงจำเลยไม่ได้กู้เงินโจทก์ แต่ได้ทำสัญญากู้ไว้เพื่อเป็นประกัน ป. ลูกหนี้ของโจทก์ ดังนี้ เป็นการสืบเปลี่ยนแปลงเอกสารต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 589/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องซ้ำและการนำสืบเปลี่ยนแปลงเอกสารสัญญากู้ยืม: ศาลฎีกาวินิจฉัยประเด็นการฟ้องซ้ำและขอบเขตการนำสืบพยานเพื่อหักล้างข้อตกลงในสัญญา
โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีล้มละลายด้วยมูลหนี้สัญญากู้ เมื่อศาลยกฟ้องแล้วโจทก์นำสัญญากู้นั้นมาฟ้องเรียกเงินกู้จากจำเลยอีกดังนี้ ไม่เป็นการฟ้องซ้ำ
จำเลยรับว่าได้ทำสัญญากู้ไว้ให้โจทก์จริงและในสัญญามีข้อความว่าได้รับเงินกู้ไปแล้ว การที่จะให้จำเลยนำสืบว่าความจริงจำเลยไม่ได้กู้เงินโจทก์ แต่ได้ทำสัญญากู้ไว้เพื่อเป็นประกัน ป.ลูกหนี้ของโจทก์ ดังนี้ เป็นการสืบเปลี่ยนแปลงเอกสารต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 478/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อพิพาทเกี่ยวกับที่ดิน: เนื้อที่พิพาทน้อยกว่าที่ฟ้อง และราคาไม่เกินเกณฑ์ ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
ที่ดินที่โจทก์จำเลยพิพาทกันมิใช่ทั้งแปลงดังที่โจทก์ฟ้อง คงพิพาทกันเพียงส่วนหนึ่งของเนื้อที่ทั้งหมด และส่วนนี้แม้จะไม่ได้ความตามท้องสำนวนว่าเป็นเนื้อที่เท่าไร และศาลชั้นต้นไม่ได้ให้คู่ความตีราคาที่พิพาทใหม่ก็ตามก็คำนวณเอาจากมาตราส่วนในแผนที่วิวาทได้ว่าที่ดินที่พิพาทกันเนื้อที่ไม่ถึงกึ่งหนึ่งของที่ที่โจทก์ฟ้องทั้งหมด ส่วนราคาของที่พิพาทนั้นเมื่อรวมค่าเสียหายอีก 300 บาท ก็ไม่เกินห้าพันบาทเพราะที่ของโจทก์ 10 ไร่1 งาน โจทก์ตีราคามาเพียง 5,125 บาท คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นนั้นก็เพียงแก้ไขเล็กน้อย โจทก์จึงฎีกาในข้อเท็จจริงไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 478/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อพิพาทที่ดิน: การฟ้องร้องไม่ชัดเจนและราคาที่ดินต่ำกว่าเกณฑ์อุทธรณ์
ที่ดินที่โจทก์จำเลยพิพาทกันมิใช่ทั้งแปลงดังที่โจทก์ฟ้อง คงพิพาทกันเพียงส่วนหนึ่งของเนื้อที่ทั้งหมด และส่วนนี้แม้จะไม่ได้ความตามท้องสำนวนว่าเป็นเนื้อที่เท่าไร และศาลชั้นต้นไม่ได้ให้คู่ความตีราคาที่พิพาทใหม่ก็ตามก็คำนวณเอาจากมาตราส่วนในแผนที่วิวาทได้ว่าที่ดินที่พิพาทกันเนื้อที่ไม่ถึงกึ่งหนึ่งของที่ที่โจทก์ฟ้องทั้งหมด ส่วนราคาของที่พิพาทนั้นเมื่อรวมค่าเสียหายอีก 300 บาท ก็ไม่เกินห้าพันบาท เพราะที่ของโจทก์ 10 ไร่1 งาน โจทก์ตีราคามาเพียง 5,125 บาท คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นนั้นก็เพียงแก้ไขเล็กน้อย โจทก์จึงฎีกาในข้อเท็จจริงไม่ได้
of 31