พบผลลัพธ์ทั้งหมด 355 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2222/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอนุญาตเลื่อนคดี: พิจารณาเหตุผลสมควร, ยื่นคำร้องก่อนวันนัด, และประโยชน์แห่งความยุติธรรม
ทนายโจทก์ยื่นคำร้องขอเลื่อนการสืบพยานโจทก์ก่อนวันกำหนดนัด 3 วัน อ้างเหตุติดว่าความคดีอื่นในวันเดียวกันนั้น ศาลชั้นต้นสั่ง "สำเนาให้จำเลยสั่งในวันนัด" ครั้นวันนัดโจทก์ ทนายโจทก์ และพยานไม่ไปศาล ทนายโจทก์มอบฉันทะให้เสมียนทนายไปฟังคำสั่งศาลและกำหนดวันนัดแทน ดังนี้ เป็นเรื่องทนายโจทก์ขอเลื่อนคดีเป็นครั้งแรกทั้งยื่นไว้ก่อนวันนัดหลายวันมีเหตุสมควร และเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมที่จะอนุญาตให้โจทก์เลื่อนคดีไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2173/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสนับสนุนการกระทำผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองเพื่อค้า แม้ฟ้องว่าสมคบ แต่พิสูจน์ได้ว่าเป็นผู้สนับสนุนก็ลงโทษได้
จำเลยที่ 4 รู้อยู่แล้วว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนค้าอาวุธปืนเถื่อนโดยเคยรับจ้างเหมาขับเรือยนต์รับส่งจำเลยที่ 1 ไปเอาอาวุธปืนที่รวบรวมได้จากชาวบ้านมาไว้สำหรับการค้าหลายครั้ง ในครั้งที่เกิดเหตุจำเลยที่ 4 ก็รู้ว่าจำเลยที่ 1 มีอาวุธปืนเถื่อนที่เอามาจากชาวบ้านไปเพื่อค้า การที่จำเลยที่ 4 รู้แล้วยังใช้เรือเป็นพาหนะรับส่งจำเลยที่ 1 อีกเช่นนี้ จึงเป็นการช่วยเหลือและให้ความสะดวกในการกระทำความผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองสำหรับการค้า เป็นผู้สนับสนุนความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86
ฟ้องว่าจำเลยที่ 4 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยคนอื่นทางพิจารณาได้ความว่าเป็นผู้สนับสนุนความผิด ศาลก็มีอำนาจพิพากษาลงโทษได้
ฟ้องว่าจำเลยที่ 4 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยคนอื่นทางพิจารณาได้ความว่าเป็นผู้สนับสนุนความผิด ศาลก็มีอำนาจพิพากษาลงโทษได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2173/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้สนับสนุนการค้าอาวุธปืน: การช่วยเหลือรับส่งอาวุธปืนโดยรู้เห็นเป็นใจ ถือเป็นความผิดฐานสนับสนุน
จำเลยที่ 4 รู้อยู่แล้วว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนค้าอาวุธปืนเถื่อนโดยเคยรับจ้างเหมาขับเรือยนต์รับส่งจำเลยที่ 1 ไปเอาอาวุธปืนที่รวบรวมได้จากชาวบ้านมาไว้สำหรับการค้าหลายครั้ง ในครั้งที่เกิดเหตุจำเลยที่ 4 ก็รู้ว่าจำเลยที่ 1 มีอาวุธปืนเถื่อนที่เอามาจากชาวบ้านไปเพื่อค้า การที่จำเลยที่ 4 รู้แล้วยังใช้เรือเป็นพาหนะรับส่งจำเลยที่ 1อีกเช่นนี้ จึงเป็นการช่วยเหลือและให้ความสะดวกในการกระทำความผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองสำหรับการค้า เป็นผู้สนับสนุนความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86
ฟ้องว่าจำเลยที่ 4 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยคนอื่นทางพิจารณาได้ความว่าเป็นผู้สนับสนุนความผิด ศาลก็มีอำนาจพิพากษาลงโทษได้
ฟ้องว่าจำเลยที่ 4 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยคนอื่นทางพิจารณาได้ความว่าเป็นผู้สนับสนุนความผิด ศาลก็มีอำนาจพิพากษาลงโทษได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2103-2104/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีอาญาแผ่นดิน, การสอบสวน, เจ้าพนักงาน, การเบียดบังเงินของรัฐ, และความผิดฐานทุจริต
คดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์บรรยายฟ้องมาว่าได้สอบสวนแล้วย่อมสันนิษฐานได้ว่าเป็นการสอบสวนที่ชอบด้วยกฎหมาย ถ้าจำเลยไม่คัดค้านโดยเสนอเป็นข้อต่อสู้ไว้ ถือว่าไม่มีข้อโต้เถียงกัน หากตามสำนวนไม่มีข้อเท็จจริงที่แสดงว่าการสอบสวนนั้นไม่ชอบ จำเลยเพิ่งมาคัดค้านขึ้นในชั้นอุทธรณ์ฎีกาแล้ว ย่อมไม่มีเหตุที่จะวินิจฉัยให้
เงินอากรค่าใบอนุญาตฆ่าสัตว์ โค กระบือ ซึ่งเป็นรายได้ขององค์การบริหารส่วนจังหวัด เมื่อราษฎรนำมาชำระ และจำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่รับมอบไว้แล้ว หากจำเลยเบียดบังเอาเป็นของตนก็เป็นการเบียดบังเอาเงินของรัฐไม่ใช่เบียดบังเอาเงินของราษฎรรัฐบาลเป็นผู้เสียหายโดยตรง พนักงานอัยการจึงมีอำนาจฟ้องจำเลยได้แม้ราษฎรผู้ชำระเงินจะมิได้ร้องทุกข์
ผู้ว่าราชการจังหวัดได้มีคำสั่งแต่งตั้งให้นายอำเภอในจังหวัดทุกอำเภอเป็นเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับรายได้ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดและให้เจ้าหน้าที่สรรพากรอำเภอทุกคนเป็นผู้ช่วยนายอำเภอของตนเมื่อจำเลยซึ่งเป็นเสมียนแผนกสรรพากรทราบคำสั่งผู้ว่าราชการจังหวัดและรับมอบหมายเรื่องนี้มาแล้ว ถือได้ว่าจำเลยเป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ปฏิบัติราชการในเรื่องนี้แล้ว เพราะฐานะของเจ้าพนักงานเกิดจากการรับหน้าที่ตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาได้
เงินอากรค่าใบอนุญาตฆ่าสัตว์ โค กระบือ ซึ่งเป็นรายได้ขององค์การบริหารส่วนจังหวัด เมื่อราษฎรนำมาชำระ และจำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่รับมอบไว้แล้ว หากจำเลยเบียดบังเอาเป็นของตนก็เป็นการเบียดบังเอาเงินของรัฐไม่ใช่เบียดบังเอาเงินของราษฎรรัฐบาลเป็นผู้เสียหายโดยตรง พนักงานอัยการจึงมีอำนาจฟ้องจำเลยได้แม้ราษฎรผู้ชำระเงินจะมิได้ร้องทุกข์
ผู้ว่าราชการจังหวัดได้มีคำสั่งแต่งตั้งให้นายอำเภอในจังหวัดทุกอำเภอเป็นเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับรายได้ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดและให้เจ้าหน้าที่สรรพากรอำเภอทุกคนเป็นผู้ช่วยนายอำเภอของตนเมื่อจำเลยซึ่งเป็นเสมียนแผนกสรรพากรทราบคำสั่งผู้ว่าราชการจังหวัดและรับมอบหมายเรื่องนี้มาแล้ว ถือได้ว่าจำเลยเป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ปฏิบัติราชการในเรื่องนี้แล้ว เพราะฐานะของเจ้าพนักงานเกิดจากการรับหน้าที่ตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2103-2104/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสอบสวน การฟ้องคดีอาญาแผ่นดิน และความรับผิดของเจ้าพนักงานต่อเงินของรัฐ
คดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์บรรยายฟ้องมาว่าได้สอบสวนแล้วย่อมสันนิษฐานได้ว่าเป็นการสอบสวนที่ชอบด้วยกฎหมาย ถ้าจำเลยไม่คัดค้านโดยเสนอเป็นข้อต่อสู้ไว้ ถือว่าไม่มีข้อโต้เถียงกัน หากตามสำนวนไม่มีข้อเท็จจริงที่แสดงว่าการสอบสวนนั้นไม่ชอบ จำเลยเพิ่งมาคัดค้านขึ้นในชั้นอุทธรณ์ฎีกาแล้ว ย่อมไม่มีเหตุที่จะวินิจฉัยให้
เงินอากรค่าใบอนุญาตฆ่าสัตว์ โค กระบือ ซึ่งเป็นรายได้ขององค์การบริหารส่วนจังหวัด เมื่อราษฎรนำมาชำระ และจำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่รับมอบไว้แล้ว หากจำเลยเบียดบังเอาเป็นของตนก็เป็นการเบียดบังเอาเงินของรัฐไม่ใช่เบียดบังเอาเงินของราษฎรรัฐบาลเป็นผู้เสียหายโดยตรง พนักงานอัยการจึงมีอำนาจฟ้องจำเลยได้แม้ราษฎรผู้ชำระเงินจะมิได้ร้องทุกข์
ผู้ว่าราชการจังหวัดได้มีคำสั่งแต่งตั้งให้นายอำเภอในจังหวัดทุกอำเภอเป็นเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับรายได้ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดและให้เจ้าหน้าที่สรรพากรอำเภอทุกคนเป็นผู้ช่วยนายอำเภอของตนเมื่อจำเลยซึ่งเป็นเสมียนแผนกสรรพากรทราบคำสั่งผู้ว่าราชการจังหวัดและรับมอบหมายเรื่องนี้มาแล้ว ถือได้ว่าจำเลยเป็นเจ้าพนักงานผู้มี หน้าที่ปฏิบัติราชการในเรื่องนี้แล้ว เพราะฐานะของเจ้าพนักงานเกิดจากการรับหน้าที่ตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาได้
เงินอากรค่าใบอนุญาตฆ่าสัตว์ โค กระบือ ซึ่งเป็นรายได้ขององค์การบริหารส่วนจังหวัด เมื่อราษฎรนำมาชำระ และจำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่รับมอบไว้แล้ว หากจำเลยเบียดบังเอาเป็นของตนก็เป็นการเบียดบังเอาเงินของรัฐไม่ใช่เบียดบังเอาเงินของราษฎรรัฐบาลเป็นผู้เสียหายโดยตรง พนักงานอัยการจึงมีอำนาจฟ้องจำเลยได้แม้ราษฎรผู้ชำระเงินจะมิได้ร้องทุกข์
ผู้ว่าราชการจังหวัดได้มีคำสั่งแต่งตั้งให้นายอำเภอในจังหวัดทุกอำเภอเป็นเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับรายได้ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดและให้เจ้าหน้าที่สรรพากรอำเภอทุกคนเป็นผู้ช่วยนายอำเภอของตนเมื่อจำเลยซึ่งเป็นเสมียนแผนกสรรพากรทราบคำสั่งผู้ว่าราชการจังหวัดและรับมอบหมายเรื่องนี้มาแล้ว ถือได้ว่าจำเลยเป็นเจ้าพนักงานผู้มี หน้าที่ปฏิบัติราชการในเรื่องนี้แล้ว เพราะฐานะของเจ้าพนักงานเกิดจากการรับหน้าที่ตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2097-2098/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่า, การดัดแปลงที่ดิน, กรรมสิทธิ์ในสิ่งปลูกสร้าง, สิทธิภารจำยอม, การรื้อถอน
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยเป็นผู้เช่าที่ดินของโจทก์จนหมดอายุสัญญาเช่าแล้วได้บอกกล่าวให้จำเลยออกไป จำเลยและบริวารไม่ยอมออก เป็นการละเมิดขอให้ขับไล่ เป็นการแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม ไม่จำต้องบรรยายไปถึงว่าจำเลยได้ทำสัญญาเช่าเป็นหนังสือหรือไม่
สัญญาเช่าบ้านมีข้อความว่า ส่วนที่ดัดแปลงต่อเติมหรือปลูกสร้างขึ้นนั้นให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ให้เช่าทั้งสิ้น ย่อมมีความหมายว่า บริเวณที่จำเลยก่อสร้างโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดนั้นอยู่ในขอบเขตของสัญญาทั้งสิ้น ดังนี้ โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ที่จำเลยก่อสร้างขึ้นจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ให้เช่าตั้งแต่เวลาก่อสร้างขึ้น กรณีไม่เข้าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1310, 1312
สัญญาเช่าบ้านมีข้อความว่า ส่วนที่ดัดแปลงต่อเติมหรือปลูกสร้างขึ้นนั้นให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ให้เช่าทั้งสิ้น ย่อมมีความหมายว่า บริเวณที่จำเลยก่อสร้างโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดนั้นอยู่ในขอบเขตของสัญญาทั้งสิ้น ดังนี้ โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ที่จำเลยก่อสร้างขึ้นจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ให้เช่าตั้งแต่เวลาก่อสร้างขึ้น กรณีไม่เข้าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1310, 1312
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2097-2098/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่า, การปรับปรุงที่ดิน, กรรมสิทธิ์ในสิ่งปลูกสร้าง, สิทธิภารจำยอม, ฟ้องขับไล่
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยเป็นผู้เช่าที่ดินของโจทก์จนหมดอายุสัญญาเช่าแล้วได้บอกกล่าวให้จำเลยออกไป จำเลยและบริวารไม่ยอมออก เป็นการละเมิดขอให้ขับไล่ เป็นการแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม ไม่จำต้องบรรยายไปถึงว่าจำเลยได้ทำสัญญาเช่าเป็นหนังสือหรือไม่
สัญญาเช่าบ้านมีข้อความว่า ส่วนที่ดัดแปลงต่อเติมหรือปลูกสร้างขึ้นนั้นให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ให้เช่าทั้งสิ้น ย่อมมีความหมายว่า บริเวณที่จำเลยก่อสร้างโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดนั้นอยู่ในขอบเขตของสัญญาทั้งสิ้น ดังนี้ โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ที่จำเลยก่อสร้างขึ้นจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ให้เช่าตั้งแต่เวลาก่อสร้างขึ้น กรณีไม่เข้าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1310, 1312
สัญญาเช่าบ้านมีข้อความว่า ส่วนที่ดัดแปลงต่อเติมหรือปลูกสร้างขึ้นนั้นให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ให้เช่าทั้งสิ้น ย่อมมีความหมายว่า บริเวณที่จำเลยก่อสร้างโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดนั้นอยู่ในขอบเขตของสัญญาทั้งสิ้น ดังนี้ โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ที่จำเลยก่อสร้างขึ้นจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ให้เช่าตั้งแต่เวลาก่อสร้างขึ้น กรณีไม่เข้าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1310, 1312
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2066/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อันตรายสาหัสจากการทำร้ายร่างกาย: การประเมินอาการบาดเจ็บและระยะเวลาพักฟื้น
ถูกตีด้วยไม้ระแนง กระโหลกศีรษะร้าว ต้องใช้เวลารักษาประมาณ1 ปีครึ่งกระดูกจึงจะเชื่อมติดกันได้และแข็งแรงพอ จะมีอาการปวดศีรษะในระยะ 1 เดือนแรก ไม่สามารถนั่งขายของได้ตามปกติ ดังนี้ ถือได้ว่าต้องทุพพลภาพหรือป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่า 20 วัน และประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า 20 วัน เป็นอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(8)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2066/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อันตรายสาหัสจากการทำร้ายร่างกาย: เกณฑ์การพิจารณาอาการบาดเจ็บเกิน 20 วัน
ถูกตีด้วยไม้ระแนง กระโหลกศีรษะร้าว ต้องใช้เวลารักษาประมาณ 1 ปีครึ่ง กระดูกจึงจะเชื่อมติดกันได้และแข็งแรงพอ จะมีอาการปวดศีรษะในระยะ 1 เดือนแรก ไม่สามารถนั่งขายของได้ตามปกติ ดังนี้ ถือได้ว่าต้องทุพพลภาพหรือป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่า 20 วัน และประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า 20 วัน เป็นอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(8)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2045/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขาดนัดพิจารณาคดีล้มละลาย ศาลจำหน่ายคดีตามกฎหมาย แม้เข้าใจผิดเรื่องเวลา
กรณีที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีหนังสือแจ้งให้ผู้ร้องส่งมอบรถยนต์หรือชำระเงินต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ และผู้ร้องยื่นคำร้องคัดค้านต่อศาล แต่ผู้ร้องไม่มีศาลตามวันเวลาที่ศาลนัดไต่สวนนั้น พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153 ให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับโดยอนุโลม จึงต้องถือว่าผู้ร้องขาดนัดพิจารณาตามมาตรา 197 วรรคสอง
เมื่อผู้ร้องขาดนัดพิจารณาและเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ขอให้ศาลสั่งตามรูปคดี ศาลจึงสั่งจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 201 นั้น แม้ผู้ร้องจะเข้าใจเวลานัดของศาลผิดไปโดยสุจริต ก็ไม่อาจดำเนินคดีต่อไปได้คงทำได้เพียงประการเดียว คือร้องเริ่มต้นคดีใหม่ แต่ทั้งนี้ต้องอยู่ในบังคับแห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 119 (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 74/2512)
กรณีผู้ร้องขาดนัดพิจารณาซึ่งศาลสั่งจำหน่ายคดี กฎหมายห้ามมิให้อุทธรณ์คำสั่งหรือมีคำขอให้พิจารณาคดีนั้นใหม่ ย่อมไม่มีความจำเป็นที่ศาลจะต้องไต่สวนคำร้องของผู้ร้องว่าจงใจขาดนัดหรือไม่
เมื่อผู้ร้องขาดนัดพิจารณาและเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ขอให้ศาลสั่งตามรูปคดี ศาลจึงสั่งจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 201 นั้น แม้ผู้ร้องจะเข้าใจเวลานัดของศาลผิดไปโดยสุจริต ก็ไม่อาจดำเนินคดีต่อไปได้คงทำได้เพียงประการเดียว คือร้องเริ่มต้นคดีใหม่ แต่ทั้งนี้ต้องอยู่ในบังคับแห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 119 (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 74/2512)
กรณีผู้ร้องขาดนัดพิจารณาซึ่งศาลสั่งจำหน่ายคดี กฎหมายห้ามมิให้อุทธรณ์คำสั่งหรือมีคำขอให้พิจารณาคดีนั้นใหม่ ย่อมไม่มีความจำเป็นที่ศาลจะต้องไต่สวนคำร้องของผู้ร้องว่าจงใจขาดนัดหรือไม่