พบผลลัพธ์ทั้งหมด 474 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1903/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่คัดค้านองค์คณะไม่ครบถ้วนในชั้นศาลชั้นต้น ถือเป็นการสละสิทธิ โต้แย้งในชั้นฎีกาไม่ได้
การที่ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นนั่งพิจารณาคดีไม่ครบองค์คณะ.และจำเลยมีโอกาสบริบูรณ์ที่จะคัดค้านได้ตั้งแต่ในขณะที่ศาลชั้นต้นกำลังดำเนินกระบวนพิจารณาอยู่นั้น แต่จำเลยละเลยเสีย. มิได้โต้แย้งคัดค้านในเวลาอันสมควร. ถือได้ว่าจำเลยสละสิทธินั้นแล้ว. จะยกขึ้นโต้แย้งในชั้นฎีกาไม่ได้ (อ้างฎีกาที่ 938/2472,535/2480).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1903/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสละสิทธิคัดค้านองค์คณะผู้พิพากษา: จำเลยต้องโต้แย้งตั้งแต่ศาลชั้นต้น
การที่ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นนั่งพิจารณาคดีไม่ครบองค์คณะและจำเลยมีโอกาสบริบูรณ์ที่จะคัดค้านได้ตั้งแต่ในขณะที่ศาลชั้นต้นกำลังดำเนินกระบวนพิจารณาอยู่นั้น แต่จำเลยละเลยเสีย มิได้โต้แย้งคัดค้านในเวลาอันสมควร ถือได้ว่าจำเลยสละสิทธินั้นแล้ว จะยกขึ้นโต้แย้งในชั้นฎีกาไม่ได้ (อ้างฎีกาที่ 938/2472,535/2480)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1821/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เอกสารสัญญากู้ที่มิได้ปิดอากรแสตมป์ใช้เป็นหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้ แม้จำเลยไม่ได้ให้การรับ
โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้จำนวนเงิน 2,000 บาท จำเลยให้การต่อสู้ว่า เงินจำนวนที่ฟ้องเป็นเงินมัดจำที่โจทก์จะต้องชำระให้แก่จำเลยตามสัญญาซื้อขายเพื่อเป็นการตอบแทนในการที่จำเลยยอมถอนการจับจองที่ดินแล้วให้โจทก์เข้าจับจองแทน เงินมัดจำดังกล่าวได้ทำเป็นสัญญากู้กันไว้ ดังนี้ จะถือว่าจำเลยได้ให้การรับแล้วว่าได้กู้เงินโจทก์ดังที่กล่าวอ้างไม่ได้ โจทก์จึงยังมีหน้าที่นำสืบตามข้ออ้างของโจทก์อยู่
เอกสารสัญญากู้ที่โจทก์อ้างส่งศาลปรากฏว่ามิได้ปิดอากรแสตมป์ไว้ ย่อมใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 คดีจึงไม่อาจรับฟังได้ว่าโจทก์มีเอกสารสัญญากู้ หรือมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดซึ่งมีลายมือชื่อจำเลยว่าเป็นผู้ยืมเงินโจทก์มาแสดง โจทก์ย่อมไม่อาจขอให้ศาลบังคับคดีตามคำขอของโจทก์ได้
ประมวลรัษฎากรมาตรา 118 เป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับการรับฟังพยานเอกสารเป็นการวางกฎเกณฑ์เพิ่มเติมขึ้นจากหลักทั่วไปที่มีบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ศาลจึงมีหน้าที่ที่จะต้องวินิจฉัยและรับฟังพยานหลักฐานต่างๆ ให้เป็นไปตามตัวบทกฎหมาย เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยและรับฟังพยานหลักฐานผิดแผกไปจากตัวบทกฎหมาย จำเลยก็ชอบที่จะยกปัญหานี้ขึ้นอ้างอิงในชั้นอุทธรณ์ได้ เพราะจำเลยย่อมไม่อาจจะรู้ได้ล่วงหน้าจนกว่าจะได้รับทราบคำพิพากษาของศาลชั้นต้น นับได้ว่าเป็นพฤติการณ์นอกเหนือที่จำเลยไม่อาจบังคับได้
เอกสารสัญญากู้ที่โจทก์อ้างส่งศาลปรากฏว่ามิได้ปิดอากรแสตมป์ไว้ ย่อมใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 คดีจึงไม่อาจรับฟังได้ว่าโจทก์มีเอกสารสัญญากู้ หรือมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดซึ่งมีลายมือชื่อจำเลยว่าเป็นผู้ยืมเงินโจทก์มาแสดง โจทก์ย่อมไม่อาจขอให้ศาลบังคับคดีตามคำขอของโจทก์ได้
ประมวลรัษฎากรมาตรา 118 เป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับการรับฟังพยานเอกสารเป็นการวางกฎเกณฑ์เพิ่มเติมขึ้นจากหลักทั่วไปที่มีบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ศาลจึงมีหน้าที่ที่จะต้องวินิจฉัยและรับฟังพยานหลักฐานต่างๆ ให้เป็นไปตามตัวบทกฎหมาย เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยและรับฟังพยานหลักฐานผิดแผกไปจากตัวบทกฎหมาย จำเลยก็ชอบที่จะยกปัญหานี้ขึ้นอ้างอิงในชั้นอุทธรณ์ได้ เพราะจำเลยย่อมไม่อาจจะรู้ได้ล่วงหน้าจนกว่าจะได้รับทราบคำพิพากษาของศาลชั้นต้น นับได้ว่าเป็นพฤติการณ์นอกเหนือที่จำเลยไม่อาจบังคับได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1821/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เอกสารสัญญากู้ที่มิได้ปิดอากรแสตมป์ใช้เป็นหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้ แม้จำเลยไม่ได้ให้การรับ
โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้จำนวนเงิน 2,000 บาท จำเลยให้การต่อสู้ว่า เงินจำนวนที่ฟ้องเป็นเงินมัดจำที่โจทก์จะต้องชำระให้แก่จำเลยตามสัญญาซื้อขาย เพื่อเป็นการตอบแทนในการที่จำเลยยอมถอนการจับจองที่ดินแล้วให้โจทก์เข้าจับจองแทนเงินมัดจำดังกล่าวได้ทำเป็นสัญญากู้กันไว้ ดังนี้ จะถือว่าจำเลยได้ให้การรับแล้วว่าได้กู้เงินโจทก์ดังที่กล่าวอ้างไม่ได้ โจทก์จึงยังมีหน้าที่นำสืบตามข้ออ้างของโจทก์อยู่
เอกสารสัญญากู้ที่โจทก์อ้างส่งศาลปรากฏว่ามิได้ปิดอากรแสตมป์ไว้ย่อมใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 คดีจึงไม่อาจรับฟังได้ว่าโจทก์มีเอกสารสัญญากู้หรือมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดซึ่งมีลายมือชื่อจำเลยว่าเป็นผู้ยืมเงินโจทก์มาแสดง โจทก์ย่อมไม่อาจขอให้ศาลบังคับคดีตามคำขอของโจทก์ได้
ประมวลรัษฎากรมาตรา 118 เป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับการรับฟังพยานเอกสารเป็นการวางกฎเกณฑ์เพิ่มเติมขึ้นจากหลักทั่วไปที่มีบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งศาลจึงมีหน้าที่ที่จะต้องวินิจฉัยและรับฟังพยานหลักฐานต่าง ๆ ให้เป็นไปตามตัวบทกฎหมาย เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยและรับฟังพยานหลักฐานผิดแผกไปจากตัวบทกฎหมาย จำเลยก็ชอบที่จะยกปัญหานี้ขึ้นอ้างอิงในชั้นอุทธรณ์ได้ เพราะจำเลยย่อมไม่อาจจะรู้ได้ล่วงหน้าจนกว่าจะได้รับทราบคำพิพากษาของศาลชั้นต้นนับได้ว่าเป็นพฤติการณ์นอกเหนือที่จำเลยไม่อาจบังคับได้
เอกสารสัญญากู้ที่โจทก์อ้างส่งศาลปรากฏว่ามิได้ปิดอากรแสตมป์ไว้ย่อมใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 คดีจึงไม่อาจรับฟังได้ว่าโจทก์มีเอกสารสัญญากู้หรือมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดซึ่งมีลายมือชื่อจำเลยว่าเป็นผู้ยืมเงินโจทก์มาแสดง โจทก์ย่อมไม่อาจขอให้ศาลบังคับคดีตามคำขอของโจทก์ได้
ประมวลรัษฎากรมาตรา 118 เป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับการรับฟังพยานเอกสารเป็นการวางกฎเกณฑ์เพิ่มเติมขึ้นจากหลักทั่วไปที่มีบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งศาลจึงมีหน้าที่ที่จะต้องวินิจฉัยและรับฟังพยานหลักฐานต่าง ๆ ให้เป็นไปตามตัวบทกฎหมาย เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยและรับฟังพยานหลักฐานผิดแผกไปจากตัวบทกฎหมาย จำเลยก็ชอบที่จะยกปัญหานี้ขึ้นอ้างอิงในชั้นอุทธรณ์ได้ เพราะจำเลยย่อมไม่อาจจะรู้ได้ล่วงหน้าจนกว่าจะได้รับทราบคำพิพากษาของศาลชั้นต้นนับได้ว่าเป็นพฤติการณ์นอกเหนือที่จำเลยไม่อาจบังคับได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1697/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนเช็คโดยไม่สุจริต ผู้รับโอนไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินจากผู้สั่งจ่าย
โจทก์รับโอนเช็คพิพาทจากผู้สลักหลังโดยไม่สุจริต จึงไม่มีสิทธิจะเรียกเงินตามเช็คพิพาทจากผู้สั่งจ่าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1697/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนเช็คพิพาทโดยไม่สุจริต ทำให้ผู้รับโอนไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินจากผู้สั่งจ่าย
โจทก์รับโอนเช็คพิพาทจากผู้สลักหลังโดยไม่สุจริต จึงไม่มีสิทธิจะเรียกเงินตามเช็คพิพาทจากผู้สั่งจ่าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1686-1689/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิครอบครองที่ดิน: การจัดสรรที่ดินโดยรัฐและการสละสิทธิโดยปริยาย
โจทก์เข้าครอบครองที่พิพาทโดยทางราชการจัดสรรให้ตาม ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 30 และได้รับใบจองแล้ว แม้จำเลยจะได้ยึดถือครอบครองที่พิพาทอยู่ก่อนประกาศใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน จำเลยก็ไม่มีสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายที่ดิน และพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดินพ.ศ.2497 มาตรา 5 ให้ถือว่าจำเลยมีเจตนาสละสิทธิครอบครองที่ดินนั้นแล้ว สิทธิของจำเลยหากจะดีกว่าผู้อื่นทั่วๆไป ก็หาอาจใช้ยันโจทก์ผู้ได้รับสิทธิในที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดินโดยชอบแล้วไม่ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยให้ออกไปจากที่พิพาทได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1686-1689/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิครอบครองที่ดินจากการจัดสรรของรัฐ vs. การครอบครองก่อนประมวลกฎหมายที่ดิน ศาลยืนตามสิทธิผู้ได้รับจัดสรร
โจทก์เข้าครอบครองที่พิพาทโดยทางราชการจัดสรรให้ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 30 และได้รับใบจองแล้วแม้จำเลยจะได้ยึดถือครอบครองที่พิพาทอยู่ก่อนประกาศใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน จำเลยก็ไม่มีสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายที่ดิน และพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 มาตรา 5 ให้ถือว่าจำเลยมีเจตนาสละสิทธิครอบครองที่ดินนั้นแล้ว สิทธิของจำเลยหากจะดีกว่าผู้อื่นทั่วๆไป ก็หาอาจใช้ยันโจทก์ผู้ได้รับสิทธิในที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดินโดยชอบแล้วไม่โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยให้ออกไปจากที่พิพาทได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1673/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้อน: การฟ้องแย้งในคดีเดิมที่ยังพิจารณาอยู่ ถือเป็นการฟ้องซ้อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
จำเลยฟ้องโจทก์ไว้แล้วในคดีดำที่ 1533/2512 ให้รับผิดฐานละเมิด โดยอ้างว่าโจทก์ให้ผู้ก่อสร้างรื้ออาคารที่ถูกไฟไหม้ออกจากที่ดินโจทก์ และนำเศษอิฐ ปูน และวัตถุก่อสร้างเอาไปกองไว้ในที่ดินจำเลย และโจทก์ได้ทำการก่อสร้างอาคารในที่ดินโจทก์เต็มตามเขตโฉนด ไม่เว้นทางเดินซึ่งตกเป็นภารจำยอมสำหรับที่ดินจำเลยเป็นการปิดทางภารจำยอม ขอให้ใช้ค่าเสียหายและเปิดทางภารจำยอม คดีอยู่ในระหว่างพิจารณา โจทก์กลับฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้และจำเลยได้ให้การต่อสู้คดีกับฟ้องแย้งให้โจทก์รับผิดฐานละเมิด ทำนองเดียวกับที่กล่าวอ้างในคดีดำที่ 1533/2512 เพียงแต่ให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายเพิ่มเติมอีกบางประการ คือ ค่าหน้าดินและค่าเช่าตึกเท่านั้น ดังนี้ เห็นได้ว่าการกระทำที่จำเลยอ้างว่าโจทก์ได้กระทำละเมิดนั้น เป็นการกระทำอย่างเดียวกัน ทำในคราวเดียวกันแม้จะได้ความต่อมาว่าโจทก์ได้ทำการก่อสร้างตึกทับทางภารจำยอมจนเสร็จบริบูรณ์ ก็เป็นการกระทำที่สืบเนื่องติดต่อกันมากับการกระทำเดิม มิได้กระทำการอื่นใดอันถือว่าเป็นการละเมิดใหม่ต่อจำเลยและความเสียหายที่จำเลยอ้างเพิ่มเติมขึ้นมาใหม่ในคำฟ้องแย้งก็ได้ความจากฟ้องแย้งนั้นเองว่า เมื่อโจทก์เริ่มกระทำละเมิดต่อจำเลยนั้น จำเลยได้รับความเสียหายแล้ว จำเลยควรเรียกค่าเสียหายจากโจทก์ในคดีเดิมได้ ฟ้องแย้งของจำเลยในคดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้อนกับคดีแพ่งดำที่ 1533/2512 ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1673/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องแย้งซ้ำในคดีเดิม: การฟ้องแย้งต้องห้ามตามมาตรา 173 วรรคสอง (1) เมื่อเป็นการเรียกร้องค่าเสียหายเพิ่มเติมจากละเมิดเดิม
จำเลยฟ้องโจทก์ไว้แล้วในคดีดำที่ 1533/2512 ให้รับผิดฐานละเมิด โดยอ้างว่าโจทก์ให้ผู้ก่อสร้างรื้ออาคารที่ถูกไฟไหม้ออกจากที่ดินโจทก์ และนำเศษอิฐ ปูน และวัตถุก่อสร้างเอาไปกองไว้ในที่ดินจำเลย. และโจทก์ได้ทำการก่อสร้างอาคารในที่ดินโจทก์เต็มตามเขตโฉนด ไม่เว้นทางเดิน ซึ่งตกเป็นภารจำยอมสำหรับที่ดินจำเลย เป็นการปิดทางภารจำยอม ขอให้ใช้ค่าเสียหายและเปิดทางภารจำยอม คดีอยู่ในระหว่างพิจารณา โจทก์กลับฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้และจำเลยได้ให้การต่อสู้คดีกับฟ้องแย้งให้โจทก์รับผิดฐานละเมิด ทำนองเดียวกับที่กล่าวอ้างในคดีดำที่ 1533/2512เพียงแต่ให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายเพิ่มเติมอีกบางประการ คือ ค่าหน้าดินและค่าเช่าตึกเท่านั้น ดังนี้ เห็นได้ว่าการกระทำที่จำเลยอ้างว่าโจทก์ได้กระทำละเมิดนั้น เป็นการกระทำอย่างเดียวกัน ทำในคราวเดียวกันแม้จะได้ความต่อมาว่าโจทก์ได้ทำการก่อสร้างตึกทับทางภารจำยอมจนเสร็จบริบูรณ์ ก็เป็นการกระทำที่สืบเนื่องติดต่อกันมากับการกระทำเดิม มิได้กระทำการอื่นใดอันถือว่าเป็นการละเมิดใหม่ต่อจำเลย และความเสียหายที่จำเลยอ้างเพิ่มเติมขึ้นมาใหม่ในคำฟ้องแย้ง ก็ได้ความจากฟ้องแย้งนั้นเองว่า เมื่อโจทก์เริ่มกระทำละเมิดต่อจำเลยนั้น จำเลยได้รับความเสียหายแล้ว จำเลยควรเรียกค่าเสียหายจากโจทก์ในคดีเดิมได้ ฟ้องแย้งของจำเลยในคดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้อนกับคดีแพ่งดำที่ 1533/2512. ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1)