พบผลลัพธ์ทั้งหมด 474 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1719/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ส.ค.1 ไม่ใช่หลักฐานแสดงกรรมสิทธิ์ การแจ้งครอบครองที่ดินไม่สร้างข้อสันนิษฐานว่าผู้แจ้งเป็นเจ้าของ
การแจ้งการครอบครองที่ดินต่อนายอำเภอท้องที่นั้น (แจ้ง ส.ค.1) หาใช่เป็นข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่าผู้แจ้งการครอบครองเป็นผู้มีสิทธิในที่นั้นเสมอไปไม่
มาตรา 1373 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บัญญัติเกี่ยวกับสิทธิครอบครองเฉพาะในที่ดินซึ่งได้มีการจดทะเบียนออกโฉนดเป็นกรรมสิทธิ์แก่ผู้หนึ่งผู้ใดแล้ว ฉะนั้น ที่ผู้ร้องไปแจ้งการครอบครองที่ดินต่อนายอำเภอท้องที่ตามพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 มาตรา 5 จึงไม่อาจปรับเข้าข้อสันนิษฐานตามความในมาตรา 1373 ได้
มาตรา 1373 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บัญญัติเกี่ยวกับสิทธิครอบครองเฉพาะในที่ดินซึ่งได้มีการจดทะเบียนออกโฉนดเป็นกรรมสิทธิ์แก่ผู้หนึ่งผู้ใดแล้ว ฉะนั้น ที่ผู้ร้องไปแจ้งการครอบครองที่ดินต่อนายอำเภอท้องที่ตามพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 มาตรา 5 จึงไม่อาจปรับเข้าข้อสันนิษฐานตามความในมาตรา 1373 ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1715/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโดยรู้ว่ามีสิทธิของผู้อื่น การโอนนั้นไม่สมบูรณ์และศาลสามารถเพิกถอนได้
ก. และ ว. โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งแปลงซึ่งมีที่ดินส่วนพิพาทอันเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์รวมอยู่ด้วย ยกให้แก่จำเลย และจำเลยรู้ความจริงอยู่ว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ แม้จำเลยจะโอนกรรมสิทธิ์ให้จำเลยร่วมซึ่งเป็นภริยาเป็นเจ้าของร่วมด้วย จำเลยและจำเลยร่วมก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนพิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1715/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโดยรู้ว่ามีสิทธิของผู้อื่น การเพิกถอนนิติกรรม และสิทธิในการครอบครองที่ดิน
ก. และ ว. โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งแปลงซึ่งมีที่ดินส่วนพิพาทอันเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์รวมอยู่ด้วย ยกให้แก่จำเลย และจำเลยรู้ความจริงอยู่ว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ แม้จำเลยจะโอนกรรมสิทธิ์ให้จำเลยร่วมซึ่งเป็นภริยาเป็นเจ้าของร่วมด้วย จำเลยและจำเลยร่วมก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนพิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1700/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องอาญาที่ระบุมาตรากฎหมายโดยไม่ระบุชื่อกฎหมายยังถือว่าสมบูรณ์ หากบริบทแสดงให้เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นกฎหมายใด
หน้าฟ้องลงข้อหาว่า "ปลอมหนังสือ ใช้หนังสือปลอม"คำบรรยายฟ้องก็ชัดเช่นนั้น ส่วนคำขอท้ายฟ้องพิมพ์ไว้แต่เพียงว่าขอให้ลงโทษตามมาตรา 264, 265, 266, 268 โดยมิได้อ้างชื่อกฎหมายแห่งมาตรานั้น ๆ ว่าเป็นกฎหมายอะไรก็จริงอยู่ แต่เมื่อประมวลแล้วทราบได้ว่ากฎหมายที่ขอให้ลงโทษนั้นคือประมวลกฎหมายอาญา ทั้งมาตราที่พิมพ์ไว้ในคำขอท้ายฟ้องตรงกับมาตราที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญาในหมวดว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับเอกสาร คำฟ้องของโจทก์คดีนี้ขาดตกบกพร่องเพียง แต่มิได้ระบุชื่อของกฎหมาย แต่ก็มีพฤติการณ์แสดงให้เห็นได้ว่าเป็นกฎหมายอะไร เช่นนี้ หาเพียงพอที่จะถือว่าคำฟ้องนั้น เป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(6) แต่อย่างใดไม่ ฟ้องโจทก์จึงสมบูรณ์
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 25/2514)
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 25/2514)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1700/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสมบูรณ์ของคำฟ้องอาญา และการใช้เช็คปลอมโดยรู้เท่าทัน
หน้าฟ้องลงข้อหาว่า "ปลอมหนังสือ ใช้หนังสือปลอม"คำบรรยายฟ้องก็ชัดเช่นนั้น ส่วนคำขอท้ายฟ้องพิมพ์ไว้แต่เพียงว่าขอให้ลงโทษตามมาตรา 264, 265, 266, 268 โดยมิได้อ้างชื่อกฎหมายแห่งมาตรานั้น ๆ ว่าเป็นกฎหมายอะไรก็จริงอยู่แต่เมื่อประมวลแล้วทราบได้ว่ากฎหมายที่ขอให้ลงโทษนั้นคือประมวลกฎหมายอาญา ทั้งมาตราที่พิมพ์ไว้ในคำขอท้ายฟ้องตรงกับมาตราที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญาในหมวดว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับเอกสาร คำฟ้องของโจทก์คดีนี้ขาดตกบกพร่องเพียง แต่มิได้ระบุชื่อของกฎหมาย แต่ก็มีพฤติการณ์แสดงให้เห็นได้ว่าเป็นกฎหมายอะไร เช่นนี้ หาเพียงพอที่จะถือว่าคำฟ้องนั้นเป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158(6) แต่อย่างใดไม่ ฟ้องโจทก์จึงสมบูรณ์
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 25/2514)
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 25/2514)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1664-1665/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ในที่ดิน: การครอบครองแทนเจ้าของไม่ทำให้ได้กรรมสิทธิ์ทางปรปักษ์ หากไม่ได้แจ้งเปลี่ยนเจตนา
ฉ. เข้าครอบครองที่ดินจัดหาผลประโยชน์แทนจำเลยที่ 2 หาใช่จัดทำในฐานะตนเองเป็นเจ้าของไม่ แม้จะนานสักปานใดก็ตาม หาทำให้ได้กรรมสิทธิ์ทางปรปักษ์ไม่เว้นแต่จะได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือ โดยบอกกล่าวไปยังเจ้าของว่าไม่มีเจตนายึดถือทรัพย์แทนเจ้าของต่อไป
เมื่อที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 2 ฉ. ย่อมไม่มีสิทธิที่จะยกที่ดินพิพาทซึ่งไม่ใช่ของตนให้แก่ผู้อื่น
เมื่อที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 2 ฉ. ย่อมไม่มีสิทธิที่จะยกที่ดินพิพาทซึ่งไม่ใช่ของตนให้แก่ผู้อื่น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1664-1665/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์ต้องเป็นการครอบครองในฐานะเจ้าของ มิใช่แทนเจ้าของ การยกที่ดินของผู้อื่นให้โจทก์ไม่มีผลผูกพัน
ฉ. เข้าครอบครองที่ดินจัดหาผลประโยชน์แทนจำเลยที่ 2 หาใช่จัดทำในฐานะตนเองเป็นเจ้าของไม่ แม้จะนานสักปานใดก็ตาม หาทำให้ได้กรรมสิทธิ์ทางปรปักษ์ไม่เว้นแต่จะได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือโดยบอกกล่าวไปยังเจ้าของ ว่าไม่มีเจตนายึดถือทรัพย์แทนเจ้าของต่อไป
เมื่อที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 2 ฉ. ย่อมไม่มีสิทธิที่จะยกที่ดินพิพาทซึ่งไม่ใช่ของตนให้แก่ผู้อื่น
เมื่อที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 2 ฉ. ย่อมไม่มีสิทธิที่จะยกที่ดินพิพาทซึ่งไม่ใช่ของตนให้แก่ผู้อื่น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1641/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้เยาว์ร้องทุกข์-ถอนคำร้องทุกข์: อำนาจผู้แทนโดยชอบธรรม & ผลของการแต่งทนายโดยลำพัง
โจทก์ร่วมซึ่งเป็นผู้เยาว์ ลงชื่อแต่งทนายให้ดำเนินกระบวนพิจารณาและอุทธรณ์ฎีกา มาโดยลำพังไม่มีผู้แทนโดยชอบธรรมดำเนินคดีแทน อุทธรณ์และฎีกาของโจทก์ร่วม ย่อมเป็นอุทธรณ์และฎีกาที่ไม่ชอบ
คำแจ้งความที่เพียงแต่แจ้งให้พนักงานตำรวจทราบไว้เป็นหลักฐานมิได้ขอให้ดำเนินคดีกับจำเลย ย่อมไม่เป็นคำร้องทุกข์ตามกฎหมาย
คำให้การของผู้เสียหายที่พนักงานสอบสวนได้จดบันทึกไว้ในตอนท้ายมีข้อความว่า "ในวันนี้ทางข้าฯ และมารดาข้าฯ จึงมาร้องทุกข์มอบคดีให้พนักงานสอบสวน สน.พญาไทดำเนินคดีกับนายเอสวูดดี้ในข้อหากระทำอนาจาร ดังนี้ ถือได้ว่าเป็นคำร้องทุกข์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 1(7), 123 แล้ว
เมื่อผู้เยาว์เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของบิดาและบิดายังมีชีวิตอยู่มารดาของผู้เยาว์จึงไม่ใช่ผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้เยาว์ จึงไม่มีอำนาจถอนคำร้องทุกข์แทนผู้เยาว์ได้
คำแจ้งความที่เพียงแต่แจ้งให้พนักงานตำรวจทราบไว้เป็นหลักฐานมิได้ขอให้ดำเนินคดีกับจำเลย ย่อมไม่เป็นคำร้องทุกข์ตามกฎหมาย
คำให้การของผู้เสียหายที่พนักงานสอบสวนได้จดบันทึกไว้ในตอนท้ายมีข้อความว่า "ในวันนี้ทางข้าฯ และมารดาข้าฯ จึงมาร้องทุกข์มอบคดีให้พนักงานสอบสวน สน.พญาไทดำเนินคดีกับนายเอสวูดดี้ในข้อหากระทำอนาจาร ดังนี้ ถือได้ว่าเป็นคำร้องทุกข์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 1(7), 123 แล้ว
เมื่อผู้เยาว์เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของบิดาและบิดายังมีชีวิตอยู่มารดาของผู้เยาว์จึงไม่ใช่ผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้เยาว์ จึงไม่มีอำนาจถอนคำร้องทุกข์แทนผู้เยาว์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1641/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องร้องและการถอนฟ้องของเด็กผู้เยาว์ที่แต่งทนายเอง ผู้แทนโดยชอบธรรมมีอำนาจจำกัด
โจทก์ร่วมซึ่งเป็นผู้เยาว์ ลงชื่อแต่งทนายให้ดำเนินกระบวนพิจารณาและอุทธรณ์ฎีกามาโดยลำพังไม่มีผู้แทนโดยชอบธรรมดำเนินคดีแทนอุทธรณ์และฎีกาของโจทก์ร่วม ย่อมเป็นอุทธรณ์และฎีกาที่ไม่ชอบ
คำแจ้งความที่เพียงแต่แจ้งให้พนักงานตำรวจทราบไว้เป็นหลักฐานมิได้ขอให้ดำเนินคดีกับจำเลย ย่อมไม่เป็นคำร้องทุกข์ตามกฎหมาย
คำให้การของผู้เสียหายที่พนักงานสอบสวนได้จดบันทึกไว้ในตอนท้าย มีข้อความว่า "ในวันนี้....ทางข้าฯ และมารดาข้าฯ จึงมาร้องทุกข์มอบคดีให้พนักงานสอบสวน สน.พญาไทดำเนินคดีกับนายเอสวูดดี้ในข้อหากระทำอนาจาร ดังนี้ ถือได้ว่าเป็นคำร้องทุกข์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 1(7), 123 แล้ว
เมื่อผู้เยาว์เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของบิดาและบิดายังมีชีวิตอยู่มารดาของผู้เยาว์จึงไม่ใช่ผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้เยาว์ จึงไม่มีอำนาจถอนคำร้องทุกข์แทนผู้เยาว์ได้
คำแจ้งความที่เพียงแต่แจ้งให้พนักงานตำรวจทราบไว้เป็นหลักฐานมิได้ขอให้ดำเนินคดีกับจำเลย ย่อมไม่เป็นคำร้องทุกข์ตามกฎหมาย
คำให้การของผู้เสียหายที่พนักงานสอบสวนได้จดบันทึกไว้ในตอนท้าย มีข้อความว่า "ในวันนี้....ทางข้าฯ และมารดาข้าฯ จึงมาร้องทุกข์มอบคดีให้พนักงานสอบสวน สน.พญาไทดำเนินคดีกับนายเอสวูดดี้ในข้อหากระทำอนาจาร ดังนี้ ถือได้ว่าเป็นคำร้องทุกข์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 1(7), 123 แล้ว
เมื่อผู้เยาว์เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของบิดาและบิดายังมีชีวิตอยู่มารดาของผู้เยาว์จึงไม่ใช่ผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้เยาว์ จึงไม่มีอำนาจถอนคำร้องทุกข์แทนผู้เยาว์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1542/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์ข้อเท็จจริงต้องห้ามในคดีขับไล่: ศาลฎีกาถือตามคำให้การจำเลยเรื่องค่าเช่าต่ำกว่าเกณฑ์
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยผู้อาศัยออกจากที่ดิน จำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ ในคำฟ้องโจทก์มิได้บรรยายว่าที่พิพาทอาจจะให้เช่าได้ในอัตราเดือนละเท่าใด แต่ปรากฏจากคำให้การของจำเลยว่า จำเลยอยู่ในที่พิพาทในฐานะเป็นผู้เช่า เสียค่าเช่าในอัตราเดือนละ 50 บาท ไม่มีการโต้แย้งเป็นอย่างอื่น และจำเลยเป็นผู้อุทธรณ์ฎีกา ก็ชอบที่จะถือตามที่จำเลยกล่าวอ้างในคำให้การว่าอัตราค่าเช่าเดือนละ 50 บาท ดังนั้น คดีจึงต้องห้ามอุทธรณ์ข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 เมื่อเป็นอุทธรณ์ต้องห้ามแล้วก็ไม่ถือว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยฎีกาของจำเลย
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคดีที่ต้องห้ามอุทธรณ์ข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 แล้วพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น กรณีเช่นนี้ ศาลฎีกาพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคดีที่ต้องห้ามอุทธรณ์ข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 แล้วพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น กรณีเช่นนี้ ศาลฎีกาพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น