คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
เฉลิม กรพุกกะณะ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 474 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1303/2514

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เช็คไม่มีวันออก การลงวันออกเช็คโดยเจ้าหน้าที่ธนาคารแทนผู้ทรงถือเป็นเช็คสมบูรณ์
จำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คเงินสด โดยมิได้ลงวันที่ออกเช็คมีจำเลยที่ 2 สลักหลังแล้วมอบเช็คนั้นให้โจทก์ยึดถือไว้ ต่อมาโจทก์มอบเช็คดังกล่าวให้น้องชายโจทก์ไปขอเบิกเงินจากธนาคาร เจ้าหน้าที่ธนาคารได้ลงวันที่ในเช็คนั้น โดยลงวันที่ที่น้องชายโจทก์ไปขอเบิกเงิน ดังนี้ การที่จำเลยที่ 1 มอบเช็คฉบับพิพาทให้โจทก์ย่อมถือได้โดยปริยายว่าจำเลยที่ 1ได้มอบหมายให้โจทก์ลงวันที่ออกเช็คได้เอง ฉะนั้นการที่เจ้าหน้าที่ธนาคารลงวันสั่งจ่าย (วันออกเช็ค) จึงถือเป็นปริยายได้อีกว่าเจ้าหน้าที่ธนาคารได้ลงวันที่ออกเช็คโดยสุจริตแทนโจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรง และเป็นการลงวันที่ออกเช็คที่ถูกต้องแท้จริงเช็คฉบับพิพาทจึงเป็นเช็คที่สมบูรณ์ตามกฎหมาย
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 20/2514)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1293/2514

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลสั่งวางเงินประกันค่าสินไหมทดแทนในคดีขัดทรัพย์ หากมีเหตุประวิงคดี
ผู้ร้องยื่นคำร้องขัดทรัพย์ โจทก์ให้การต่อสู้คดีแล้วยื่นคำร้องว่าคำร้องของผู้ร้องขัดทรัพย์ไม่มีมูล ขอให้งดสืบพยาน หากศาลเห็นว่าคำร้องของผู้ร้องขัดทรัพย์ยื่นเข้ามาเพื่อประวิงคดีให้ชักช้า โดยมีหลักฐานสนับสนุนอยู่ในสำนวนแล้ว ศาลย่อมมีอำนาจสั่งให้ผู้ร้องขัดทรัพย์วางเงินเพื่อเป็นประกันการชำระค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288(1) ได้
(วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 13/2514)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1293/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลสั่งวางเงินประกันเพื่อป้องกันการประวิงคดีขัดทรัพย์ แม้คำร้องโจทก์ไม่ได้ขอโดยตรง
ผู้ร้องยื่นคำร้องขัดทรัพย์ โจทก์ให้การต่อสู้คดีแล้วยื่นคำร้องว่าคำร้องของผู้ร้องขัดทรัพย์ไม่มีมูล ขอให้งดสืบพยาน หากศาลเห็นว่าคำร้องของผู้ร้องขัดทรัพย์ยื่นเข้ามาเพื่อประวิงคดีให้ชักช้า โดยมีหลักฐานสนับสนุนอยู่ในสำนวนแล้ว ศาลย่อมมีอำนาจสั่งให้ผู้ร้องขัดทรัพย์วางเงิน เพื่อเป็นประกันการชำระค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 (1) ได้
(วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 13/2514)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1284/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีบุกรุก-ลักทรัพย์: ผู้ครอบครองดูแลทรัพย์มรดกมีสิทธิฟ้องได้ แม้ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานบุกรุก ทำให้เสียทรัพย์และลักทรัพย์โดยบรรยายฟ้องว่า ทรัพย์ที่ฟ้องทั้งหมดอยู่ในความครอบครองดูแลรับผิดชอบของโจทก์แม้โจทก์จะรับว่าทรัพย์ที่ฟ้องเป็นทรัพย์มรดกของพี่ชายโจทก์ซึ่งมีบุตรและบิดามารดายังมีชีวิตอยู่ โจทก์เข้าครอบครองดูแลรักษาทรัพย์ดังกล่าวไว้โดยอาศัยสิทธิที่โจทก์เป็นน้องชายเจ้ามรดกก็ตาม โจทก์ย่อมเป็นผู้เสียหายในฐานะเป็นผู้ครอบครองดูแลรักษาทรัพย์เหล่านั้น และมีอำนาจฟ้องคดีนี้ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1284/2514

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีอาญาของผู้ครอบครองทรัพย์สิน: แม้ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ก็มีสิทธิฟ้องได้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานบุกรุก ทำให้เสียทรัพย์และลักทรัพย์โดยบรรยายฟ้องว่า ทรัพย์ที่ฟ้องทั้งหมดอยู่ในความครอบครองดูแลรับผิดชอบของโจทก์แม้โจทก์จะรับว่าทรัพย์ที่ฟ้องเป็นทรัพย์มรดกของพี่ชายโจทก์ซึ่งมีบุตรและบิดามารดายังมีชีวิตอยู่ โจทก์เข้าครอบครองดูแลรักษาทรัพย์ดังกล่าวไว้โดยอาศัยสิทธิที่โจทก์เป็นน้องชายเจ้ามรดกก็ตาม โจทก์ย่อมเป็นผู้เสียหายในฐานะเป็นผู้ครอบครองดูแลรักษาทรัพย์เหล่านั้น และมีอำนาจฟ้องคดีนี้ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1262/2514

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดทางอาญาในคดีปล้นทรัพย์และการกระทำความผิดต่างกรรมต่างวาระ
จำเลยทั้งสี่ปล้นบ้านเจ้าทรัพย์ โดยจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ขึ้นไปปล้นบนบ้านส่วนจำเลยที่ 1 คอยเฝ้าระวังเหตุการณ์อยู่ริมรั้วขณะจำเลยกำลังทำการปล้นอยู่บนบ้านส่วนจำเลยที่ 1 ใช้ปืนยิงพวกเจ้าทรัพย์คนหนึ่งถึงแก่ความตาย ดังนี้ จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289, 340 วรรคท้าย จำเลยนอกนั้นไม่รู้เห็นในการที่จำเลยที่ 1 ยิงผู้ตาย จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคท้าย
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 ห้ามมิให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลย เว้นแต่โจทก์จะได้อุทธรณ์ทำนองนั้น มิได้บัญญัติห้ามมิให้ศาลปรับบทกฎหมายที่ถูกต้องลงโทษจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1262/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปล้นทรัพย์และการใช้ความรุนแรงจนถึงแก่ความตาย ศาลฎีกาแก้ไขบทลงโทษตามความผิดที่แท้จริง
จำเลยทั้งสี่ปล้นบ้านเจ้าทรัพย์ โดยจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ขึ้นไปปล้นบนบ้านส่วนจำเลยที่ 1 คอยเฝ้าระวังเหตุการณ์อยู่ริมรั้วขณะจำเลยกำลังทำการปล้นอยู่บนบ้านส่วนจำเลยที่ 1 ใช้ปืนยิงพวกเจ้าทรัพย์คนหนึ่งถึงแก่ความตาย ดังนี้ จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289, 340 วรรคท้าย จำเลยนอกนั้นไม่รู้เห็นในการที่จำเลยที่ 1 ยิงผู้ตาย จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคท้าย
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 ห้ามมิให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลย เว้นแต่โจทก์จะได้อุทธรณ์ทำนองนั้น มิได้บัญญัติห้ามมิให้ศาลปรับบทกฎหมายที่ถูกต้องลงโทษจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1172/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กระบวนการพิจารณาคดีที่ผิดระเบียบ: ศาลอุทธรณ์มีอำนาจแก้ไขแม้ไม่มีการอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1, 2 และ 4 ร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ในฐานที่จำเลยที่ 1 และ 2 เป็นนายจ้างของผู้ขับรถโดยประมาทและจำเลยที่ 4 เป็นผู้รับประกันภัยความปรากฏแก่ศาลอุทธรณ์ว่าศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งว่าจำเลยที่ 1 ขาดนัดพิจารณาแล้วพิพากษาคดีโดยจำเลยที่ 1 ไม่ทราบวันนัดสืบพยานและวันนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจวินิจฉัยว่าการดำเนินกระบวนพิจารณาเกี่ยวกับจำเลยที่ 1 นั้น เป็นการพิจารณาที่ผิดระเบียบ พิพากษาให้เพิกถอนเสียแล้วให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาพิพากษาเสียใหม่ได้ แม้จะไม่มีฝ่ายใดยกปัญหาข้อนี้อุทธรณ์ขึ้นมาก็ตาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1172/2514

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กระบวนการพิจารณาคดีที่มิชอบ แม้ไม่มีข้ออุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีอำนาจพิจารณายกคำพิพากษาได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1, 2 และ 4 ร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ในฐานที่จำเลยที่ 1 และ 2 เป็นนายจ้างของผู้ขับรถโดยประมาทและจำเลยที่ 4 เป็นผู้รับประกันภัยความปรากฏแก่ศาลอุทธรณ์ว่าศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งว่าจำเลยที่ 1 ขาดนัดพิจารณาแล้วพิพากษาคดีโดยจำเลยที่ 1 ไม่ทราบวันนัดสืบพยานและวันนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจวินิจฉัยว่าการดำเนินกระบวนพิจารณาเกี่ยวกับจำเลยที่ 1 นั้น เป็นการพิจารณาที่ผิดระเบียบ พิพากษาให้เพิกถอนเสียแล้วให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาพิพากษาเสียใหม่ได้ แม้จะไม่มีฝ่ายใดยกปัญหาข้อนี้อุทธรณ์ขึ้นมาก็ตาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1123/2514

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจะริบเงินวางได้เฉพาะกรณีผิดแบบแปลน การเลิกสัญญากลับสู่สภาพเดิมต้องคืนเงิน
สัญญาที่โจทก์จำเลยทำกันไว้ให้โจทก์ก่อสร้างอาคารในที่ดินของจำเลยมีข้อความว่า " ข้อ 6 ผู้รับสร้างรับรองจะดำเนินการก่อสร้างอาคารตามแบบแปลนท้ายสัญญาให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี 6 เดือนนับแต่วันทำสัญญาฯลฯ" และ " ข้อ 9 หากการก่อสร้างได้ผิดแผกแตกต่างไปจากแบบแปลนท้ายสัญญานี้ และเมื่อผู้ให้สร้างได้บอกกล่าวให้แก้ไขเปลี่ยนแปลง ผู้รับสร้างจะต้องแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องตามสัญญาภายในกำหนดเวลาอันสมควร หากผู้รับสร้างมิได้ปฏิบัติให้เป็นไปตามสัญญานี้ ให้ถือได้ว่าเป็นฝ่ายผิดสัญญา ผู้ให้สร้างมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้วัสดุภัณฑ์บรรดาที่มีอยู่และสร้างทำลงในที่ดินให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่ผู้ให้สร้าง และผู้รับสร้างจะเรียกร้องขอคืนเงินส่วนใด ๆ บรรดาที่ได้วางชำระไว้แล้วตามสัญญานี้ไม่ ได้" ความในสัญญาดังนี้ จำเลยผู้ให้สร้างจะริบเงินของโจทก์ที่วางไว้ได้ก็เฉพาะแต่กรณีที่การก่อสร้างได้ผิดแผกแตกต่างไปจากแบบแปลนท้ายสัญญา เมื่อผู้ให้สร้างบอกให้แก้ไขแล้ว ผู้รับสร้างไม่ปฏิบัติเท่านั้น ส่วนกรณีที่ผู้รับสร้างก่อสร้างไม่เสร็จตามสัญญาข้อ 6 ผู้ให้สร้างจะรับเงินที่วางไว้หาได้ไม่ เพราะนอกเหนือข้อตกลงในสัญญาข้อ 9ทั้งสัญญาข้อ 6 ก็มิได้ตกลงให้ริบได้
จำเลยเป็นฝ่ายใช้สิทธิเลิกสัญญาต่อโจทก์ ซึ่งโจทก์ก็ไม่ขัดข้องสัญญาที่โจทก์จำเลยทำไว้ย่อมเป็นอันเลิกกัน คู่สัญญาแต่ละฝ่ายย่อมกลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมเสมือนดังว่ามิได้มีสัญญาต่อกันเลยและสิ่งใดที่ส่งมอบให้แก่กันไปแล้วก็ต้องคืนให้แก่กัน แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิที่จะเรียกร้องเอาค่าเสียหาย ในเรื่องผิดสัญญาไม่ชำระหนี้ซึ่งเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก
เมื่อสัญญาเลิกกันแล้ว จำเลยก็ต้องคืนเงินที่รับไว้จากโจทก์ให้แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตั้งแต่วันที่จำเลยได้รับเงินไว้
of 48