คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ประพนธ์ ศาตะมาน

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 303 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1479/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมาย: ผู้ถูกทำร้ายมีสิทธิป้องกันตนเองเมื่อถูกประทุษร้ายก่อน
ผู้ตายมีปืนและมีดปลายแหลมเป็นอาวุธไปแอบคอยดักทำร้ายจำเลยพอจำเลยมาถึงผู้ตายใช้ปืนยิงจำเลยถูกเฉียดศีรษะมีบาดแผล จำเลยจึงใช้พร้าฟันผู้ตาย ผู้ตายชักมีดแทงจำเลยแล้วเข้ากอดปล้ำแย่งมีดกันแล้วจำเลยได้ใช้มีดพร้าฟันผู้ตายไปหลายที เช่นนี้ เป็นกรณีที่ผู้ตายเป็นฝ่ายก่อเหตุขึ้นก่อนโดยใช้ปืนยิงจำเลย จำเลยจึงใช้พร้าฟัน แม้ผู้ตายจะล้มลงไปก็จริง กรณีที่กำลังพัวพันกันอยู่เช่นนั้น จำเลยอาจเกรงว่าผู้ตายจะใช้ปืนหรือใช้มีดแทงอีกก็เป็นได้ จึงจำเป็นต้องใช้พร้าฟันไปอีกหลายที ดังนี้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้นอันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายที่ใกล้จะถึง การกระทำของจำเลยพอสมควรแก่เหตุ เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1449/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลดโทษจากเหตุบรรเทาโทษ: ลุแก่โทษและการให้การที่เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดี
คำให้การจำเลยที่ว่า ผู้ตายจะใช้ปืนยิงจำเลย จำเลยจึงยิงป้องกันตัวและคำเบิกความของจำเลยขยายความข้อนี้มากขึ้น ไม่เป็นการให้ความรู้แก่ศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 เพราะมิได้ให้ความรู้แก่ศาลที่จะช่วยให้การวินิจฉัยชี้ขาดคดีเป็นไปโดยถูกต้องตามความผิดหรือการกระทำของจำเลยตรงข้าม จำเลยกลับอ้างว่าเป็นความผิดของผู้ตายที่ใช้ปืนจะยิงจำเลยก่อน ที่ศาลต้องวินิจฉัยและชี้ขาดว่าข้ออ้างของจำเลยไม่เป็นความจริง จึงไม่มีเหตุบรรเทาโทษ
การที่จำเลยยิงผู้ตายแล้วไปมอบตัวแก่เจ้าพนักงานตำรวจพร้อมกับมอบปืนที่ใช้ยิงให้ด้วย โดยแจ้งเหตุว่าจำเลยยิงผู้ตายบาดเจ็บสาหัส ไม่ได้แจ้งว่าผู้ตายจะยิงจำเลย จำเลยจึงยิงเป็นการป้องกันตัว ซึ่งเป็นข้อความอันเป็นเท็จมาแต่แรก ถือได้ว่าเป็นการลุแก่โจทก์ต่อเจ้าพนักงาน มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1449/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยิงป้องกันตัว, ลุแก่โทษ, และการให้การที่เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดี
คำให้การจำเลยที่ว่า ผู้ตายจะใช้ปืนยิงจำเลย จำเลยจึงยิงป้องกันตัวและคำเบิกความของจำเลยขยายความข้อนี้มากขึ้น ไม่เป็นการให้ความรู้แก่ศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78เพราะมิได้ให้ความรู้แก่ศาลที่จะช่วยให้การวินิจฉัยชี้ขาดคดีเป็นไปโดยถูกต้องตามความผิดหรือการกระทำของจำเลย ตรงข้ามจำเลยกลับอ้างว่าเป็นความผิดของผู้ตายที่ใช้ปืนจะยิงจำเลยก่อน ซึ่งศาลต้องวินิจฉัยและชี้ขาดว่าข้ออ้างของจำเลยไม่เป็นความจริง จึงไม่มีเหตุบรรเทาโทษ
การที่จำเลยยิงผู้ตายแล้วไปมอบตัวแก่เจ้าพนักงานตำรวจพร้อมกับมอบปืนที่ใช้ยิงให้ด้วย โดยแจ้งเหตุว่าจำเลยยิงผู้ตายบาดเจ็บสาหัสไม่ได้แจ้งว่าผู้ตายจะยิงจำเลย จำเลยจึงยิงเป็นการป้องกันตัวซึ่งเป็นข้อความอันเป็นเท็จมาแต่แรก ถือได้ว่าเป็นการลุแก่โจทก์ต่อเจ้าพนักงานมีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1448/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลอุทธรณ์ในการพิจารณาข้อหาเดิม แม้ไม่มีการอุทธรณ์คดีถึงที่สุด
คดีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกาย แม้คู่ความจะไม่ได้อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจหยิบยกปัญหาข้อนี้ขึ้นพิจารณาได้ ในเมื่อเห็นว่าข้อเท็จจริงที่ได้คาวมมานั้นฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้กระทำผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1448/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลอุทธรณ์ในการพิจารณาข้อหาเดิม แม้คู่ความมิได้อุทธรณ์ หากเห็นว่าข้อเท็จจริงไม่สอดคล้องกับคำพิพากษา
คดีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกาย แม้คู่ความจะไม่ได้อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจหยิบยกปัญหาข้อนี้ขึ้นพิจารณาได้ในเมื่อเห็นว่าข้อเท็จจริงที่ได้ความมานั้นฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้กระทำผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1411/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เขตอำนาจศาลฟ้องคดีสัญญาเช่าซื้อที่มีจำเลยหลายคน และข้อตกลงเรื่องเขตอำนาจศาล
สัญญาเช่าซื้อมีข้อความว่า "เจ้าของและผู้เช่าตกลงกันว่า หากมีการฟ้องร้องดำเนินคดีในทางแพ่งเกี่ยวกับข้อพิพาทใด ๆ ตามสัญญานี้ ให้ฟ้องร้องและดำเนินกระบวนพิจารณาที่ศาลแพ่งในจังหวัดพระนครเท่านั้น" เจ้าของคือจำเลยที่ 1 ส่วนผู้เช่าคือโจทก์ สัญญาเช่าซื้อรายนี้จึงมีผลผูกพันเฉพาะโจทก์กับจำเลยที่ 1 เท่านั้น เมื่อโจทก์จะฟ้องจำเลยที่ 2 ก็ย่อมยื่นฟ้องจำเลยที่ 2 ต่อศาลที่จำเลยที่ 2 มีภูมิลำเนาคือศาลจังหวัดนครสวรรค์ และกรณีที่มีจำเลยหลายคน ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลของศาลสองศาลหรือกว่านั้นขึ้นไป และมูลความแห่งคดีไม่อาจแบ่งแยกจากกันได้ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 5 ยอมให้โจทก์เสนอคำฟ้องจำเลยต่อศาลหนึ่งศาลใดก็ได้ เมื่อโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ต่อศาลจังหวัดนครสวรรค์ จำเลยที่ 1 ก็มิได้ให้การโต้แย้งว่าโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องที่ศาลนั้น พึ่งจะมาโต้แย้งในชั้นฎีกา ดังนี้ โจทก์มีสิทธิยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาลจังหวัดนครสวรรค์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1411/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เขตอำนาจศาล: สัญญาเช่าซื้อจำกัดเฉพาะคู่สัญญา แต่โจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลยอื่นที่ศาลที่มีภูมิลำเนา
สัญญาเช่าซื้อมีข้อความว่า'เจ้าของและผู้เช่าตกลงกันว่า หากมีการฟ้องร้องดำเนินคดีในทางแพ่งเกี่ยวกับข้อพิพาทใด ๆ ตามสัญญานี้ ให้ฟ้องร้องและดำเนินกระบวนพิจารณาที่ศาลแพ่งในจังหวัดพระนครเท่านั้น'เจ้าของคือจำเลยที่ 1 ส่วนผู้เช่าคือโจทก์ สัญญาเช่าซื้อรายนี้จึงมีผลผูกพันเฉพาะโจทก์กับจำเลยที่ 1 เท่านั้น เมื่อโจทก์จะฟ้องจำเลยที่ 2 ก็ย่อมยื่นฟ้องจำเลยที่ 2 ต่อศาลที่จำเลยที่ 2 มีภูมิลำเนาคือศาลจังหวัดนครสวรรค์และกรณีที่มีจำเลยหลายคนซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลของศาลสองศาลหรือกว่านั้นขึ้นไป และมูลความแห่งคดีไม่อาจแบ่งแยกจากกันได้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 5 ยอมให้โจทก์เสนอคำฟ้องจำเลยต่อศาลหนึ่งศาลใดก็ได้ เมื่อโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ต่อศาลจังหวัดนครสวรรค์จำเลยที่ 1 ก็มิได้ให้การโต้แย้งว่า โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องที่ศาลนั้น พึ่งจะมาโต้แย้งในชั้นฎีกา ดังนี้ โจทก์มีสิทธิยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาลจังหวัดนครสวรรค์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1407/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญพิสูจน์ลายมือชื่อและการใช้รายงานผลโดยไม่ต้องเบิกความ
คู่ความตกลงท้ากันให้ส่งเอกสารไปยังกองพิสูจน์หลักฐาน กรมตำรวจเพื่อพิสูจน์ลายมือชื่อโดยมิได้ระบุตัวผู้เชี่ยวชาญไว้ ศาลย่อมส่งเอกสารไปให้ผู้เชี่ยวชาญของกองพิสูจน์หลักฐาน กรมตำรวจ คนใดคนหนึ่งตรวจพิสูจน์ก็ได้
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 130 เมื่อผู้เชี่ยวชาญแสดงความเห็นเป็นหนังสือ และไม่มีความจำเป็น ศาลก็ไม่ต้องเรียกให้มาเบิกความรับรองหรืออธิบายด้วยวาจาอีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1407/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อ และการรับฟังรายงานผล
คู่ความตกลงท้ากันให้ส่งเอกสารไปยังกองพิสูจน์หลักฐาน กรมตำรวจ เพื่อพิสูจน์ลายมือชื่อ โดยมิได้ระบุตัวผู้เชี่ยวชาญไว้ ศาลย่อมส่งเอกสารไปให้ผู้เชี่ยวชาญของกองพิสูจน์หลักฐาน กรมตำรวจ คนใดคนหนึ่งตรวจพิสูจน์ก็ได้
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 130 เมื่อผู้เชี่ยวชาญแสดงความเห็นเป็นหนังสือ และไม่มีความจำเป็น ศาลก็ไม่ต้องเรียกมาให้เบิกความรับรองหรืออธิบายด้วยวาจาอีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1285/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีจากกองมรดก: โจทก์ต้องพิสูจน์ว่าทรัพย์สินที่ยึดเป็นมรดกของผู้ตายจริง
ศาลพิพากษาให้จำเลยในฐานะผู้รับมรดกของ ป. ชำระค่าจ้างว่าความจากกองมรดกของ ป. ให้โจทก์ โจทก์นำยึดตึกซึ่งเป็นของจำเลยกับภริยาโดยอ้างว่าจำเลยได้รับมรดกของ ป. ไป คือ ที่ดินโฉนดที่ 5813 ซึ่งมีราคามากกว่า หนี้ตามคำพิพากษา จำเลยจึงต้องรับผิดใช้หนี้แก่โจทก์ และโจทก์รับว่าที่ดินโฉนดนี้มีชื่อจำเลยเป็นเจ้าของ แม้จำเลยกับภริยาจะแถลงรับว่าจำเลยกับ ป. ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความยอมยกที่ดินนี้ให้ ภ. แล้วจำเลยได้ขายไปเสีย แต่จำเลยก็ได้โต้แย้งว่าเป็นที่ดินของจำเลยเองที่ยินดีสละให้แก่ ภ. ไม่ใช่ทรัพย์ของ ป. และไม่ใช่มรดกของ ป. ในขณะที่ ป. ตาย ดังนี้ เมื่อโจทก์ไม่สืบพยานก็ไม่มีทางจะฟังได้ดังโจทก์อ้างว่าที่ดินนี้เป็นมรดกของ ป. ศาลย่อมพิพากษาให้ถอนการยึด
of 31