คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
บุณยเกียรติ อรชุนะกะ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 311 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1830/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ดุลพินิจโทษอาญา: ศาลอุทธรณ์แก้ไขโทษเป็นปรับ โจทก์ฎีกาขอให้กลับคืนโทษเดิมไม่ได้
ดุลพินิจของศาลเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลยคนละ 2 เดือน ศาลอุทธรณ์แก้ให้ลงโทษปรับสถานเดียวคนละ 200 บาท เป็นเรื่องดุลพินิจของศาลแม้จะแก้ไขมาก ก็ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1821-1822/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตการยกฟ้องจำเลยร่วม: การป้องกันตัวเป็นเหตุเฉพาะตัว ไม่ขยายผลถึงจำเลยอื่น
ความผิดฐานทำร้ายร่างกายซึ่งศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยทุกคนสมัครใจวิวาททำร้ายซึ่งกันและกันนั้น แม้จำเลยเพียงบางคนเท่านั้นอุทธรณ์ แต่ถ้าศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยที่มิได้อุทธรณ์กระทำโดยป้องกันอันเป็นเหตุยกเว้นความผิด ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจวินิจฉัยไปถึงจำเลยที่มิได้อุทธรณ์นั้น แล้วยกฟ้องโจทก์เฉพาะตัวจำเลยที่มิได้อุทธรณ์นั้นได้ โดยอาศัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 ไม่ใช่เหตุลักษณะคดีตามมาตรา 213
จำเลยผู้ร่วมกระทำผิดย่อมไม่อยู่ในฐานะผู้เสียหายย่อมไม่มีอำนาจเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยอื่น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1821-1822/2514

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตการยกฟ้องจำเลยร่วม กรณีจำเลยผู้ถูกกล่าวหาป้องกันตนเอง
ความผิดฐานทำร้ายร่างกายซึ่งศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยทุกคนสมัครใจวิวาททำร้ายซึ่งกันและกันนั้น แม้จำเลยเพียงบางคนเท่านั้นอุทธรณ์ แต่ถ้าศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยที่มิได้อุทธรณ์กระทำโดยป้องกันอันเป็นเหตุยกเว้นความผิด ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจวินิจฉัยไปถึงจำเลยที่มิได้อุทธรณ์นั้น แล้วยกฟ้องโจทก์เฉพาะตัวจำเลยที่มิได้อุทธรณ์นั้นได้ โดยอาศัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 195 ไม่ใช่เหตุลักษณะคดีตามมาตรา 213
จำเลยผู้ร่วมกระทำผิดย่อมไม่อยู่ในฐานะผู้เสียหายย่อมไม่มีอำนาจเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยอื่น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1775/2514

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเสียภาษีโรงเรือนกรณีมีผู้เช่าเดิมและผู้เช่าบิดพลิ้วไม่ออกไป ไม่เข้าข้อยกเว้นตามกฎหมาย
โรงเรือนเป็นของจำเลย อยู่ในเขตเทศบาลจำเลย มิได้ปิดไว้และจำเลยมิได้อยู่เอง หรือให้ผู้อื่นอยู่ หากแต่มีผู้เช่าอยู่สืบมาจากเจ้าของเดิม แต่ผู้เช่าบิดพลิ้วไม่ยอมออกไป ดังนี้ ไม่อยู่ในข้อยกเว้นตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 มาตรา 9(5)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1775/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเสียภาษีโรงเรือนกรณีมีผู้เช่าเดิมและผู้เช่าบิดพลิ้วมิยอมออกไป ไม่อยู่ในข้อยกเว้นตามกฎหมาย
โรงเรือนเป็นของจำเลย อยู่ในเขตเทศบาลจำเลย มิได้ปิดไว้และจำเลยมิได้อยู่เองหรือให้ผู้อื่นอยู่ หากแต่มีผู้เช่าอยู่สืบมาจากเจ้าของเดิม แต่ผู้เช่าบิดพลิ้วไม่ยอมออกไป ดังนี้ ไม่อยู่ในข้อยกเว้นตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 มาตรา 9(5)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1535/2514

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การได้มาซึ่งสิทธิครอบครองที่ดิน: การครอบครองแทนเจ้าของเดิม และการซื้อขายที่ดิน
โจทก์ได้รับมอบที่ดินพิพาทจาก อ. ให้ทำกินต่างดอกเบี้ยแม้โจทก์จะได้ครอบครองทำกินในที่พิพาทตลอดจนเสียภาษีบำรุงท้องที่สำหรับที่ดินพิพาทก็เป็นเพียงครอบครองแทน อ. เท่านั้น ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้เปลี่ยนเจตนาการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 โจทก์จึงยังไม่ได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท
จำเลยเข้าครอบครองที่พิพาทโดยซื้อจาก อ. แล้วสิทธิครอบครองของ อ. สิ้นสุดลง จำเลยจึงได้สิทธิครอบครองที่พิพาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1535/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การได้มาซึ่งสิทธิครอบครองที่ดิน: การครอบครองแทน vs. การซื้อขาย และการเปลี่ยนเจตนาครอบครอง
โจทก์ได้รับมอบที่ดินพิพาทจาก อ. ให้ทำกินต่างดอกเบี้ย แม้โจทก์จะได้ครอบครองทำกินในที่พิพาทตลอดจนเสียภาษีบำรุงท้องที่สำหรับที่ดินพิพาทก็ เป็นเพียงครอบครองแทน อ. เท่านั้น ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้เปลี่ยนเจตนาการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 โจทก์จึงยังไม่ได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท
จำเลยเข้าครอบครองที่พิพาทโดยซื้อจาก อ. แล้ว สิทธิครอบครองของ อ. สิ้นสุดลงจำเลยจึงได้สิทธิครอบครองที่พิพาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1533-1534/2514

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขุดคลองลัดโดยประมาทเลินเล่อ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อที่ดินของผู้อื่น จำเลยต้องรับผิดชอบ
จำเลยขุดคลองลัดตรงหัวโค้งมีความกว้างเพียง 15 วาเพื่อใช้ในการลำเลียงแร่ไปสู่เรือกลไฟกลางทะเล โดยปราศจากความรอบคอบ ไม่คำนึงถึงว่าคลองที่จำเลยขุดจะรับน้ำที่ไหลตามคลองเดิมได้เพียงพอหรือไม่ ถึงฤดูมรสุมในระยะที่เกิดเหตุฝนตกหนักหลายวันติดต่อกัน ทั้งคลื่นลมในทะเลแรงกว่าปกติคลองที่จำเลยขุดไม่อาจรับน้ำที่ไหลเชี่ยวแรงได้เพียงพอ เป็นเหตุให้น้ำดันเขื่อนไม้ที่จำเลยทำไว้พังและเซาะที่ดินของโจทก์พังกลายสภาพเป็นทะเล ดังนี้ เป็นผลโดยตรงจากการขุดคลองลัดของจำเลย จำเลยต้องรับผิดในความเสียหายของโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1533-1534/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำเลยต้องรับผิดชอบความเสียหายจากการขุดคลองลัดที่ไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อการระบายน้ำ ทำให้ที่ดินโจทก์เสียหาย
จำเลยขุดคลองลัดตรงหัวโค้งมีความกว้างเพียง 15 วา เพื่อใช้ในการลำเลียงแร่ไปสู่เรือกลไปกลางทะเล โดยปราศจากความรอบคอบไม่คำนึงถึงว่าคลองที่จำเลยขุดจะรับน้ำที่ไหลตามคลองเดิมได้เพียงพอหรือไม่ ถึงฤดูมรสุมในระยะที่เกิดเหตุฝนตกหนักหลายวันติดต่อกัน ทั้งคลื่นลมในทะเลแรงกว่าปกติคลองที่จำเลยขุดไม่อาจรับน้ำที่ไหลเชี่ยวแรงได้เพียงพอ เป็นเหตุให้น้ำดันเขื่อนไม้ที่จำเลยทำไว้พังและเซาะที่ดินของโจทก์พังกลายสภาพเป็นทะเล ดังนี้เป็นผลโดยตรงจากการขุดคลองลัดของจำเลย จำเลยต้องรับผิดชอบในความเสียหายของโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1503/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เหตุสุดวิสัยในการขับรถชนคนตาย แม้ขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดก็ไม่เป็นเหตุโดยตรง
จำเลยขับรถยนต์เบนไปทางขวาคร่อมกึ่งกลางถนน เพื่อจะหลบให้พ้นท้ายรถยนต์โดยสารซึ่งวิ่งสวนทางมาและเลี้ยวขวาตัดหน้ารถจำเลยเพื่อจะเข้าซอยโดยจำเลยเห็นว่าทางหน้าปลอดภัยไม่มีรถสวนมานั้น ย่อมอยู่ในวิสัยที่จำเลยกระทำได้บังเอิญผู้ตายวิ่งโผล่พ้นท้ายรถยนต์โดยสารออกมาอยู่ห่างรถจำเลยในระยะ 1 วานั้น เป็นระยะกระชั้นชิด รถจำเลยจึงชนผู้ตายถึงแก่ความตายแม้ว่าจุดที่ผู้ตายถูกรถยนต์จำเลยชนจะอยู่พ้นกึ่งกลางถนนไปเล็กน้อย ซึ่งปกติถือว่ามิใช่ทางวิ่งของรถจำเลยก็ตาม ก็ถือได้ว่าการที่จำเลยขับรถชนผู้ตายเป็นเหตุสุดวิสัย ไม่อาจป้องกันได้
แม้จำเลยจะขับรถเร็วอันเป็นการฝ่าฝืนกฎจราจรก็ตาม ก็เป็นคนละเรื่องมิใช่เป็นเหตุโดยตรงที่ทำให้ผู้ตายถูกรถจำเลยชน ย่อมถือได้ว่าจำเลยไม่มีความผิดฐานขับรถยนต์ชนผู้ตายโดยประมาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291
of 32