คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สุธรรม วรรณแสง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 442 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1135/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าและการละเมิดสิทธิ: ผลของการไม่คัดค้านการจดทะเบียนและการขาดอายุความ
จำเลยยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้าน นายทะเบียนเครื่องหมายการค้าวินิจฉัยยกคำร้องคัดค้านของโจทก์ โจทก์มิได้อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการเครื่องหมายการค้า หรือนำคดีไปสู่ศาลภายในเก้าสิบวันนับแต่วันได้รับคำวินิจฉัยของนายทะเบียน นายทะเบียนจึงได้รับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้านั้นให้แก่จำเลย ดังนี้ ถือว่าจำเลยเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้ามีสิทธิผู้เดียวเพื่อใช้เครื่องหมายการค้าสำหรับสินค้าจำพวกที่ได้จดทะเบียนไว้ตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ.2474 มาตรา 27 โจทก์จะอ้างว่าจำเลยใช้เครื่องหมายการค้าเหมือนคล้ายเลียนแบบเครื่องหมายการค้าของโจทก์ด้วยประการใดๆ อีกหาได้ไม่ และไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลย หรือบังคับให้จำเลยเลิกใช้เครื่องหมายการค้าที่จำเลยได้จดทะเบียนไว้นั้นอีกได้
ที่จำเลยใช้เครื่องหมายการค้ามาก่อนได้รับจดทะเบียน แม้จะเป็นการละเมิดต่อโจทก์ในระยะเวลานั้น แต่เมื่อนับถึงวันฟ้องเกินหนึ่งปี ย่อมขาดอายุความฟ้องร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448
แม้จำเลยจะเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าซึ่งได้จดทะเบียนไว้แล้ว ถ้าจำเลยได้กระทำการโดยไม่สุจริต เช่น เอาเครื่องหมายการค้าของจำเลยดัดแปลงให้เหมือนของโจทก์ ก็อาจเป็นการละเมิดต่อโจทก์ได้ แต่เมื่อจำเลยใช้เครื่องหมายการค้าตามที่จดทะเบียนไว้โดย มิได้ดัดแปลงให้ผิดแผกเป็นอย่างอื่น ย่อมชอบที่จะกระทำได้ หาเป็นการละเมิดต่อโจทก์ไม่
โจทก์ฟ้องว่าเครื่องหมายการค้าของจำเลยอ่านหรือพูดเร็วฟังเสียงคล้ายเครื่องหมายการค้าของโจทก์มาก และยังผลิตสินค้ากางเกงให้มีสีและใช้กระดุมสีเดียวกับสินค้าของโจทก์ ทำให้บุคคลที่พบเห็นเข้าใจผิดว่าเป็นสินค้าของโจทก์ โดยจำเลยมีเจตนาลวงประชาชนให้เข้าใจเช่นนั้น แม้จะเป็นความจริง ก็มีเครื่องหมายการค้าของจำเลยซึ่งต่างกับของโจทก์ติดอยู่ที่สินค้ากางเกงเป็นที่ประจักษ์อยู่แล้วจึงไม่ถึงขนาดที่จะฟังว่าเป็นการทำให้ปรากฏที่สินค้าเพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อว่าเป็นสินค้าหรือการค้าของผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 272(1) อันจะถือได้ว่าเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1135/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า, อายุความละเมิด, และการใช้เครื่องหมายการค้าที่จดทะเบียนแล้ว
จำเลยยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านนายทะเบียนเครื่องหมายการค้าวินิจฉัยยกคำร้องคัดค้านของโจทก์โจทก์มิได้อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการเครื่องหมายการค้า หรือนำคดีไปสู่ศาลภายในเก้าสิบวันนับแต่วันได้รับคำวินิจฉัยของนายทะเบียน นายทะเบียนจึงได้รับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้านั้นให้แก่จำเลย ดังนี้ ถือว่าจำเลยเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้ามีสิทธิผู้เดียวเพื่อใช้เครื่องหมายการค้าสำหรับสินค้าจำพวกที่ได้จดทะเบียนไว้ตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้าพ.ศ.2474 มาตรา 27 โจทก์จะอ้างว่าจำเลยใช้เครื่องหมายการค้าเหมือนคล้ายเลียนแบบเครื่องหมายการค้าของโจทก์ด้วยประการใดๆ อีกหาได้ไม่ และไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลย หรือบังคับให้จำเลยเลิกใช้เครื่องหมายการค้าที่จำเลยได้จดทะเบียนไว้นั้นอีกได้
ที่จำเลยใช้เครื่องหมายการค้ามาก่อนได้รับจดทะเบียน แม้จะเป็นการละเมิดต่อโจทก์ในระยะเวลานั้น แต่เมื่อนับถึงวันฟ้องเกินหนึ่งปีย่อมขาดอายุความฟ้องร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448
แม้จำเลยจะเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าซึ่งได้จดทะเบียนไว้แล้วถ้าจำเลยได้กระทำการโดยไม่สุจริต เช่น เอาเครื่องหมายการค้าของจำเลยดัดแปลงให้เหมือนของโจทก์ ก็อาจเป็นการละเมิดต่อโจทก์ได้ แต่เมื่อจำเลยใช้เครื่องหมายการค้าตามที่จดทะเบียนไว้โดยมิได้ดัดแปลงให้ผิดแผกเป็นอย่างอื่น ย่อมชอบที่จะกระทำได้ หาเป็นการละเมิดต่อโจทก์ไม่
โจทก์ฟ้องว่าเครื่องหมายการค้าของจำเลยอ่านหรือพูดเร็วฟังเสียงคล้ายเครื่องหมายการค้าของโจทก์มาก และยังผลิตสินค้ากางเกงให้มีสีและใช้กระดุมสีเดียวกับสินค้าของโจทก์ ทำให้บุคคลที่พบเห็นเข้าใจผิดว่าเป็นสินค้าของโจทก์ โดยจำเลยมีเจตนาลวงประชาชนให้เข้าใจเช่นนั้น แม้จะเป็นความจริง ก็มีเครื่องหมายการค้าของจำเลยซึ่งต่างกับของโจทก์ติดอยู่ที่สินค้ากางเกงเป็นที่ประจักษ์อยู่แล้วจึงไม่ถึงขนาดที่จะฟังว่าเป็นการทำให้ปรากฏที่สินค้าเพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อว่าเป็นสินค้าหรือการค้าของผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 272 (1) อันจะถือได้ว่าเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1118/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ป้องกันตัว/บันดาลโทสะ: การใช้ความรุนแรงตอบโต้หลังถูกทำร้ายและข่มเหง
มีเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด อ.หาว่าจำเลยที่ 2 เป็นคนยิงและใช้มีดแทงจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ถอยออกไปแล้ว อ.คงยืนอยู่ที่เดิม จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นพี่ของจำเลยที่ 2 ได้ร้องห้ามและวิ่งเข้าไปเพื่อจะแย่งมีดจาก อ.. โดยไม่ปรากฏว่า อ. มีท่าทีจะทำร้ายจำเลยที่ 2 อีกต่อไป อ. เข้าใจว่าจำเลยที่ 1จะเข้ามาทำร้ายตน จึงใช้มีดแทงสวนไป 1 ที จำเลยที่ 1ยังกระโดดเข้ามาหา อ. อีก แล้วเกิดปลุกปล้ำแย่งมีดกันขึ้นจำเลยที่ 1 แย่งไม่ได้ จึงถอยห่างออกไปแล้วใช้ปืนยิง อ. 2 นัดถูกหน้าอก อ. และจำเลยที่ 2 ยกเก้าอี้ขึ้นตีศีรษะ อ. อีก 2 ทีดังนี้ ถือไม่ได้ว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการป้องกันหากแต่เป็นการพยายามฆ่าคนโดยบันดาลโทสะ สำหรับจำเลยที่ 2ยังถือไม่ได้ว่าร่วมกับจำเลยที่ 1 ใช้ปืนยิง อ. จึงมีความผิดฐานทำร้ายร่างกาย อ. จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายโดยบันดาลโทสะเท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1118/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวโดยชอบธรรม การบันดาลโทสะ และความผิดฐานพยายามฆ่า/ทำร้ายร่างกาย
มีเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด อ.หาว่าจำเลยที่ 2 เป็นคนยิง และใช้มีดแทงจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ถอยออกไปแล้ว อ. คงยืนอยู่ที่เดิม จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นพี่ของจำเลยที่ 2 ได้ร้องห้ามและวิ่งเข้าไปเพื่อจะแย่งมีดจาก อ..โดยไม่ปรากฏว่าอ. มีท่าทีจะทำร้ายจำเลยที่ 2 อีกต่อไป อ. เข้าใจว่าจำเลยที่ 1 จะเข้ามาทำร้ายตน จึงใช้มีดแทงสวนไป 1 ที จำเลยที่ 1 ยังกระโดดเข้ามาหา อ. อีก แล้วเกิดปลุกปล้ำแย่งมีดกันขึ้นจำเลยที่ 1 แย่งไม่ได้ จึงถอยห่างออกไปแล้วใช้ปืนยิง อ.2 นัด ถูกหน้าอก อ.และจำเลยที่2ยกเก้าอี้ขึ้นตีศีรษะอ. อีก 2 ที ดังนี้ ถือไม่ได้ว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการป้องกัน หากแต่เป็นการพยายามฆ่าคนโดยบันดาลโทสะ สำหรับจำเลยที่ 2 ยังถือไม่ได้ว่าร่วมกับจำเลยที่ 1 ใช้ปืนยิง อ. จึงมีความผิดฐานทำร้ายร่างกาย อ. จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายโดยบันดาลโทสะเท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1106/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สมาคมจัดเก็บค่าธรรมเนียมลักษณะประกันชีวิต เข้าข่ายประกอบธุรกิจประกันชีวิตตามกฎหมาย
วิธีดำเนินการของสมาคมซึ่งถือว่าเป็นการประกอบธุรกิจประกันชีวิตแล้ว (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 3/2516)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1106/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สมาคมประกอบธุรกิจประกันชีวิตโดยผลประโยชน์จากค่าบำรุงและสงเคราะห์ศพ ถือเป็นการประกันชีวิต
วิธีดำเนินการของสมาคมซึ่งถือว่าเป็นการประกอบธุรกิจประกันชีวิตแล้ว(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 3/2516 )

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1101/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ที่ดินในเขตป่าสงวนที่ยังมิได้ออกกฎกระทรวง: ผลต่อคดีบุกรุกและการพิสูจน์ความผิด
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยร่วมกันมีอาวุธเข้าไปปลูกบ้านและยึดถือครอบครองที่ดินบางส่วนของโจทก์ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365, 362 ให้รื้อสิ่งปลูกสร้างออกไปและใช้ค่าเสียหาย จำเลยให้การว่าไม่ได้บุกรุกที่ของโจทก์ที่ดินพิพาทอยู่ในเขตป่าสงวน ระหว่างสืบพยานโจทก์ โจทก์จำเลยตกลงท้ากันนำสืบพยานคนกลาง ให้ศาลพิจารณาประเด็นข้อเถียงว่าที่พิพาทเป็นป่าสงวนหรือไม่ ถ้าเป็น โจทก์ยอมแพ้ ถ้าไม่เป็นจำเลยแพ้ยอมออกไปและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างไปด้วย เมื่อได้ความว่าที่พิพาทไม่ใช่ป่าสงวนแห่งชาติแล้ว จำเลยย่อมแพ้คดีในส่วนแพ่งแต่จะลงโทษจำเลยฐานบุกรุกหาได้ไม่ เพราะไม่ปรากฏตามพยานหลักฐาน หรือจำเลยรับสารภาพว่าได้กระทำผิดจริงตามฟ้อง
แม้ที่พิพาทจะอยู่ในเขตที่ทางราชการได้รังวัดทำแผนที่ไว้ให้อยู่ในเขตป่าสงวน แต่เมื่อยังไม่ได้ออกกฎกระทรวงกำหนดให้เขตนั้นเป็นป่าสงวนแห่งชาติตามกฎหมาย ก็ยังถือไม่ได้ว่าเป็นป่าสงวนแห่งชาติ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1101/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิพากษาคดีบุกรุกที่ดิน ต้องอาศัยพยานหลักฐานหรือคำรับสารภาพ และการกำหนดเขตป่าสงวนต้องเป็นไปตามกฎหมาย
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยร่วมกันมีอาวุธเข้าไปปลูกบ้านและยึดถือครอบครองที่ดินบางส่วนของโจทก์ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365,362 ให้รื้อสิ่งปลูกสร้างออกไปและใช้ค่าเสียหาย จำเลยให้การว่าไม่ได้บุกรุกที่ของโจทก์ที่ดินพิพาทอยู่ในเขตป่าสงวน ระหว่างสืบพยานโจทก์ โจทก์จำเลยตกลงท้ากันนำสืบพยานคนกลาง ให้ศาลพิจารณาประเด็นข้อเถียง ว่าที่พิพาทเป็นป่าสงวนหรือไม่ ถ้าเป็น โจทก์ยอมแพ้ ถ้าไม่เป็น จำเลยแพ้ยอมออกไปและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างไปด้วย เมื่อได้ความว่าที่พิพาทไม่ใช่ป่าสงวนแห่งชาติแล้ว จำเลยย่อมแพ้คดีในส่วนแพ่ง แต่จะลงโทษจำเลยฐานบุกรุกหาได้ไม่ เพราะไม่ปรากฏตามพยานหลักฐาน หรือจำเลยรับสารภาพว่าได้กระทำผิดจริงตามฟ้อง
แม้ที่พิพาทจะอยู่ในเขตที่ทางราชการได้รังวัดทำแผนที่ไว้ให้อยู่ในเขตป่าสงวน แต่เมื่อยังไม่ได้ออกกฎกระทรวงกำหนดให้เขตนั้นเป็นป่าสงวนแห่งชาติตามกฎหมาย ก็ยังถือไม่ได้ว่าเป็นป่าสงวนแห่งชาติ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1045-1046/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิจำเลยในการมีทนาย และผลกระทบต่อกระบวนพิจารณาคดีอาญา
ในคดีอุกฉกรรจ์ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงตั้งแต่สิบปีขึ้นไป จำเลยคนหนึ่งให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาโดยไม่สอบถามเรื่องทนายความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 173 แล้วพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยนั้นด้วย เป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณาเฉพาะตัวจำเลยคนนั้น หาได้กระทบกระเทือนถึงกระบวนพิจารณาของจำเลยอื่นที่มีทนายแล้วไม่ และคดีนี้ได้มีการสืบพยานกันแล้ว เมื่อศาลชั้นต้นสอบถามเรื่องทนายตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาใหม่ จำเลยที่รับสารภาพแถลงว่าไม่ต้องการทนาย ส่วนจำเลยอื่นแถลงว่าได้ตั้งทนายไว้แล้ว กรณีดังนี้ไม่จำต้องสืบพยานต่อไป ศาลชั้นต้นต้องทำคำพิพากษาสำหรับจำเลยทุกคนเสียใหม่เท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1045-1046/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิจำเลยในการมีทนาย – กระบวนการยุติธรรมเฉพาะตัว – การพิจารณาคดีร่วม
ในคดีอุกฉกรรจ์ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงตั้งแต่สิบปีขึ้นไปจำเลยคนหนึ่งให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาโดยไม่สอบถามเรื่องทนายความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 173 แล้วพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยนั้นด้วย เป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณาเฉพาะตัวจำเลยคนนั้น หาได้กระทบกระเทือนถึงกระบวนพิจารณาของจำเลยอื่นที่มีทนายแล้วไม่ และคดีนี้ได้มีการสืบพยานกันแล้วเมื่อศาลชั้นต้นสอบถามเรื่องทนายตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาใหม่ จำเลยที่รับสารภาพแถลงว่าไม่ต้องการทนาย ส่วนจำเลยอื่นแถลงว่าได้ตั้งทนายไว้แล้ว กรณีดังนี้ไม่จำต้องสืบพยานต่อไป ศาลชั้นต้นต้องทำคำพิพากษาสำหรับจำเลยทุกคนเสียใหม่เท่านั้น
of 45