พบผลลัพธ์ทั้งหมด 442 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1248/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้รับมอบอำนาจลงลายมือชื่อเป็นพยานรับรองลายพิมพ์นิ้วมือผู้มอบอำนาจได้ ไม่ขัดกฎหมาย
ลายพิมพ์นิ้วมือของผู้มอบอำนาจในใบมอบอำนาจซึ่งต้องมีพยานลงลายมือชื่อรับรองสองคนนั้น มิได้มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายห้ามไว้โดยชัดแจ้งว่า ผู้รับมอบอำนาจจะเป็นพยานรับรองลายพิมพ์นิ้วมือในใบมอบอำนาจด้วยไม่ได้ ดังนั้น เมื่อผู้รับมอบอำนาจลงลายมือชื่อเป็นพยานรับรองลายพิมพ์นิ้วมือผู้มอบอำนาจร่วมกับพยานอื่นรวมเป็นพยานรับรองสองคน ก็เป็นอันใช้ได้
(วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 18 และ 20/2514)
(วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 18 และ 20/2514)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1248/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้รับมอบอำนาจลงลายมือชื่อเป็นพยานรับรองลายพิมพ์นิ้วมือในใบมอบอำนาจได้ ไม่ขัดกฎหมาย
ลายพิมพ์นิ้วมือของผู้มอบอำนาจในใบมอบอำนาจซึ่งต้องมีพยานลงลายมือชื่อรับรองสองคนนั้น มิได้มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายห้ามไว้โดยชัดแจ้งว่า ผู้รับมอบอำนาจจะเป็นพยานรับรองลายพิมพ์นิ้วมือในใบมอบอำนาจด้วยไม่ได้ ดังนั้น เมื่อผู้รับมอบอำนาจลงลายมือชื่อเป็นพยานรับรองลายพิมพ์นิ้วมือผู้มอบอำนาจร่วมกับพยานอื่นรวมเป็นพยานรับรองสองคน ก็เป็นอันใช้ได้
(วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 18 และ 20/2514)
(วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 18 และ 20/2514)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1247/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความบอกล้างสัญญาประกันภัย เริ่มนับแต่วันที่ทราบมูลอันจะบอกล้าง ไม่ใช่วันที่ทราบความจริง
อายุความบอกล้างสัญญาประกันภัยตอนแรกของมาตรา 865 วรรคสองนั้นหมายถึงว่า ผู้รับประกันภัยต้องใช้สิทธิบอกล้างภายในกำหนดเดือนหนึ่งนับแต่วันที่ผู้รับประกันภัยทราบมูลอันจะบอกล้างได้
โจทก์ยื่นคำขอรับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันชีวิตซึ่งผู้ตายทำไว้กับบริษัทจำเลยเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2509 พร้อมด้วยรายงานของนายแพทย์โรงพยาบาลผู้รักษาผู้ตายครั้งสุดท้ายว่า ผู้ตายป่วยเป็นมะเร็งที่ลำไส้ใหญ่และตายด้วยโรคดังกล่าว และได้ระบุไว้ในรายงานนั้นอีกว่าผู้ตายเคยรับการผ่าตัดด้วยโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ที่โรงพยาบาลศิริราช เมื่อ 2 ปีก่อน ซึ่งเป็นเวลาก่อนผู้ตายเอาประกันชีวิตไว้กับบริษัทจำเลย เช่นนี้ถือว่าบริษัทจำเลยย่อมมีเหตุควรทราบได้แล้วว่าผู้ตายได้ปกปิดข้อความจริงดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 29 สิงหาคม 2509 บริษัทจำเลยจะอ้างว่ารายงานแพทย์ดังกล่าวนั้น ยังไม่แน่นอน บริษัทจำเลยยังต้องสืบสวนต่อไปจนได้ความจริงแน่นอนเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2509 ว่าผู้ตายได้ป่วยและรับการผ่าตัดด้วยโรคดังกล่าวมิได้ เพราะอายุความกฎหมายกำหนดให้เริ่มนับแต่วันที่ทราบมูลอันจะบอกล้างได้เท่านั้นมิใช่เริ่มนับแต่วันที่ทราบความจริง ฉะนั้นเมื่อบริษัทจำเลยบอกล้างโมฆียะกรรมเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2509 ซึ่งเป็นเวลาเกินหนึ่งเดือนแล้วกรมธรรม์ประกันชีวิตจึงมีผลบังคับบริษัทจำเลย
โจทก์ยื่นคำขอรับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันชีวิตซึ่งผู้ตายทำไว้กับบริษัทจำเลยเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2509 พร้อมด้วยรายงานของนายแพทย์โรงพยาบาลผู้รักษาผู้ตายครั้งสุดท้ายว่า ผู้ตายป่วยเป็นมะเร็งที่ลำไส้ใหญ่และตายด้วยโรคดังกล่าว และได้ระบุไว้ในรายงานนั้นอีกว่าผู้ตายเคยรับการผ่าตัดด้วยโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ที่โรงพยาบาลศิริราช เมื่อ 2 ปีก่อน ซึ่งเป็นเวลาก่อนผู้ตายเอาประกันชีวิตไว้กับบริษัทจำเลย เช่นนี้ถือว่าบริษัทจำเลยย่อมมีเหตุควรทราบได้แล้วว่าผู้ตายได้ปกปิดข้อความจริงดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 29 สิงหาคม 2509 บริษัทจำเลยจะอ้างว่ารายงานแพทย์ดังกล่าวนั้น ยังไม่แน่นอน บริษัทจำเลยยังต้องสืบสวนต่อไปจนได้ความจริงแน่นอนเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2509 ว่าผู้ตายได้ป่วยและรับการผ่าตัดด้วยโรคดังกล่าวมิได้ เพราะอายุความกฎหมายกำหนดให้เริ่มนับแต่วันที่ทราบมูลอันจะบอกล้างได้เท่านั้นมิใช่เริ่มนับแต่วันที่ทราบความจริง ฉะนั้นเมื่อบริษัทจำเลยบอกล้างโมฆียะกรรมเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2509 ซึ่งเป็นเวลาเกินหนึ่งเดือนแล้วกรมธรรม์ประกันชีวิตจึงมีผลบังคับบริษัทจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1247/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความบอกล้างสัญญาประกันภัย เริ่มนับแต่วันที่ทราบมูลอันจะบอกล้าง ไม่ใช่วันที่ทราบความจริง
อายุความบอกล้างสัญญาประกันภัยตอนแรกของมาตรา 865 วรรคสองนั้นหมายถึงว่า ผู้รับประกันภัยต้องใช้สิทธิบอกล้างภายในกำหนดเดือนหนึ่งนับแต่วันที่ผู้รับประกันภัยทราบมูลอันจะบอกล้างได้
โจทก์ยื่นคำขอรับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันชีวิตซึ่งผู้ตายทำไว้กับบริษัทจำเลยเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2509 พร้อมด้วยรายงานของนายแพทย์โรงพยาบาลผู้รักษาผู้ตายครั้งสุดท้ายว่า ผู้ตายป่วยเป็นมะเร็งที่ลำไส้ใหญ่และตายด้วยโรคดังกล่าว และได้ระบุไว้ในรายงานนั้นอีกว่าผู้ตายเคยรับการผ่าตัดด้วยโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ที่โรงพยาบาลศิริราช เมื่อ 2 ปีก่อน ซึ่งเป็นเวลาก่อนผู้ตายเอาประกันชีวิตไว้กับบริษัทจำเลย เช่นนี้ถือว่าบริษัทจำเลยย่อมมีเหตุควรทราบได้แล้วว่าผู้ตายได้ปกปิดข้อความจริงดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 29 สิงหาคม 2509 บริษัทจำเลยจะอ้างว่ารายงานแพทย์ดังกล่าวนั้น ยังไม่แน่นอน บริษัทจำเลยยังต้องสืบสวนต่อไปจนได้ความจริงแน่นอนเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2509 ว่าผู้ตายได้ป่วยและรับการผ่าตัดด้วยโรคดังกล่าวมิได้ เพราะอายุความกฎหมายกำหนดให้เริ่มนับแต่วันที่ทราบมูลอันจะบอกล้างได้เท่านั้นมิใช่เริ่มนับแต่วันที่ทราบความจริง ฉะนั้นเมื่อบริษัทจำเลยบอกล้างโมฆียะกรรมเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2509 ซึ่งเป็นเวลาเกินหนึ่งเดือนแล้วกรมธรรม์ประกันชีวิตจึงมีผลบังคับบริษัทจำเลย
โจทก์ยื่นคำขอรับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันชีวิตซึ่งผู้ตายทำไว้กับบริษัทจำเลยเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2509 พร้อมด้วยรายงานของนายแพทย์โรงพยาบาลผู้รักษาผู้ตายครั้งสุดท้ายว่า ผู้ตายป่วยเป็นมะเร็งที่ลำไส้ใหญ่และตายด้วยโรคดังกล่าว และได้ระบุไว้ในรายงานนั้นอีกว่าผู้ตายเคยรับการผ่าตัดด้วยโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ที่โรงพยาบาลศิริราช เมื่อ 2 ปีก่อน ซึ่งเป็นเวลาก่อนผู้ตายเอาประกันชีวิตไว้กับบริษัทจำเลย เช่นนี้ถือว่าบริษัทจำเลยย่อมมีเหตุควรทราบได้แล้วว่าผู้ตายได้ปกปิดข้อความจริงดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 29 สิงหาคม 2509 บริษัทจำเลยจะอ้างว่ารายงานแพทย์ดังกล่าวนั้น ยังไม่แน่นอน บริษัทจำเลยยังต้องสืบสวนต่อไปจนได้ความจริงแน่นอนเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2509 ว่าผู้ตายได้ป่วยและรับการผ่าตัดด้วยโรคดังกล่าวมิได้ เพราะอายุความกฎหมายกำหนดให้เริ่มนับแต่วันที่ทราบมูลอันจะบอกล้างได้เท่านั้นมิใช่เริ่มนับแต่วันที่ทราบความจริง ฉะนั้นเมื่อบริษัทจำเลยบอกล้างโมฆียะกรรมเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2509 ซึ่งเป็นเวลาเกินหนึ่งเดือนแล้วกรมธรรม์ประกันชีวิตจึงมีผลบังคับบริษัทจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1134/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าซื้อ: การส่งมอบบ้านไม่สมบูรณ์แต่จำเลยรับมอบและเข้าอยู่ มีผลบังคับใช้สัญญาได้
ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านพิพาท เป็นคำฟ้องเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์เสนอคำฟ้องต่อศาลที่บ้านพิพาทตั้งอยู่ในเขตศาลได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทำหนังสือสัญญาเช่าซื้อบ้านเลขที่ 55/21 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินที่โจทก์เช่าจากวัดเขมาภิรตาราม ตำบลบางซ่อน อำเภอดุสิต จังหวัดพระนคร ค่าเช่าซื้อ 100,000 บาท ตามสำเนาสัญญาเช่าซื้อท้ายฟ้อง จำเลยผิดสัญญาในข้อที่ว่า เมื่อปลูกบ้านเสร็จพอที่จำเลยจะเข้าอยู่ได้ โจทก์จะต้องมอบบ้านให้จำเลยครอบครอง และจำเลยต้องชำระราคาให้แก่โจทก์อีก 10,000 บาท จำเลยไม่ชำระ ขอให้ขับไล่จำเลยและเรียกค่าเสียหาย เป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์แล้ว ไม่เคลือบคลุม ไม่จำเป็นต้องบรรยายว่าโจทก์สร้างเสร็จครบถ้วนและถูกต้องตามสัญญาทุกประการ หรือมีรายละเอียดเกี่ยวกับขนาดวัสดุ คุณภาพวัสดุก่อสร้างแบบแปลนแผนผังท้ายสัญญาอีกด้วย
เมื่อโจทก์ส่งมอบบ้านพิพาทให้จำเลยเข้าครอบครองอันเป็นการปฏิบัติตามสัญญาเช่าซื้อแล้ว แม้บ้านพิพาทยังไม่เสร็จเรียบร้อยดีจำเลยพอใจรับมอบบ้านพิพาทจากโจทก์ จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องใช้เงินจำนวน 10,000 บาทให้โจทก์ตามสัญญาเช่าซื้อ
โจทก์มิได้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น สำหรับประเด็นเรื่องค่าเสียหายโจทก์จึงฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในประเด็นข้อนี้ไม่ได้ ที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาเรื่องค่าเสียหายของโจทก์ไว้ ไม่เป็นฎีกาที่ต้องพิจารณา
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทำหนังสือสัญญาเช่าซื้อบ้านเลขที่ 55/21 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินที่โจทก์เช่าจากวัดเขมาภิรตาราม ตำบลบางซ่อน อำเภอดุสิต จังหวัดพระนคร ค่าเช่าซื้อ 100,000 บาท ตามสำเนาสัญญาเช่าซื้อท้ายฟ้อง จำเลยผิดสัญญาในข้อที่ว่า เมื่อปลูกบ้านเสร็จพอที่จำเลยจะเข้าอยู่ได้ โจทก์จะต้องมอบบ้านให้จำเลยครอบครอง และจำเลยต้องชำระราคาให้แก่โจทก์อีก 10,000 บาท จำเลยไม่ชำระ ขอให้ขับไล่จำเลยและเรียกค่าเสียหาย เป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์แล้ว ไม่เคลือบคลุม ไม่จำเป็นต้องบรรยายว่าโจทก์สร้างเสร็จครบถ้วนและถูกต้องตามสัญญาทุกประการ หรือมีรายละเอียดเกี่ยวกับขนาดวัสดุ คุณภาพวัสดุก่อสร้างแบบแปลนแผนผังท้ายสัญญาอีกด้วย
เมื่อโจทก์ส่งมอบบ้านพิพาทให้จำเลยเข้าครอบครองอันเป็นการปฏิบัติตามสัญญาเช่าซื้อแล้ว แม้บ้านพิพาทยังไม่เสร็จเรียบร้อยดีจำเลยพอใจรับมอบบ้านพิพาทจากโจทก์ จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องใช้เงินจำนวน 10,000 บาทให้โจทก์ตามสัญญาเช่าซื้อ
โจทก์มิได้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น สำหรับประเด็นเรื่องค่าเสียหายโจทก์จึงฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในประเด็นข้อนี้ไม่ได้ ที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาเรื่องค่าเสียหายของโจทก์ไว้ ไม่เป็นฎีกาที่ต้องพิจารณา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1134/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าซื้อ: การส่งมอบบ้านไม่สมบูรณ์แต่ผู้เช่าซื้อรับมอบและครอบครอง ถือเป็นการปฏิบัติตามสัญญา
ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านพิพาท เป็นคำฟ้องเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์เสนอคำฟ้องต่อศาลที่บ้านพิพาทตั้งอยู่ในเขตศาลได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทำหนังสือสัญญาเช่าซื้อบ้านเลขที่ 55/21 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินที่โจทก์เช่าจากวัดเขมาภิรตาราม ตำบลบางซ่อน อำเภอดุสิต จังหวัดพระนคร ค่าเช่าซื้อ 100,000 บาท ตามสำเนาสัญญาเช่าซื้อท้ายฟ้อง จำเลยผิดสัญญาในข้อที่ว่า เมื่อปลูกบ้านเสร็จพอที่จำเลยจะเข้าอยู่ได้ โจทก์จะต้องมอบบ้านให้จำเลยครอบครอง และจำเลยต้องชำระ ราคาให้แก่โจทก์อีก 10,000 บาท จำเลยไม่ชำระ ขอให้ขับไล่จำเลยและเรียกค่าเสียหาย เป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์แล้ว ไม่เคลือบคลุม ไม่จำเป็นต้องบรรยายว่าโจทก์สร้างเสร็จครบถ้วนและถูกต้องตามสัญญาทุกประการ หรือมีรายละเอียดเกี่ยวกับขนาดวัสดุ คุณภาพวัสดุก่อสร้างแบบแปลนแผนผังท้ายสัญญาอีกด้วย
เมื่อโจทก์ส่งมอบบ้านพิพาทให้จำเลยเข้าครอบครองอันเป็นการปฏิบัติตามสัญญาเช่าซื้อแล้ว แม้บ้านพิพาทยังไม่เสร็จเรียบร้อยดีจำเลยพอใจรับมอบบ้านพิพาทจากโจทก์ จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องใช้เงินจำนวน 10,000 บาท ให้โจทก์ตามสัญญาเช่าซื้อ
โจทก์มิได้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น สำหรับประเด็นเรื่องค่าเสียหายโจทก์จึงฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในประเด็นข้อนี้ไม่ได้ ที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาเรื่องค่าเสียหายของโจทก์ไว้ ไม่เป็นฎีกาที่ต้องพิจารณา
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทำหนังสือสัญญาเช่าซื้อบ้านเลขที่ 55/21 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินที่โจทก์เช่าจากวัดเขมาภิรตาราม ตำบลบางซ่อน อำเภอดุสิต จังหวัดพระนคร ค่าเช่าซื้อ 100,000 บาท ตามสำเนาสัญญาเช่าซื้อท้ายฟ้อง จำเลยผิดสัญญาในข้อที่ว่า เมื่อปลูกบ้านเสร็จพอที่จำเลยจะเข้าอยู่ได้ โจทก์จะต้องมอบบ้านให้จำเลยครอบครอง และจำเลยต้องชำระ ราคาให้แก่โจทก์อีก 10,000 บาท จำเลยไม่ชำระ ขอให้ขับไล่จำเลยและเรียกค่าเสียหาย เป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์แล้ว ไม่เคลือบคลุม ไม่จำเป็นต้องบรรยายว่าโจทก์สร้างเสร็จครบถ้วนและถูกต้องตามสัญญาทุกประการ หรือมีรายละเอียดเกี่ยวกับขนาดวัสดุ คุณภาพวัสดุก่อสร้างแบบแปลนแผนผังท้ายสัญญาอีกด้วย
เมื่อโจทก์ส่งมอบบ้านพิพาทให้จำเลยเข้าครอบครองอันเป็นการปฏิบัติตามสัญญาเช่าซื้อแล้ว แม้บ้านพิพาทยังไม่เสร็จเรียบร้อยดีจำเลยพอใจรับมอบบ้านพิพาทจากโจทก์ จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องใช้เงินจำนวน 10,000 บาท ให้โจทก์ตามสัญญาเช่าซื้อ
โจทก์มิได้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น สำหรับประเด็นเรื่องค่าเสียหายโจทก์จึงฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในประเด็นข้อนี้ไม่ได้ ที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาเรื่องค่าเสียหายของโจทก์ไว้ ไม่เป็นฎีกาที่ต้องพิจารณา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1023/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาค้ำประกัน: จำเลยต้องรับผิดตามสัญญา แม้จะอ้างว่าโจทก์ผ่อนเวลาชำระหนี้ให้ลูกหนี้ แต่ไม่มีหลักฐานสนับสนุน
จำเลยให้การเพียงว่า จำเลยไม่เคยทำสัญญาค้ำประกัน จำเลยไม่ต้องรับผิดตามสำเนาหนังสือสัญญาค้ำประกันท้ายฟ้องไม่มีประเด็นที่จะต้องพิจารณาว่าจำเลยค้ำประกันในฐานะห้างหุ้นส่วนจำกัด มิใช่ในฐานะส่วนตัว
โจทก์มิได้ผ่อนเวลาชำระหนี้ให้แก่นายดีผู้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์จากโจทก์ จำเลยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันยังต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน
โจทก์มิได้ผ่อนเวลาชำระหนี้ให้แก่นายดีผู้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์จากโจทก์ จำเลยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันยังต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1023/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาค้ำประกัน: จำเลยให้การปฏิเสธความรับผิดโดยอ้างว่าไม่ได้ลงนาม แต่ศาลพิพากษาว่าจำเลยลงนามจริงและต้องรับผิดตามสัญญา
จำเลยให้การเพียงว่า จำเลยไม่เคยทำสัญญาค้ำประกัน จำเลยไม่ต้องรับผิดตามสำเนาหนังสือสัญญาค้ำประกันท้ายฟ้องไม่มีประเด็นที่จะต้องพิจารณาว่าจำเลยค้ำประกันในฐานะห้างหุ้นส่วนจำกัดมิใช่ในฐานะส่วนตัว
โจทก์มิได้ผ่อนเวลาชำระหนี้ให้แก่นายดีผู้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์จากโจทก์ จำเลยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันยังต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน
โจทก์มิได้ผ่อนเวลาชำระหนี้ให้แก่นายดีผู้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์จากโจทก์ จำเลยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันยังต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 981/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนที่ดินมือเปล่าที่มี ส.ค.1 ยังไม่ได้รับคำรับรองจากนายอำเภอ ถือเป็นโมฆะตามกฎหมาย
บทบัญญัติมาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดินพ.ศ. 2497 เป็นบทบัญญัติอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนถึงแม้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มิได้ยกขึ้นวินิจฉัย ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้
ที่ดินมือเปล่ามี ส.ค.1. ยังมิได้รับคำรับรองจากนายอำเภอว่าได้ทำประโยชน์แล้ว จะโอนกันไม่ได้ จึงขอให้ศาลบังคับให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนการขายให้ไม่ได้
ที่ดินมือเปล่ามี ส.ค.1. ยังมิได้รับคำรับรองจากนายอำเภอว่าได้ทำประโยชน์แล้ว จะโอนกันไม่ได้ จึงขอให้ศาลบังคับให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนการขายให้ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 981/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ที่ดินมือเปล่า ส.ค.๑ โอนไม่ได้ตามประมวลกฎหมายที่ดิน แม้ศาลล่างบังคับให้จดทะเบียน
บทบัญญัติมาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 เป็นบทบัญญัติอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ถึงแม้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มิได้ยกขึ้นวินิจฉัย ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้
ที่ดินมือเปล่ามี ส.ค.1. ยังมิได้รับคำรับรองจากนายอำเภอว่าได้ทำประโยชน์แล้ว จะโอนกันไม่ได้ จึงขอให้ศาลบังคับให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนการขายให้ไม่ได้
ที่ดินมือเปล่ามี ส.ค.1. ยังมิได้รับคำรับรองจากนายอำเภอว่าได้ทำประโยชน์แล้ว จะโอนกันไม่ได้ จึงขอให้ศาลบังคับให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนการขายให้ไม่ได้