คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.อ. ม. 358

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 267 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7477/2541 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้อง, การแจ้งความเท็จ, บุกรุก, ทำให้เสียทรัพย์: สิทธิจำกัดในที่ดินจัดสรรและการขาดคุณสมบัติผู้เสียหาย
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องเพราะเห็นว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องศาลชั้นต้นจึงไม่จำต้องวินิจฉัยในประเด็นข้ออื่นอีก เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องแล้ววินิจฉัยชี้ขาดในข้อหาความผิดฐานแจ้งความเท็จว่า จำเลยแจ้งความตามความเป็นจริงที่พบเห็นและมิได้ระบุว่าที่ดินบริเวณดังกล่าวเป็นทางสาธารณะตามที่โจทก์ฟ้อง การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จ เมื่อโจทก์มิได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าไม่ชอบด้วยเหตุผลใด กรณีไม่ต้องด้วย ป.วิ.อ.มาตรา 216 วรรคแรกที่ศาลฎีกาจะหยิบยกประเด็นข้อหาความผิดฐานแจ้งความเท็จขึ้นมาวินิจฉัยอีก
โจทก์ประกอบธุรกิจจัดสรรที่ดิน บริเวณที่ดินที่เกิดเหตุของโจทก์มีสภาพเป็นถนนและเป็นสาธารณูปโภค ที่โจทก์จัดให้มีขึ้นซึ่งเป็นภาระจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินจัดสรร ดังนี้ แม้โจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดิน โจทก์ก็จำต้องยอมรับกรรมบางอย่างซึ่งกระทบถึงทรัพย์สินของตนหรือต้องงดเว้นการใช้สิทธิบางอย่างอันมีอยู่ในกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินนั้นตาม ป.พ.พ.มาตรา 1387 การที่จำเลยผ่านเข้าไปในถนนซึ่งเป็นที่ดินของโจทก์หรือใช้ให้ผู้ใดผ่านถนนไปมา ย่อมไม่เป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์โดยปกติสุข แม้ว่าโจทก์จะได้นำที่ดินส่วนที่เป็นถนนนั้นไปให้ผู้อื่นเช่าตั้งเต็นท์ก็ตาม การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานบุกรุก
โจทก์เพียงแต่เป็นเจ้าของที่ดินที่รถยนต์และเต็นท์ตั้งอยู่ในขณะเกิดเหตุเท่านั้น โจทก์มิใช่เจ้าของหรือผู้ครอบครองดูแลรักษาและรับผิดชอบในทรัพย์ดังกล่าวที่ตั้งอยู่บนบริเวณที่ดินที่เกิดเหตุ โจทก์จึงไม่เป็นผู้เสียหายในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์นั้นตาม ป.วิ.อ.มาตรา 2 (4)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7477/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในที่ดินจัดสรร การบุกรุก และการเป็นผู้เสียหายในคดีอาญา
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องเพราะเห็นว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องศาลชั้นต้นจึงไม่จำต้องวินิจฉัยในประเด็นข้ออื่นอีก เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป ศาลอุทธรณ์เห็นว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องแล้ววินิจฉัยชี้ขาดในข้อหาความผิดฐานแจ้งความเท็จว่า จำเลยแจ้งความตามความเป็นจริงที่พบเห็นและมิได้ระบุว่าที่ดินบริเวณดังกล่าวเป็นทางสาธารณะตามที่โจทก์ฟ้อง การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จ เมื่อโจทก์มิได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าไม่ชอบด้วยเหตุผลใด กรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 216 วรรคแรกที่ศาลฎีกาจะหยิบยกประเด็นข้อหาความผิดฐานแจ้งความเท็จขึ้นมาวินิจฉัยอีก โจทก์ประกอบธุรกิจจัดสรรที่ดิน บริเวณที่ดินที่เกิดเหตุของโจทก์มีสภาพเป็นถนนและเป็นสาธารณูปโภค ที่โจทก์จัดให้มีขึ้นซึ่งเป็นภารจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินจัดสรรดังนี้ แม้โจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดิน โจทก์ก็จำต้องยอมรับกรรมบางอย่างซึ่งกระทบถึงทรัพย์สินของตนหรือต้องงดเว้นการใช้สิทธิ บางอย่างอันมีอยู่ในกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินนั้นตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1387 การที่จำเลยผ่านเข้าไปในถนนซึ่งเป็นที่ดินของโจทก์หรือใช้ให้ผู้ใดผ่านถนนไปมา ย่อมไม่เป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์โดยปกติสุข แม้ว่าโจทก์จะได้นำที่ดินส่วนที่เป็นถนนนั้นไปให้ผู้อื่นเช่าตั้งเต็นท์ก็ตาม การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานบุกรุก โจทก์เพียงแต่เป็นเจ้าของที่ดินที่รถยนต์และเต็นท์ตั้งอยู่ ในขณะเกิดเหตุเท่านั้น โจทก์มิใช่เจ้าของหรือผู้ครอบครองดูแลรักษาและรับผิดชอบในทรัพย์ดังกล่าวที่ตั้งอยู่บนบริเวณที่ดินที่เกิดเหตุ โจทก์จึงไม่เป็นผู้เสียหายในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์นั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(4)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3523/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ องค์ประกอบความผิดฐานบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ ต้องพิจารณาผู้เสียหายที่แท้จริงและเจตนาของผู้กระทำ
องค์ประกอบความผิดฐานบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 362 นั้น ผู้กระทำผิดต้องเข้าไปในอสังหาริมทรัพย์การที่จำเลยทั้งสองใช้ขวดขว้างและใช้มีดฟันประตูห้องพักผู้เสียหายทั้งสอง กับได้เรียกผู้เสียหายทั้งสองออกมาพูดคุยและขู่จะฆ่าผู้เสียหายทั้งสอง โดยที่จำเลยทั้งสองไม่ได้เข้าไปในห้องพักของผู้เสียหายทั้งสองจึงขาดองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362 จำเลยทั้งสองไม่มีความผิดฐานบุกรุก องค์ประกอบความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358 นั้น ต้องกระทำต่อทรัพย์ของผู้อื่นหรือผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย คำว่า"ทรัพย์ของผู้อื่น" ย่อมหมายความรวมถึงบุคคลที่ได้รับมอบหมายโดยตรงจากเจ้าของทรัพย์ให้เป็นผู้ครอบครองดูแลรักษาทรัพย์นั้น พ.กับธ. เป็นลูกจ้างของบริษัท บ.โดยบริษัทดังกล่าวจัดให้บุคคลทั้งสองพักอยู่ที่หอพักคนงานซึ่งทำให้ พ.และธ. มีเพียงใดใช้สิทธิอาศัยอยู่ในห้องพักเท่านั้น ไม่ปรากฏว่าบริษัท บ. ซึ่งเป็นเจ้าของห้องพักได้มอบหมายโดยตรงให้ พ.และธ. เป็นผู้ครอบครองดูแลรักษาทรัพย์ดังกล่าวโดยอาศัยสิทธิของเจ้าของทรัพย์นั้น พ.และธ. จึงมิใช่ผู้เสียหาย เมื่อบริษัท บ. ซึ่งเป็นผู้เสียหายที่แท้จริงไม่ได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อ พนักงานสอบสวนไว้พนักงานสอบสวนย่อมไม่มีอำนาจสอบสวนใน ความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ซึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้และ พนักงานอัยการไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้องในข้อหาฐานทำให้ เสียทรัพย์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3025/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงเช่าและสิทธิครอบครอง: การยึดคืนทรัพย์สินหลังผิดสัญญา
โจทก์เป็นผู้เช่าตึกแถวที่เกิดเหตุจากเจ้าของเดิมเมื่อครบกำหนดแล้วโจทก์ไม่ออกไปจากตึกแถวและไม่ชำระค่าเช่า แก่เจ้าของเดิม บุตรสาวโจทก์ได้ทำบันทึกข้อตกลงยอมชำระ ค่าเช่าที่ค้างชำระนั้น และจะชำระค่าเช่าเป็นรายเดือนต่อ ๆ ไป ถ้าผิดข้อตกลงยอมให้เจ้าของเดิมเข้าครอบครองตึกแถว ที่เกิดเหตุได้ ซึ่งไม่ปรากฏว่าโจทก์คัดค้านโต้แย้งข้อตกลงนี้ ข้อตกลงดังกล่าวจึงผูกพันโจทก์โดยมิพักต้องคำนึงว่ามี หนังสือมอบอำนาจจากโจทก์ให้บุตรสาวโจทก์ทำบันทึกข้อตกลงนั้น หรือไม่ และข้อตกลงนี้ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรม อันดีของประชาชนจึงใช้บังคับได้ ต่อมาบุตรสาวโจทก์และโจทก์ ผิดข้อตกลง จำเลยทั้งสองยังให้โอกาสแก่ฝ่ายโจทก์ ขอเวลาขนย้ายทรัพย์สินโดยไม่ติดใจเรียกร้องเอาค่าเช่าที่ค้างชำระแต่อย่างใด แต่โจทก์และครอบครัวก็มิได้ขนย้ายออกไป การที่ จำเลยทั้งสองเปิดกุญแจตึกแถวที่เกิดเหตุ หลังจากนั้นจึงใช้ กุญแจของจำเลยปิดตึกแถวที่เกิดเหตุไว้ย่อมเป็นอำนาจของ จำเลยทั้งสองที่จะกระทำได้และถือว่าจำเลยทั้งสองได้ใช้สิทธิ เข้ายึดถือครอบครองตึกแถวที่เกิดเหตุแล้วโดยชอบตามที่ได้ ตกลงกันไว้ การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงหาเป็นความผิดฐาน ทำให้เสียทรัพย์หรือฐานบุกรุกไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6894/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำของจำเลยเป็นการรบกวนการครอบครอง และทำให้เสียทรัพย์ของโจทก์ แม้ทำสัญญาซื้อขายแต่จำเลยไม่มีสิทธิเปลี่ยนกุญแจเอง
โจทก์เข้าครอบครองที่ดินพร้อมบ้านพิพาท เนื่องจากโจทก์กับจำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายกัน และจำเลยยินยอมส่งมอบการครอบครองที่ดินพร้อมบ้านพิพาทให้โจทก์เข้าครอบครองนับแต่วันทำสัญญา ดังนั้น โจทก์ย่อมมีสิทธิอยู่ในที่ดินพร้อมบ้านพิพาทโดยชอบ หากจำเลยเห็นว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาและไม่มีสิทธิที่จะอยู่ในที่ดินพร้อมบ้านพิพาทต่อไป ก็เป็นกรณีที่โจทก์จำเลยโต้แย้งสิทธิกันในทางแพ่ง จำเลยชอบที่จะดำเนินการตามกฎหมายเพื่อรักษาสิทธิของตน จำเลยจึงไม่มีอำนาจโดยพลการที่จะตัดโซ่คล้องกุญแจที่โจทก์ใช้ปิดประตูหน้าบ้านออกแล้วใช้กุญแจของจำเลยคล้องแทนทำให้โจทก์เข้าบ้านไม่ได้ การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการรบกวนการครอบครองที่ดินและบ้านพิพาทของโจทก์โดยปกติสุขตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362 ทั้งกุญแจพร้อมโซ่ที่จำเลยใช้ให้ช่างทำกุญแจตัดออกเป็นกุญแจของโจทก์ การที่จำเลยใช้ให้ช่างทำกุญแจพร้อมโซ่ของโจทก์จนเสียหายไร้ประโยชน์ย่อมเป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6894/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรบกวนการครอบครองและการทำให้เสียทรัพย์ กรณีจำเลยตัดกุญแจบ้านโจทก์
โจทก์เข้าครอบครองที่ดินพร้อมบ้านพิพาท เนื่องจากโจทก์กับจำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายกัน และจำเลยยินยอมส่งมอบการครอบครองที่ดินพร้อมบ้านพิพาทให้โจทก์เข้าครอบครองนับแต่วันทำสัญญา ดังนั้น โจทก์ย่อมมีสิทธิอยู่ในที่ดินพร้อมบ้านพิพาทโดยชอบ หากจำเลยเห็นว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาและไม่มีสิทธิที่จะอยู่ในที่ดินพร้อมบ้านพิพาทต่อไป ก็เป็นกรณีที่โจทก์จำเลยโต้แย้งสิทธิกันในทางแพ่ง จำเลยชอบที่จะดำเนินการตามกฎหมายเพื่อรักษาสิทธิของตน จำเลยจึงไม่มีอำนาจโดยพลการที่จะตัดโซ่คล้องกุญแจที่โจทก์ใช้ปิดประตูหน้าบ้านออกแล้วใช้กุญแจของจำเลยคล้องแทนทำให้โจทก์เข้าบ้านไม่ได้ การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการรบกวนการครอบครองที่ดินและบ้านพิพาทของโจทก์โดยปกติสุขตาม ป.อ.มาตรา 362 ทั้งกุญแจพร้อมโซ่ที่จำเลยใช้ให้ช่างทำกุญแจตัดออกเป็นกุญแจของโจทก์การที่จำเลยใช้ให้ช่างทำกุญแจตัดกุญแจพร้อมโซ่ของโจทก์จนเสียหายไร้ประโยชน์ย่อมเป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ ตาม ป.อ.มาตรา 358

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6894/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำของจำเลยเป็นการรบกวนการครอบครองและทำให้เสียทรัพย์ เนื่องจากจำเลยไม่มีสิทธิโดยพลการตัดกุญแจและกีดกันการเข้าอยู่
โจทก์เข้าครอบครองที่ดินพร้อมบ้านพิพาท เนื่องจากโจทก์กับจำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายกัน และจำเลยยินยอมส่งมอบการครอบครองที่ดินพร้อมบ้านพิพาทให้โจทก์เข้าครอบครองนับแต่วันทำสัญญา ดังนั้น โจทก์ย่อมมีสิทธิอยู่ในที่ดินพร้อมบ้านพิพาทโดยชอบ หากจำเลยเห็นว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาและไม่มีสิทธิที่จะอยู่ในที่ดินพร้อมบ้านพิพาทต่อไป ก็เป็นกรณีที่โจทก์จำเลยโต้แย้งสิทธิกันในทางแพ่ง จำเลยชอบที่จะดำเนินการตามกฎหมายเพื่อรักษาสิทธิของตน จำเลยจึงไม่มีอำนาจโดยพลการที่จะตัดโซ่คล้องกุญแจที่โจทก์ใช้ปิดประตูหน้าบ้านออกแล้วใช้กุญแจของจำเลยคล้องแทนทำให้โจทก์เข้าบ้านไม่ได้ การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการรบกวนการครอบครองที่ดินและบ้านพิพาทของโจทก์โดยปกติสุขตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362 ทั้งกุญแจพร้อมโซ่ที่จำเลยใช้ให้ช่างทำกุญแจตัดออกเป็นกุญแจของโจทก์ การที่จำเลยใช้ให้ช่างทำกุญแจพร้อมโซ่ของโจทก์จนเสียหายไร้ประโยชน์ย่อมเป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5827/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดพยายามวางเพลิง: ไม่ต้องวินิจฉัยความผิดทำให้เสียทรัพย์ และการลงโทษตามมาตรา 80 วรรคสอง
เมื่อการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานพยายามวางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่นตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 218(1),80แล้ว ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358 อีก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80 วรรคสอง ที่บัญญัติว่าผู้ใดพยายามกระทำความผิด ผู้นั้นต้องระวางโทษ สองในสามส่วนของโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น หมายถึงการกำหนดโทษที่จะลงโดยคำนวณโทษจากสองในสามของอัตราโทษที่กฎหมายกำหนด หาใช่ต้องกำหนดโทษความผิดสำเร็จก่อนไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5827/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยายามวางเพลิงฯ ไม่ต้องวินิจฉัยทำให้เสียทรัพย์ โทษคำนวณจากอัตราโทษเดิม
เมื่อการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานพยายามวางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่นตาม ป.อ.มาตรา 218 (1), 80 แล้ว ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ตาม ป.อ.มาตรา 358 อีก
ตาม ป.อ.มาตรา 80 วรรคสอง ที่บัญญัติว่า ผู้ใดพยายามกระทำความผิด ผู้นั้นต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น หมายถึง การกำหนดโทษที่จะลงโดยคำนวณโทษจากสองในสามของอัตราโทษที่กฎหมายกำหนด หาใช่ต้องกำหนดโทษความผิดสำเร็จก่อนไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6303/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเข้าใจผิดเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดินและต้นไม้เป็นเหตุให้ไม่มีความผิดฐานบุกรุกหรือทำให้เสียทรัพย์
โจทก์และจำเลยโต้เถียงการครอบครองที่พิพาทอยู่การที่จำเลยเข้าไปปักเสาสร้างรั้วในที่พิพาทจึงเป็นการเข้าใจโดยสุจริตว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยการกระทำของจำเลยจึงไม่มีความผิดฐานบุกรุก ต้นไผ่ที่จำเลยเข้าไปตัดฟันปลูกอยู่ในที่พิพาทแม้โจทก์เป็นผู้ปลูกแต่ต้นไผ่เป็นไม้ยืนต้นจึงเป็นส่วนควบของที่พิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา145วรรคหนึ่งและตกเป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้าของที่พิพาทซึ่งเป็นเจ้าของทรัพย์ประธานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา144วรรคสองเมื่อโจทก์และจำเลยยังโต้เถียงสิทธิครอบครองในที่พิพาทกันอยู่เท่ากับว่าโจทก์และจำเลยยังโต้เถียงกรรมสิทธิ์ของต้นไผ่ซึ่งปลูกอยู่ในที่พิพาทการที่จำเลยเข้าไปตัดฟันต้นไผ่พฤติการณ์จึงมีเหตุอันสมควรให้จำเลยเข้าใจโดยสุจริตว่าต้นไผ่ดังกล่าวเป็นของจำเลยการกระทำของจำเลยจึงไม่มีความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์
of 27