พบผลลัพธ์ทั้งหมด 503 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1052-1055/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องคดีแย่งการครอบครอง: การโต้เถียงวันถูกแย่งการครอบครองมีผลต่ออายุความ
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงต้องกันว่า โจทก์ถูกจำเลยแย่งการครอบครอง เมื่อ พ.ศ. 2512 และโจทก์ฟ้องคดีเกินกว่า 1 ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง จึงไม่มีสิทธิฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองที่พิพาท โจทก์ฎีกาว่าจำเลยเคยให้คำรับรองว่าจะคืนที่ดินให้โจทก์ เจ้าพนักงานจดบันทึกให้จำเลยลงชื่อไว้เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2514 การฟ้องคดีต้องนับตั้งแต่วันดังกล่าว โจทก์ฟ้องคดีวันที่ 14 มกราคม 2515 ถือว่าโจทก์ฟ้องคดีภายในกำหนด 1 ปีตามกฎหมาย ดังนี้ ฎีกาของโจทก์เป็นเรื่องโต้เถียงว่าโจทก์ถูกแย่งการครอบครองเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2514 มิใช่ถูกแย่งการครอบครองเมื่อ พ.ศ. 2512 ดังที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาที่ว่าโจทก์ถูกแย่งการครอบครองเมื่อไร อันจะทำให้โจทก์มีสิทธิฟ้องคดี เพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่พิพาทได้หรือไม่ นั้นเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาของโจทก์จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1052-1055/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาเรื่องอายุความฟ้องคดีแย่งการครอบครอง: ประเด็นเวลาเริ่มต้นนับอายุความและขอบเขตการฎีกาข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงต้องกันว่าโจทก์ถูกจำเลยแย่งการครอบครอง เมื่อ พ.ศ. 2512 และโจทก์ฟ้องคดีเกินกว่า 1 ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง จึงไม่มีสิทธิฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองที่พิพาท โจทก์ฎีกาว่าจำเลยเคยให้คำรับรองว่าจะคืนที่ดินให้โจทก์ เจ้าพนักงานจดบันทึกให้จำเลยลงชื่อไว้เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2514 การฟ้องคดีต้องนับตั้งแต่วันดังกล่าว โจทก์ฟ้องคดีวันที่ 14 มกราคม 2515 ถือว่าโจทก์ฟ้องคดีภายในกำหนด 1 ปีตามกฎหมาย ดังนี้ ฎีกาของโจทก์เป็นเรื่องโต้เถียงว่าโจทก์ถูกแย่งการครอบครองเมื่อวันที่15 มกราคม 2514. มิใช่ถูกแย่งการครอบครองเมื่อ พ.ศ. 2512ดังที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัย ปัญหาที่ว่าโจทก์ถูกแย่งการครอบครองเมื่อไร อันจะทำให้โจทก์มีสิทธิฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่พิพาทได้หรือไม่ นั้นเป็นปัญหาข้อเท็จจริงฎีกาของโจทก์จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1007/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาค้ำประกันยังใช้บังคับได้ แม้มีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความเกี่ยวกับหนี้เดิม
โจทก์ให้ ถ. กู้ยืมเงินไปโดยมีจำเลยเป็นผู้ค้ำประกัน ต่อมาโจทก์ฟ้องถ.ให้ชำระหนี้แล้วโจทก์กับถ. ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันศาลพิพากษาตามยอมแล้ว แต่ ถ. ไม่ชำระเงินตามสัญญา โจทก์จึงนำยึดทรัพย์ของ ถ. ขายทอดตลาดได้เงินไม่พอชำระหนี้ ดังนี้ โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องจำเลยตามสัญญาค้ำประกันให้ชำระเงินส่วนที่ยังขาดอยู่นั้นได้เพราะการที่โจทก์กับ ถ. ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันและศาลพิพากษาตามยอมนั้น เป็นเรื่องโจทก์ฟ้องบังคับตามสัญญากู้ไม่ทำให้หนี้ตามสัญญากู้ระงับ และไม่ใช่เป็นการผ่อนเวลาให้ลูกหนี้อันจะทำให้จำเลยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1007/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาค้ำประกันยังใช้บังคับได้ แม้มีการประนีประนอมยอมความในสัญญากู้เดิม
โจทก์ให้ ถ. กู้ยืมเงินไปโดยมีจำเลยเป็นผู้ค้ำประกัน ต่อมาโจทก์ฟ้อง ถ. ให้ชำระหนี้ แล้วโจทก์กับ ถ. ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันศาลพิพากษาตามยอมแล้ว แต่ ถ. ไม่ชำระเงินตามสัญญา โจทก์จึงนำยึดทรัพย์ของ ถ. ขายทอดตลาดได้เงินไม่พอชำระหนี้ ดังนี้ โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องจำเลยตามสัญญาค้ำประกันให้ชำระเงินส่วนที่ยังขาดอยู่นั้นได้เพราะการที่โจทก์กับ ถ. ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันและศาลพิพากษาตามยอมนั้น เป็นเรื่องโจทก์ฟ้องบังคับตามสัญญากู้ไม่ทำให้หนี้ตามสัญญากู้ระงับ และไม่ใช่เป็นการผ่อนเวลาให้ลูกหนี้ อันจะทำให้จำเลยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 934/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของบิดามารดาต่อละเมิดของบุตรผู้เยาว์ และข้อยกเว้นการรับผิดเมื่อใช้ความระมัดระวังแล้ว
โจทก์ฟ้องบิดามารดาของบุตรผู้เยาว์ให้รับผิดโดยลำพังในผลละเมิดที่บุตรผู้เยาว์ได้กระทำไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 429 ได้ โดยไม่จำต้องฟ้องบุตรผู้เยาว์ผู้กระทำละเมิดเข้ามาเป็นจำเลยด้วย
การที่จำเลยผู้เป็นบิดามารดาปล่อยให้เด็กชาย ล. บุตรชายอายุ 5 ขวบเศษเล่นหนังสะติ๊ก ซึ่งคันหนังสะติ๊กยาวประมาณจากข้อมือถึงปลายนิ้วมือ ใช้ยางกลม ๆ โยงต่อกันมีหนังเข็มขัดโตขนาด 2 นิ้วมือเป็นที่รองกระสุน ยิงเล่นอยู่ในบริเวณบ้าน มิได้ปล่อยปละละเลยให้ออกไปเที่ยวยิงเล่นนอกบ้าน ขณะเกิดเหตุนางสาว จ. พาเด็กชาย ส. บุตรโจทก์ไปเที่ยวที่บ้านจำเลย เด็กชาย ส. ยืนอยู่ในมุมระเบียงเรือนของจำเลย ส่วนเด็กชาย ล.เล่นอยู่ที่พื้นดินภายในบริเวณบ้านของจำเลย เผอิญเด็กชาย ล.ยิงหนังสะติ๊กมาทางเรือนเพียงครั้งเดียว ถูกเด็กชาย ส. ได้รับบาดเจ็บถึงนัยน์ตาบอด ดังนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แม้จำเลยจะปล่อยให้เด็กชาย ล. เล่นโดยลำพังเช่นนั้น ก็ไม่อาจคาดหมายได้ว่าการที่เด็กชาย ล. ยิงหนังสะติ๊กเล่นจะเกิดเหตุถึงกับถูกนัยน์ตาของเด็กชาย ส. จำเลยได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลเด็กชาย ล.ซึ่งจำเลยได้กระทำอยู่นั้นแล้ว จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดในผลที่เด็กชาย ล. ได้กระทำละเมิดดังกล่าว
การที่จำเลยผู้เป็นบิดามารดาปล่อยให้เด็กชาย ล. บุตรชายอายุ 5 ขวบเศษเล่นหนังสะติ๊ก ซึ่งคันหนังสะติ๊กยาวประมาณจากข้อมือถึงปลายนิ้วมือ ใช้ยางกลม ๆ โยงต่อกันมีหนังเข็มขัดโตขนาด 2 นิ้วมือเป็นที่รองกระสุน ยิงเล่นอยู่ในบริเวณบ้าน มิได้ปล่อยปละละเลยให้ออกไปเที่ยวยิงเล่นนอกบ้าน ขณะเกิดเหตุนางสาว จ. พาเด็กชาย ส. บุตรโจทก์ไปเที่ยวที่บ้านจำเลย เด็กชาย ส. ยืนอยู่ในมุมระเบียงเรือนของจำเลย ส่วนเด็กชาย ล.เล่นอยู่ที่พื้นดินภายในบริเวณบ้านของจำเลย เผอิญเด็กชาย ล.ยิงหนังสะติ๊กมาทางเรือนเพียงครั้งเดียว ถูกเด็กชาย ส. ได้รับบาดเจ็บถึงนัยน์ตาบอด ดังนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แม้จำเลยจะปล่อยให้เด็กชาย ล. เล่นโดยลำพังเช่นนั้น ก็ไม่อาจคาดหมายได้ว่าการที่เด็กชาย ล. ยิงหนังสะติ๊กเล่นจะเกิดเหตุถึงกับถูกนัยน์ตาของเด็กชาย ส. จำเลยได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลเด็กชาย ล.ซึ่งจำเลยได้กระทำอยู่นั้นแล้ว จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดในผลที่เด็กชาย ล. ได้กระทำละเมิดดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 934/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของบิดามารดาต่อละเมิดของบุตรผู้เยาว์และการใช้ความระมัดระวังตามสมควร
โจทก์ฟ้องบิดามารดาของบุตรผู้เยาว์ให้รับผิดโดยลำพังในผลละเมิดที่บุตรผู้เยาว์ได้กระทำไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 429 ได้ โดยไม่จำต้องฟ้องบุตรผู้เยาว์ผู้กระทำละเมิดเข้ามาเป็นจำเลยด้วย
การที่จำเลยผู้เป็นบิดามารดาปล่อยให้เด็กชาย ล. บุตรชายอายุ 5 ขวบเศษเล่นหนังสะติ๊ก ซึ่งคันหนังสะติ๊กยาวประมาณจากข้อมือถึงปลายนิ้วมือ ใช้ยางกลม ๆ โยงต่อกันมีหนังเข็มขัดโตขนาด 2 นิ้วมือเป็นที่รองกระสุน ยิงเล่นอยู่ในบริเวณบ้าน มิได้ปล่อยปละละเลยให้ออกไปเที่ยวยิงเล่นนอกบ้าน ขณะเกิดเหตุ นางสาว จ. พาเด็กชาย ส. บุตรโจทก์ไปเที่ยวที่บ้านจำเลย เด็กชาย ส. ยืนอยู่ในมุมระเบียงเรือนของจำเลย ส่วนเด็กชาย ล. เล่นอยู่ที่พื้นดินภายในบริเวณบ้านของจำเลย เผอิญเด็กชาย ล. ยิงหนังสะติ๊กมาทางเรือนเพียงครั้งเดียว ถูกเด็กชาย ส. ได้รับบาดเจ็บถึงนัยน์ตาบอด ดังนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แม้จำเลยจะปล่อยให้เด็กชาย ล. เล่นโดยลำพังเช่นนั้น ก็ไม่อาจคาดหมายได้ว่าการที่เด็กชาย ล. ยิงหนังสะติ๊กเล่นจะเกิดเหตุถึงกับถูกนัยน์ตาของเด็กชาย ส.จำเลยได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลเด็กชาย ล.ซึ่งจำเลยได้กระทำอยู่นั้นแล้ว จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดในผลที่เด็กชาย ล. ได้กระทำละเมิดดังกล่าว
การที่จำเลยผู้เป็นบิดามารดาปล่อยให้เด็กชาย ล. บุตรชายอายุ 5 ขวบเศษเล่นหนังสะติ๊ก ซึ่งคันหนังสะติ๊กยาวประมาณจากข้อมือถึงปลายนิ้วมือ ใช้ยางกลม ๆ โยงต่อกันมีหนังเข็มขัดโตขนาด 2 นิ้วมือเป็นที่รองกระสุน ยิงเล่นอยู่ในบริเวณบ้าน มิได้ปล่อยปละละเลยให้ออกไปเที่ยวยิงเล่นนอกบ้าน ขณะเกิดเหตุ นางสาว จ. พาเด็กชาย ส. บุตรโจทก์ไปเที่ยวที่บ้านจำเลย เด็กชาย ส. ยืนอยู่ในมุมระเบียงเรือนของจำเลย ส่วนเด็กชาย ล. เล่นอยู่ที่พื้นดินภายในบริเวณบ้านของจำเลย เผอิญเด็กชาย ล. ยิงหนังสะติ๊กมาทางเรือนเพียงครั้งเดียว ถูกเด็กชาย ส. ได้รับบาดเจ็บถึงนัยน์ตาบอด ดังนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แม้จำเลยจะปล่อยให้เด็กชาย ล. เล่นโดยลำพังเช่นนั้น ก็ไม่อาจคาดหมายได้ว่าการที่เด็กชาย ล. ยิงหนังสะติ๊กเล่นจะเกิดเหตุถึงกับถูกนัยน์ตาของเด็กชาย ส.จำเลยได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลเด็กชาย ล.ซึ่งจำเลยได้กระทำอยู่นั้นแล้ว จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดในผลที่เด็กชาย ล. ได้กระทำละเมิดดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 904/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรุกล้ำที่ดินและสร้างสิ่งปลูกสร้างโดยสุจริต การได้มาซึ่งภารจำยอมตามอำนาจปรปักษ์
ที่ดินและอาคารของโจทก์และของจำเลยร่วมอยู่ติดกันโดยต่างรับซื้อมาจากบุคคลอื่นกันสาดของอาคารที่จำเลยร่วมซื้อได้รุกล้ำที่ดินที่โจทก์ซื้ออยู่ก่อนแล้ว ต่อมาจำเลยร่วมได้สร้างห้องน้ำบนกันสาดนั้น อันเป็นการใช้ส่วนแห่งแดนกรรมสิทธิ์ที่ดินของโจทก์เฉพาะที่กันสาดรุกล้ำเข้าไปนั้นสืบต่อจากเจ้าของเดิม โดยจำเลยร่วมมิได้ขออนุญาตต่อผู้ใด ถือได้ว่าจำเลยร่วมได้สร้างห้องน้ำขึ้นโดยสุจริตย่อมได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1312 และข้อเท็จจริงก็ฟังได้ว่าจำเลยร่วมใช้สิทธิโดยอำนาจปรปักษ์เกินกว่า 10 ปีแล้ว กันสาดและห้องน้ำเหนือที่ดินของโจทก์ย่อมตกอยู่ในภารจำยอม โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะฟ้องขอให้จำเลยรื้อห้องน้ำบนกันสาดนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 904/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรุกล้ำที่ดินและสร้างสิ่งปลูกสร้างโดยสุจริต ครอบครองปรปักษ์เกิน 10 ปี ทำให้เกิดภารจำยอม
ที่ดินและอาคารของโจทก์และของจำเลยร่วมอยู่ติดกันโดยต่างรับซื้อมาจากบุคคลอื่นกันสาดของอาคารที่จำเลยร่วมซื้อได้รุกล้ำที่ดินที่โจทก์ซื้ออยู่ก่อนแล้ว ต่อมาจำเลยร่วมได้สร้างห้องน้ำบนกันสาดนั้น อันเป็นการใช้ส่วนแห่งแดนกรรมสิทธิ์ที่ดินของโจทก์เฉพาะที่กันสาดรุกล้ำเข้าไปนั้นสืบต่อจากเจ้าของเดิมโดยจำเลยร่วมมิได้ขออนุญาตต่อผู้ใด ถือได้ว่าจำเลยร่วมได้สร้างห้องน้ำขึ้นโดยสุจริตย่อมได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1312 และข้อเท็จจริงก็ฟังได้ว่าจำเลยร่วมใช้สิทธิโดยอำนาจปรปักษ์เกินกว่า 10 ปีแล้วกันสาดและห้องน้ำเหนือที่ดินของโจทก์ย่อมตกอยู่ในภารจำยอมโจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะฟ้องขอให้จำเลยรื้อห้องน้ำบนกันสาดนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 428/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในการรับชำระหนี้จากเงินขายทอดตลาดเมื่อมีการประนีประนอมยอมความและสัญญาขอผัดชำระเงิน
โจทก์ผู้ร้องขัดทรัพย์และจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า หากขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดไว้ได้เงินสุทธิเท่าใดให้โจทก์มีสิทธิได้รับชำระหนี้ 2ใน 3 ส่วน เงินส่วนที่เหลือให้ผู้ร้องขัดทรัพย์รับไป เช่นนี้ ก็ต้องถือว่าเงินส่วนที่เหลือจาก 2 ใน 3 ส่วนของเงินสุทธิที่ขายทอดตลาดได้ตกเป็นของผู้ร้องขัดทรัพย์ตามที่ได้ตกลงกันไว้ เงินจำนวนนี้จึงไม่ใช่เงินของจำเลย
เมื่อผู้ร้องขัดทรัพย์เป็นผู้ซื้อทรัพย์ที่ยึดได้จากการขายทอดตลาดครั้งแรกในราคา 80,000 บาท แต่ผู้ร้องขัดทรัพย์ไม่วางเงินมัดจำในการซื้อทรัพย์และได้ทำสัญญาขอผัดชำระเงินผลที่สุดได้ผิดสัญญาไม่นำเงินมาชำระและได้ยอมให้จัดการขายทอดตลาดทรัพย์ใหม่ตามสัญญายอมรับผิดที่ทำไว้กับเจ้าพนักงานบังคับคดีว่า หากการขายทอดตลาดทรัพย์ครั้งหลังได้ราคาต่ำกว่าการขายครั้งก่อนเท่าไร ผู้ร้องขัดทรัพย์ยอมใช้เงินให้เต็มจำนวนตามที่ผู้ร้องขัดทรัพย์ได้รับซื้อไว้ครั้งก่อน ฉะนั้น เมื่อขายทอดตลาดทรัพย์ครั้งหลังได้ในราคา 61,000 บาท ซึ่งต่ำกว่าราคาขายครั้งแรกก็ต้องคิดส่วนได้ของโจทก์และค่าธรรมเนียมการขายทอดตลาดเต็มจำนวนเสมือนหนึ่งขายทอดตลาดได้ราคาเท่าการขายทอดตลาดครั้งแรกเงินส่วนได้ของผู้ร้องขัดทรัพย์จากการขายทอดตลาดครั้งหลังจึงต้องตกอยู่ในบังคับที่จะนำไปชดใช้ส่วนที่ขายทอดตลาดได้ราคาต่ำไปนั้นด้วย
เมื่อผู้ร้องขัดทรัพย์เป็นผู้ซื้อทรัพย์ที่ยึดได้จากการขายทอดตลาดครั้งแรกในราคา 80,000 บาท แต่ผู้ร้องขัดทรัพย์ไม่วางเงินมัดจำในการซื้อทรัพย์และได้ทำสัญญาขอผัดชำระเงินผลที่สุดได้ผิดสัญญาไม่นำเงินมาชำระและได้ยอมให้จัดการขายทอดตลาดทรัพย์ใหม่ตามสัญญายอมรับผิดที่ทำไว้กับเจ้าพนักงานบังคับคดีว่า หากการขายทอดตลาดทรัพย์ครั้งหลังได้ราคาต่ำกว่าการขายครั้งก่อนเท่าไร ผู้ร้องขัดทรัพย์ยอมใช้เงินให้เต็มจำนวนตามที่ผู้ร้องขัดทรัพย์ได้รับซื้อไว้ครั้งก่อน ฉะนั้น เมื่อขายทอดตลาดทรัพย์ครั้งหลังได้ในราคา 61,000 บาท ซึ่งต่ำกว่าราคาขายครั้งแรกก็ต้องคิดส่วนได้ของโจทก์และค่าธรรมเนียมการขายทอดตลาดเต็มจำนวนเสมือนหนึ่งขายทอดตลาดได้ราคาเท่าการขายทอดตลาดครั้งแรกเงินส่วนได้ของผู้ร้องขัดทรัพย์จากการขายทอดตลาดครั้งหลังจึงต้องตกอยู่ในบังคับที่จะนำไปชดใช้ส่วนที่ขายทอดตลาดได้ราคาต่ำไปนั้นด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 428/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเรียกร้องชำระหนี้จากเงินขายทอดตลาด: การชดใช้ความเสียหายจากราคาขายต่ำกว่าที่ตกลง
โจทก์ ผู้ร้องขัดทรัพย์ และจำเลย ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่าหากขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดไว้ได้เงินสุทธิเท่าใดให้โจทก์มีสิทธิได้รับชำระหนี้2ใน 3 ส่วน เงินส่วนที่เหลือให้ผู้ร้องขัดทรัพย์รับไปเช่นนี้ ก็ต้องถือว่าเงินส่วนที่เหลือจาก 2 ใน 3 ส่วนของเงินสุทธิที่ขายทอดตลาดได้ตกเป็นของผู้ร้องขัดทรัพย์ตามที่ได้ตกลงกันไว้ เงินจำนวนนี้จึงไม่ใช่เงินของจำเลย
เมื่อผู้ร้องขัดทรัพย์เป็นผู้ซื้อทรัพย์ที่ยึดได้จากการขายทอดตลาดครั้งแรกในราคา 80,000 บาท แต่ผู้ร้องขัดทรัพย์ไม่วางเงินมัดจำในการซื้อทรัพย์และได้ทำสัญญาขอผัดชำระเงินผลที่สุดได้ผิดสัญญาไม่นำเงินมาชำระและได้ยอมให้จัดการขายทอดตลาดทรัพย์ใหม่ตามสัญญายอมรับผิดที่ทำไว้กับเจ้าพนักงานบังคับคดีว่า หากการขายทอดตลาดทรัพย์ครั้งหลังได้ราคาต่ำกว่าการขายครั้งก่อนเท่าไร ผู้ร้องขัดทรัพย์ยอมใช้เงินให้เต็มจำนวนตามที่ผู้ร้องขัดทรัพย์ได้รับซื้อไว้ครั้งก่อน ฉะนั้น เมื่อขายทอดตลาดทรัพย์ครั้งหลังได้ในราคา 61,000 บาท ซึ่งต่ำกว่าราคาขายครั้งแรก ก็ต้องคิดส่วนได้ของโจทก์และค่าธรรมเนียมการขายทอดตลาดเต็มจำนวนเสมือนหนึ่งขายทอดตลาดได้ราคาเท่าการขายทอดตลาดครั้งแรกเงินส่วนได้ของผู้ร้องขัดทรัพย์จากการขายทอดตลาดครั้งหลังจึงต้องตกอยู่ในบังคับที่จะนำไปชดใช้ส่วนที่ขายทอดตลาดได้ราคาต่ำไปนั้นด้วย
เมื่อผู้ร้องขัดทรัพย์เป็นผู้ซื้อทรัพย์ที่ยึดได้จากการขายทอดตลาดครั้งแรกในราคา 80,000 บาท แต่ผู้ร้องขัดทรัพย์ไม่วางเงินมัดจำในการซื้อทรัพย์และได้ทำสัญญาขอผัดชำระเงินผลที่สุดได้ผิดสัญญาไม่นำเงินมาชำระและได้ยอมให้จัดการขายทอดตลาดทรัพย์ใหม่ตามสัญญายอมรับผิดที่ทำไว้กับเจ้าพนักงานบังคับคดีว่า หากการขายทอดตลาดทรัพย์ครั้งหลังได้ราคาต่ำกว่าการขายครั้งก่อนเท่าไร ผู้ร้องขัดทรัพย์ยอมใช้เงินให้เต็มจำนวนตามที่ผู้ร้องขัดทรัพย์ได้รับซื้อไว้ครั้งก่อน ฉะนั้น เมื่อขายทอดตลาดทรัพย์ครั้งหลังได้ในราคา 61,000 บาท ซึ่งต่ำกว่าราคาขายครั้งแรก ก็ต้องคิดส่วนได้ของโจทก์และค่าธรรมเนียมการขายทอดตลาดเต็มจำนวนเสมือนหนึ่งขายทอดตลาดได้ราคาเท่าการขายทอดตลาดครั้งแรกเงินส่วนได้ของผู้ร้องขัดทรัพย์จากการขายทอดตลาดครั้งหลังจึงต้องตกอยู่ในบังคับที่จะนำไปชดใช้ส่วนที่ขายทอดตลาดได้ราคาต่ำไปนั้นด้วย