พบผลลัพธ์ทั้งหมด 503 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 612/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจหน้าที่พนักงานอัยการในการบังคับตามสัญญาประกันและการดำเนินการบังคับคดี
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 119 และตามพระราชบัญญัติพนักงานอัยการ พ.ศ. 2498 มาตรา 11(8) กับมาตรา 4 ย่อมเห็นได้ว่า เมื่อมีการผิดสัญญาประกันจำเลยที่ทำไว้กับศาลแล้ว พนักงานอัยการซึ่งเป็นทนายของแผ่นดินเป็นผู้มีหน้าที่ดำเนินคดี หาใช่หน้าที่ของศาลหรือเจ้าหน้าที่ของศาลไม่ และตามมาตรา 4 และมาตรา 11(8) นั้นแสดงว่าพนักงานอัยการต้องดำเนินคดีในการบังคับให้เป็นไปตามสัญญาประกัน ซึ่งหมายถึงการขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีและจัดการอื่นใดในทางอรรถคดีเพื่อเป็นผลให้ได้เงินค่าปรับตามคำสั่งศาล การนำยึดทรัพย์ผู้ผิดสัญญาประกัน ไม่ใช่หน้าที่ของศาลหรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายศาล แต่เพื่อประโยชน์ในการค้นหาทรัพย์ที่นำมาเป็นหลักประกันต่อศาล ศาลย่อมเรียกผู้ประกันมาสอบถามและให้จัดการนำยึดตามที่พนักงานอัยการขอได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 564/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงฐานะจากเจ้าของร่วมเป็นเจ้าของคนเดียวมีผลต่อสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท การฎีกาข้อเท็จจริง
โจทก์จำเลยพิพาทเกี่ยวกับสิทธิครอบครองในที่นา ราคา 1,000 บาท ของนายช้างเจ้ามรดกเดิมซึ่งเป็นสามีของโจทก์และบิดาของจำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์และจำเลยได้ทำนาพิพาทร่วมกันมาในฐานะเป็นเจ้าของรวม โจทก์จึงมีสิทธิครอบครองในนาพิพาทครึ่งหนึ่ง ศาลอุทธรณ์ฟังว่าโจทก์เป็นผู้ครอบครองนาพิพาทมาแต่ฝ่ายเดียว จำเลยมิได้เข้ามาเกี่ยวข้องในนาพิพาทภายหลังนายช้างบิดาตายแล้ว พิพากษาแก้ว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองในนาพิพาท ให้จำเลยและบริวารออกจากนาพิพาท ในกรณีเช่นนี้ไม่ถือว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขเล็กน้อย จำเลยจึงฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 33/2515)
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 33/2515)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 536/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เหตุบรรเทาโทษ: อายุ, ความรู้สึกผิดชอบน้อย, รับสารภาพ, ให้ความรู้แก่ศาล
จำเลยอายุ 19 ปี ย่อมมีความรู้สึกผิดชอบน้อย ได้กระทำผิดโดยเข้าใจว่าผู้ตายข่มเหงน้ำใจตน ศาลเห็นสมควรลดมาตราส่วนโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นลงหนึ่งในสาม
จำเลยได้กระทำความผิดแล้วมิได้หลบหนี เมื่อถูกจับก็รับสารภาพว่าได้ยิงผู้ตายจริง เป็นการลุแก่โทษต่อเจ้าพนักงานและให้ความรู้แก่ศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ถือได้ว่ามีเหตุบรรเทาโทษ
จำเลยได้กระทำความผิดแล้วมิได้หลบหนี เมื่อถูกจับก็รับสารภาพว่าได้ยิงผู้ตายจริง เป็นการลุแก่โทษต่อเจ้าพนักงานและให้ความรู้แก่ศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ถือได้ว่ามีเหตุบรรเทาโทษ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 450/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดร่วมของนายจ้างต่อละเมิดของลูกจ้าง และการประเมินค่าเสียหายที่ครอบคลุมทั้งกายและจิตใจ
จำเลยที่ 3 ได้รับสัมปทานเดินรถ และได้รับรถคันที่จำเลยที่ 1 ขับให้วิ่งร่วมในเส้นทางที่ได้รับสัมปทานมีชื่อบริษัทจำเลยที่ 3 ที่ข้างรถ จำเลยที่ 3ควบคุมการเดินรถ กำหนดอัตราค่าโดยสาร และได้รับประโยชน์ตอบแทน คือ เรียกค่าธรรมเนียมจากรถที่เข้าร่วมเส้นทางและคิดค่าจอดรถเป็นรายวัน เช่นนี้ จึงถือได้ว่าจำเลยที่ 3 ได้มีและใช้รถคันเกิดเหตุในกิจการเดินรถของจำเลยที่ 3 เมื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้ทำละเมิดเสียหายต่อโจทก์จำเลยที่ 3 ผู้เป็นนายจ้างก็ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1
ค่าจ้างนางพยาบาลเฝ้าไข้ ค่ายา ค่าจ้างรถแท็กซี่ที่ภรรยาไปเฝ้าเยี่ยมปรนนิบัติที่โรงพยาบาล ค่าจ้างรถแท็กซี่นั่งไปทำงานเพราะยังเดินไม่ได้ เป็นค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องเอาจากจำเลยได้
การที่โจทก์ต้องพิการ.ไม่สามารถเดินได้ อย่างคนธรรมดาเสียสมรรถภาพในการรับราชการทหาร ทั้งไม่สามารถทำงานหนักได้ ถือได้ว่าโจทก์สูญเสียความสามารถประกอบการงานในภายหน้า
ค่าจ้างนางพยาบาลเฝ้าไข้ ค่ายา ค่าจ้างรถแท็กซี่ที่ภรรยาไปเฝ้าเยี่ยมปรนนิบัติที่โรงพยาบาล ค่าจ้างรถแท็กซี่นั่งไปทำงานเพราะยังเดินไม่ได้ เป็นค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องเอาจากจำเลยได้
การที่โจทก์ต้องพิการ.ไม่สามารถเดินได้ อย่างคนธรรมดาเสียสมรรถภาพในการรับราชการทหาร ทั้งไม่สามารถทำงานหนักได้ ถือได้ว่าโจทก์สูญเสียความสามารถประกอบการงานในภายหน้า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 429/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นในการใช้ดุลพินิจอนุญาตหรือไม่อนุญาตการก่อสร้างอาคารตาม พ.ร.บ.ควบคุมการก่อสร้างอาคาร
เมื่อมีผู้ขออนุญาตก่อสร้างอาคาร เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นตามพระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ.2479 ย่อมมีอำนาจหน้าที่ที่จะใช้ดุลพินิจเพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติดังกล่าวนั้นในการอนุญาต หรือไม่อนุญาตให้บุคคลปลูกสร้างอาคารอย่างใดๆ ได้
โจทก์ยื่นขออนุญาตก่อสร้างกำแพงต่อจำเลย จำเลยมีหนังสือถึงโจทก์แจ้งไม่อนุญาตโดยอ้างเหตุขัดข้อง 3 ประการ ครั้นเมื่อโจทก์ยื่นฟ้องจำเลย จำเลยได้ยื่นคำให้การแสดงถึงเหตุหลายประการนอกเหนือไปจากเหตุที่จำเลยอ้างไว้ ดังนี้ จำเลยย่อมมีสิทธิยกขึ้นเป็นประเด็นข้อต่อสู้ของจำเลยในคดีได้ ซึ่งศาลจะต้องรับวินิจฉัย
โจทก์ยื่นขออนุญาตก่อสร้างกำแพงต่อจำเลย จำเลยมีหนังสือถึงโจทก์แจ้งไม่อนุญาตโดยอ้างเหตุขัดข้อง 3 ประการ ครั้นเมื่อโจทก์ยื่นฟ้องจำเลย จำเลยได้ยื่นคำให้การแสดงถึงเหตุหลายประการนอกเหนือไปจากเหตุที่จำเลยอ้างไว้ ดังนี้ จำเลยย่อมมีสิทธิยกขึ้นเป็นประเด็นข้อต่อสู้ของจำเลยในคดีได้ ซึ่งศาลจะต้องรับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 429/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นในการพิจารณาอนุญาตหรือไม่อนุญาตการก่อสร้างอาคารตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร
เมื่อมีผู้ขออนุญาตก่อสร้างอาคาร เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นตามพระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ.2479 ย่อมมีอำนาจหน้าที่ที่จะใช้ดุลพินิจเพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติดังกล่าวนั้น ในการอนุญาต หรือไม่อนุญาตให้บุคคลปลูกสร้างอาคารอย่างใดๆ ได้
โจทก์ยื่นขออนุญาตก่อสร้างกำแพงต่อจำเลย จำเลยมีหนังสือถึงโจทก์แจ้งไม่อนุญาตโดยอ้างเหตุขัดข้อง 3 ประการ ครั้นเมื่อโจทก์ยื่นฟ้องจำเลย จำเลยได้ยื่นคำให้การแสดงถึงเหตุหลายประการนอกเหนือไปจากเหตุที่จำเลยอ้างไว้ ดังนี้ จำเลยย่อมมีสิทธิยกขึ้นเป็นประเด็นข้อต่อสู้ของจำเลยในคดีได้ ซึ่งศาลจะต้องรับวินิจฉัย
โจทก์ยื่นขออนุญาตก่อสร้างกำแพงต่อจำเลย จำเลยมีหนังสือถึงโจทก์แจ้งไม่อนุญาตโดยอ้างเหตุขัดข้อง 3 ประการ ครั้นเมื่อโจทก์ยื่นฟ้องจำเลย จำเลยได้ยื่นคำให้การแสดงถึงเหตุหลายประการนอกเหนือไปจากเหตุที่จำเลยอ้างไว้ ดังนี้ จำเลยย่อมมีสิทธิยกขึ้นเป็นประเด็นข้อต่อสู้ของจำเลยในคดีได้ ซึ่งศาลจะต้องรับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 421/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการลงโทษกึ่งหนึ่งของโทษประหารชีวิต: ศาลอุทธรณ์ลงโทษต่ำกว่า 12 ปีได้
โทษกึ่งหนึ่งของโทษประหารชีวิต คือจำคุกตลอดชีวิตหรือจำคุกตั้งแต่ 12 ปีถึง 20 ปี แต่การลงโทษไม่เกินกึ่งหนึ่งของโทษประหารชีวิตนั้น มิใช่ว่าจะลงโทษจำคุกต่ำกว่า 12 ปีไม่ได้การที่ศาลลงโทษจำคุก 10 ปี ก็เป็นการลงโทษไม่เกินกึ่งหนึ่งของโทษประหารชีวิต
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 7/2516 )
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 7/2516 )
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 421/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการลงโทษกึ่งหนึ่งของโทษประหารชีวิต: ศาลมีอำนาจลงโทษต่ำกว่า 12 ปีได้
โทษกึ่งหนึ่งของโทษประหารชีวิต คือจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ 12 ปีถึง20 ปี แต่การลงโทษไม่เกินกึ่งหนึ่งของโทษประหารชีวิตนั้น มิใช่ว่าจะลงโทษจำคุกต่ำกว่า 12 ปีไม่ได้ การที่ศาลลงโทษจำคุก 10 ปี ก็เป็นการลงโทษไม่เกินกึ่งหนึ่งของโทษประหารชีวิต
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 7/2516)
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 7/2516)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 355/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจทางปกครองในการสอบสวนและสั่งปลดข้าราชการ และความชอบด้วยกฎหมายในการฟ้องละเมิด
โจทก์เป็นข้าราชการพลเรือน โจทก์จะต้องปฏิบัติตนตามวินัยข้าราชการพลเรือนโดยต้องรักษาชื่อเสียง มิให้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วเมื่อโจทก์ถูกกล่าวหาว่าไม่รักษาชื่อเสียง อันขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วแล้ว แม้ขณะเกิดข้อพิพาท โจทก์จะได้รับคำสั่งให้ไปช่วยงานในบริษัทไทยโทรทัศน์ จำกัด จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาล ก็ย่อมมีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการทำการสอบสวนได้
จำเลยที่ 1 ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล มีคำสั่งให้ปลดโจทก์ออกจากราชการ คำสั่งของจำเลยที่ 1 เป็นคำสั่งซึ่งสั่งตามอำนาจที่มีอยู่ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนอันเป็นอำนาจของทางราชการฝ่ายบริหารจะสั่งได้โดยเฉพาะ ไม่ใช่หน้าที่ของศาลจะเข้าไปชี้ขาดในเรื่องเช่นนี้ โจทก์จะฟ้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวแล้วหาได้ไม่ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 818/2499)
โจทก์ฟ้องหาว่า จำเลยละเมิดและเรียกค่าสินไหมทดแทนแต่คำบรรยายฟ้องเกี่ยวแก่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 8 ถึง 24 ไม่ปรากฏว่าจำเลยดังกล่าวได้กระทำละเมิดต่อโจทก์อย่างไร และที่กล่าวฟ้องว่าจำเลยที่ 8 ถึง 24 ทำการประชุมด้วยความจงใจหรือประมาทเลินเล่อก็ไม่ปรากฏว่าได้กระทำอย่างไร จึงเป็นฟ้องที่ไม่แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหา ไม่ชอบที่ศาลจะรับไว้พิจารณา
จำเลยที่ 1 ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล มีคำสั่งให้ปลดโจทก์ออกจากราชการ คำสั่งของจำเลยที่ 1 เป็นคำสั่งซึ่งสั่งตามอำนาจที่มีอยู่ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนอันเป็นอำนาจของทางราชการฝ่ายบริหารจะสั่งได้โดยเฉพาะ ไม่ใช่หน้าที่ของศาลจะเข้าไปชี้ขาดในเรื่องเช่นนี้ โจทก์จะฟ้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวแล้วหาได้ไม่ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 818/2499)
โจทก์ฟ้องหาว่า จำเลยละเมิดและเรียกค่าสินไหมทดแทนแต่คำบรรยายฟ้องเกี่ยวแก่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 8 ถึง 24 ไม่ปรากฏว่าจำเลยดังกล่าวได้กระทำละเมิดต่อโจทก์อย่างไร และที่กล่าวฟ้องว่าจำเลยที่ 8 ถึง 24 ทำการประชุมด้วยความจงใจหรือประมาทเลินเล่อก็ไม่ปรากฏว่าได้กระทำอย่างไร จึงเป็นฟ้องที่ไม่แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหา ไม่ชอบที่ศาลจะรับไว้พิจารณา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 355/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขรก.ถูกกล่าวหาประพฤติชั่ว แม้เกี่ยวข้องงานบริษัทเอกชน นายกฯมีอำนาจสอบสวน/ปลดออกจากราชการ ศาลไม่ชี้ขาด
โจทก์เป็นข้าราชการพลเรือน โจทก์จะต้องปฏิบัติตนตามวินัยข้าราชการพลเรือนโดยต้องรักษาชื่อเสียง มิให้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่ว เมื่อโจทก์ถูกกล่าวหาว่า ไม่รักษาชื่อเสียง อันขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วแล้ว แม้ขณะเกิดข้อพิพาท โจทก์จะได้รับคำสั่งให้ไปช่วยงานในบริษัทไทยโทรทัศน์ จำกัด จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาล ก็ย่อมมีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการทำการสอบสวนได้
จำเลยที่ 1 ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล มีคำสั่งให้ปลดโจทก์ออกจากราชการ คำสั่งของจำเลยที่ 1 เป็นคำสั่งซึ่งสั่งตามอำนาจที่มีอยู่ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนอันเป็นอำนาจของทางราชการฝ่ายบริหารจะสั่งได้โดยเฉพาะ ไม่ใช่หน้าที่ของศาลจะเข้าไปชี้ขาดในเรื่องเช่นนี้ โจทก์จะฟ้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวแล้วหาได้ไม่ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 818/2499)
โจทก์ฟ้องหาว่า จำเลยละเมิดและเรียกค่าสินไหมทดแทน แต่คำบรรยายฟ้องเกี่ยวแก่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 8 ถึง 24 ไม่ปรากฏว่าจำเลยดังกล่าวได้กระทำละเมิดต่อโจทก์อย่างไร และที่กล่าวฟ้องว่าจำเลยที่ 8 ถึง 24 ทำการประชุมด้วยความจงใจหรือประมาทเลินเล่อก็ไม่ปรากฏว่าได้กระทำอย่างไร จึงเป็นฟ้องที่ไม่แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหา ไม่ชอบที่ศาลจะรับไว้พิจารณา
จำเลยที่ 1 ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล มีคำสั่งให้ปลดโจทก์ออกจากราชการ คำสั่งของจำเลยที่ 1 เป็นคำสั่งซึ่งสั่งตามอำนาจที่มีอยู่ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนอันเป็นอำนาจของทางราชการฝ่ายบริหารจะสั่งได้โดยเฉพาะ ไม่ใช่หน้าที่ของศาลจะเข้าไปชี้ขาดในเรื่องเช่นนี้ โจทก์จะฟ้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวแล้วหาได้ไม่ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 818/2499)
โจทก์ฟ้องหาว่า จำเลยละเมิดและเรียกค่าสินไหมทดแทน แต่คำบรรยายฟ้องเกี่ยวแก่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 8 ถึง 24 ไม่ปรากฏว่าจำเลยดังกล่าวได้กระทำละเมิดต่อโจทก์อย่างไร และที่กล่าวฟ้องว่าจำเลยที่ 8 ถึง 24 ทำการประชุมด้วยความจงใจหรือประมาทเลินเล่อก็ไม่ปรากฏว่าได้กระทำอย่างไร จึงเป็นฟ้องที่ไม่แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหา ไม่ชอบที่ศาลจะรับไว้พิจารณา