พบผลลัพธ์ทั้งหมด 503 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2347/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองโดยละเมิดและการมีสิทธิในทรัพย์สิน: การบุกรุกและการทำให้เสียทรัพย์เมื่อผู้ครอบครองไม่มีสิทธิ
ห้องพิพาทและที่ดินเป็นของจำเลยที่ 1 สามีโจทก์ที่1 เป็นแต่เพียงผู้เช่าโดยมีโจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 ซึ่งเป็นภรรยาและบุตรเป็นบริวาร จำเลยที่ 1 เคยฟ้องขับไล่โจทก์ที่ 1 และสามีออกจากห้องพิพาท ทนายของสามีโจทก์ที่ 1 แถลงต่อศาลว่าผู้เช่ารับว่าจะไม่ไปเกี่ยวข้องกับห้องพิพาทอีกต่อไป ดังนี้ โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นบริวารจึงไม่มีสิทธิอันใดในห้องพิพาท การที่โจทก์ทั้งสองเข้าอยู่ในห้องต่อไปจึงเป็นการเข้าอยู่โดยละเมิด ไม่มีสิทธิครอบครอง และไม่มีการครอบครองตามความในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362 ฉะนั้น ความผิดฐานบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ต่อห้องพิพาทจึงไม่อาจเกิดแก่จำเลยซึ่งบุกรุกเข้าไปรื้อห้องพิพาทได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2326/2515 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การมอบหมายทวงหนี้และเจตนายักยอก: การวินิจฉัยข้อเท็จจริงและการยอมรับค่าจ้าง
โจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลแขวงหาว่ายักยอกทรัพย์ศาลแขวงพิพากษายกฟ้องโจทก์ในปัญหาข้อกฎหมาย โจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายที่ศาลชั้นต้นชี้ขาด แต่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าข้อเท็จจริงควรฟังเป็นอีกอย่างหนึ่ง แต่มิได้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัย ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงเสียเองแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ในปัญหาข้อเท็จจริง ที่ศาลอุทธรณ์ฟังใหม่นั้นโจทก์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าวนั้นได้ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2326/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การว่าจ้างทวงหนี้และการหักเงินค่าจ้าง มิใช่ความผิดฐานยักยอกทรัพย์ หากมีเจตนาเปิดเผยและได้รับความยินยอม
โจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลแขวงหาว่ายักยอกทรัพย์ ศาลแขวงพิพากษายกฟ้องโจทก์ในปัญหาข้อกฎหมาย โจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายที่ศาลชั้นต้นชี้ขาด แต่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าข้อเท็จจริงควรฟังเป็นอีกอย่างหนึ่ง แต่มิได้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัย ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงเสียเอง แล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ในปัญหาข้อเท็จจริง ที่ศาลอุทธรณ์ฟังใหม่นั้นโจทก์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าวนั้นได้ ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2067/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขายแสตมป์ปลอมมีความผิดอาญา แม้ไม่ได้เป็นผู้ปลอมแปลง
ผู้ใช้ ขาย เสนอขาย แลกเปลี่ยนหรือเสนอแลกเปลี่ยนซึ่งแสตมป์ ซึ่งรู้ว่าปลอมแม้จะมิได้ทำปลอมขึ้นเองก็มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 257
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1969/2515 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายที่มาจากการช่วยเหลือด้านกฎหมาย: การนำสืบสัญญาเดิมเพื่อพิสูจน์เจตนาและส่วนได้เสีย
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ออกเงินค่าใช้จ่ายในการเป็นความให้จำเลยโดยมีข้อตกลงกันว่าจำเลยจะขายที่ดินที่เป็นความให้โจทก์ในราคาที่โจทก์ต้องออกค่าใช้จ่ายไป ในที่สุดจำเลยได้ที่พิพาทกลับคืนมาโจทก์จำเลยจึงทำหนังสือสัญญาซื้อขายฉบับลงวันที่ 3 พฤศจิกายน2509 โดยจำเลยขายที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ ต่อมาจำเลยบิดพลิ้วโจทก์จึงขอให้บังคับจำเลยปฏิบัติตามข้อตกลงและสัญญาดังกล่าวศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การกระทำของโจทก์เป็นเรื่องแสวงหาประโยชน์จากการที่ผู้อื่นเป็นความกัน โดยที่โจทก์ไม่มีส่วนได้เสียในมูลคดีนั้นเลยข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยจึงขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ตกเป็นโมฆะ โจทก์อุทธรณ์ว่าความจริงก่อนที่จำเลยจะเป็นความกับผู้มีชื่อ โจทก์ได้วางเงินมัดจำซื้อที่ดินแปลงพิพาทจากจำเลยตามหนังสือสัญญาจะซื้อขายฉบับลงวันที่ 5 พฤษภาคม 2509โจทก์จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียและเมื่อจำเลยได้ที่พิพาทกลับคืนมาโจทก์จำเลยจึงได้นำสัญญาฉบับลงวันที่ 5 พฤษภาคม มาเขียนใหม่เป็นสัญญาฉบับลงวันที่ 3 พฤศจิกายน และโจทก์ประสงค์จะนำสืบถึงสัญญาฉบับลงวันที่ 5 พฤษภาคม เช่นนี้ จึงเห็นได้ว่าเป็นการนำสืบเพื่อแสดงว่า ก่อนที่จะมีการทำสัญญาฉบับลงวันที่ 3 พฤศจิกายนโจทก์จำเลยได้เคยทำสัญญาฉบับลงวันที่ 5 พฤษภาคม กันไว้ ซึ่งสัญญาฉบับลงวันที่ 5 พฤษภาคมนี้ก็ถือได้ว่าเป็นพยานหลักฐานที่เกี่ยวถึงข้อเท็จจริงที่โจทก์จะต้องนำสืบตามความในมาตรา 87(1) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง โจทก์จึงนำสืบสัญญาฉบับนี้ได้(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 19/2515)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1969/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบสัญญาเดิมเพื่อยืนยันสัญญาใหม่: การแสวงหาประโยชน์จากการเป็นความและผลกระทบต่อโมฆะของสัญญา
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ออกเงินค่าใช้จ่ายในการเป็นความให้จำเลยโดยมีข้อตกลงกันว่าจำเลยจะขายที่ดินที่เป็นความให้โจทก์ในราคาที่โจทก์ต้องออกค่าใช้จ่ายไป ในที่สุดจำเลยได้ที่พิพาทกลับคืนมาโจทก์จำเลยจึงทำหนังสือสัญญาซื้อขายฉบับลงวันที่ 3 พฤศจิกายน 2509 โดยจำเลยขายที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ ต่อมาจำเลยบิดพลิ้วโจทก์จึงขอให้บังคับจำเลยปฏิบัติตามข้อตกลงและสัญญาดังกล่าวศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การกระทำของโจทก์เป็นเรื่องแสวงหาประโยชน์จากการที่ผู้อื่นเป็นความกัน โดยที่โจทก์ไม่มีส่วนได้เสียในมูลคดีนั้นเลย ข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยจึงขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ตกเป็นโมฆะ โจทก์อุทธรณ์ว่าความจริงก่อนที่จำเลยจะเป็นความกับผู้มีชื่อ โจทก์ได้วางเงินมัดจำซื้อที่ดินแปลงพิพาทจากจำเลยตามหนังสือสัญญาจะซื้อขายฉบับลงวันที่ 5 พฤษภาคม 2509 โจทก์จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียและเมื่อจำเลยได้ที่พิพาทกลับคืนมา โจทก์จำเลยจึงได้นำสัญญาฉบับลงวันที่ 5 พฤษภาคม มาเขียนใหม่เป็นสัญญาฉบับลงวันที่ 3 พฤศจิกายน และโจทก์ประสงค์จะนำสืบถึงสัญญาฉบับลงวันที่ 5 พฤษภาคม เช่นนี้ จึงเห็นได้ว่าเป็นการนำสืบเพื่อแสดงว่า ก่อนที่จะมีการทำสัญญาฉบับลงวันที่ 3 พฤศจิกายนโจทก์จำเลยได้เคยทำสัญญาฉบับลงวันที่ 5 พฤษภาคม กันไว้ ซึ่งสัญญาฉบับลงวันที่ 5 พฤษภาคมนี้ก็ถือได้ว่าเป็นพยานหลักฐานที่เกี่ยวถึงข้อเท็จจริงที่โจทก์จะต้องนำสืบตามความในมาตรา 87(1) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง โจทก์จึงนำสืบสัญญาฉบับนี้ได้ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 19/2515)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1957/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องหาผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร หากจำเลยรับสารภาพฐานรับของโจร ศาลไม่สามารถลงโทษฐานลักทรัพย์ได้
โจทก์ฟ้องจำเลยสองคนฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพฐานรับของโจร ส่วนจำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธ แม้ศาลจะมิได้สั่งจำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ 2 เพื่อให้โจทก์ฟ้องเป็นคดีใหม่ และโจทก์ก็แถลงขอสืบพยานโดยมิได้แถลงยอมรับข้อเท็จจริงตามคำรับสารภาพของจำเลยที่ 1 ก็ดี ศาลก็จะฟังข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยที่ 1 ก็กระทำผิดฐานลักทรัพย์ด้วย และพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานลักทรัพย์หาได้ไม่(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 17/2515)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1939/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปลอมเอกสารสิทธิเพื่อก่อให้เกิดและระงับสิทธิเรียกร้องทางอาญา
หนังสือค่าขนส่งสินค้า และค่าเช่าเรือบรรทุกสินค้าล่วงเวลากับใบเสร็จรับเงินค่าขนส่งสินค้าและค่าเช่าเรือบรรทุกสินค้าอันเป็นหลักฐานในการก่อให้เกิดสิทธิเรียกร้อง และระงับซึ่งสิทธิเรียกร้องตามลำดับ เป็นเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1(9) การปลอมเป็นความผิดตามมาตรา 265
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1709/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาค่าเลี้ยงชีพหลังแยกทาง: สัญญาผูกพันโดยไม่ต้องจดทะเบียนเมื่อมีเจตนาชัดเจน
จำเลยทำสัญญาให้โจทก์ไว้ มีความว่า จำเลยได้เสียเป็นสามีภริยากับโจทก์มาประมาณ 10ปี แต่มิได้จดทะเบียนสมรสบัดนี้จำเลยประสงค์จะแต่งงานใหม่กับหญิงอื่น แต่โดยคุณงามความดีที่มีไมตรีต่อกันมานาน จำเลยจึงตกลงจ่ายเงินค่าเลี้ยงชีพให้แก่โจทก์เดือนละ 300 บาท ตลอดเวลาที่โจทก์ยังไม่มีสามีใหม่ ถ้าไม่ปฏิบัติตามสัญญา ขอให้โจทก์ฟ้องร้องต่อศาลหรือทางราชการกรมเจ้าสังกัดของจำเลยได้การแสดงเจตนาของจำเลย ดังนี้ มีลักษณะในทำนองที่จำเลยประสงค์จะมิให้เกิดข้อยุ่งยากขึ้นในระหว่างจำเลยกับโจทก์ในเมื่อจำเลยแต่งงานใหม่กับหญิงอื่น หาใช่การให้คำมั่นว่า จะให้ทรัพย์สินแก่โจทก์โดยเสน่หาตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 526 ประกอบด้วยมาตรา 521 ไม่ จึงมิใช่กรณีที่จะต้องมีการจดทะเบียนสัญญาต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อให้สัญญานี้มีผลบังคับ จำเลยมีหน้าที่ต้องจ่ายค่าเลี้ยงชีพให้โจทก์ตามสัญญา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1704-1705/2515 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายที่ดินโดยเจตนาลวงและการรับโอนโดยไม่สุจริต ทำให้เพิกถอนนิติกรรมได้
จำเลยที่ 1 ขอยืมที่ดินของโจทก์เพื่อนำไปจำนองเป็นประกันเงินกู้ที่จำเลยที่ 1 กู้จากธนาคาร โจทก์จึงแบ่งแยกที่ดินของโจทก์ส่วนหนึ่งแล้วใส่ชื่อจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของโดยตกลงกันว่า เมื่อจำเลยที่ 1 ชำระหนี้ธนาคารหมดแล้วจะคืนที่ดินให้โจทก์เป็นการแสดงเจตนาลวง ที่ดินยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์อยู่จำเลยตกอยู่ในความผูกพันที่จะต้องโอนที่ดินคืนให้โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะเอาที่ดินไปขายให้ผู้อื่น
จำเลยที่ 2 ที่ 3 ซื้อที่ดินจากจำเลยที่ 1 โดย ทราบถึงการแสดงเจตนาลวงเป็นการรับโอนโดยไม่สุจริต โจทก์มีสิทธิขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้
จำเลยที่ 2 ที่ 3 ซื้อที่ดินจากจำเลยที่ 1 โดย ทราบถึงการแสดงเจตนาลวงเป็นการรับโอนโดยไม่สุจริต โจทก์มีสิทธิขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้