คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
วิกรม เมาลานนท์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 503 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1463-1464/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เช็คสั่งจ่ายแก่ผู้ถือ โอนได้โดยการส่งมอบ ผู้รับโอนมีอำนาจฟ้องได้ การเล่นแชร์ไม่เกินวัตถุประสงค์นิติบุคคล
จำเลยร่วมเล่นแชร์และประมูลแชร์ได้ไปแล้ว ได้ออกเช็คไว้ให้เพื่อให้ผู้ประมูลได้ภายหลังนำไปขึ้นเงินได้ทันที เช็คพิพาทเป็นเช็คสั่งจ่ายแก่ผู้ถือ จึงโอนกันได้เพียงการส่งมอบ เมื่อโจทก์เป็นผู้เล่นแชร์วงนี้ด้วย และรับโอนเช็คเหล่านี้มาจากผู้เล่นคนอื่น ๆ โจทก์จึงเป็นผู้ทรงเช็คพิพาทโดยชอบ จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 989 และมาตรา 914
โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามเช็คดังกล่าว โดยบรรยายฟ้องว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คและจำเลยเป็นผู้สั่งจ่าย การบรรยายฟ้องของโจทก์จึงชัดเจนเพียงพอที่จะทำให้จำเลยเข้าใจสภาพแห่งข้อหาและหน้าที่ของจำเลยที่จะต้องชำระเงินตามเช็คพิพาทเหล่านี้แล้ว ไม่จำต้องบรรยายว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมายด้วยมูลหนี้อะไร มีผู้สลักหลังให้มาหรืออย่างไร ฯลฯ
การเล่นแชร์เป็นสัญญาชนิดหนึ่ง มุ่งหมุนเวียนเงินมาจับจ่ายใช้สอยโดยผลัดกันยืมแล้วผ่อนใช้ การที่ห้างหุ้นส่วนจำกัดเล่นแชร์เพื่อหาเงินมาใช้ในการดำเนินกิจการของนิติบุคคลเช่นนี้ จึงไม่เป็นการนอกเหนือวัตถุประสงค์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1408/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตถนนตามกรมธรรม์ และความรับผิดของอู่ซ่อมรถต่อทรัพย์สินหาย
อาณาเขตบนถนนในราชอาณาจักรตามกรมธรรม์ประกันภัยหมายความถึง ถนนที่รถแล่นผ่านไปมาได้ แม้ยังไม่ได้เปิดให้ใช้เป็นทางการ
ผู้รับประกันภัยเอารถที่เกิดวินาศภัยไปไว้ที่อู่ซึ่งรับงานของผู้รับประกันภัยมาทำ ต้องรับผิดในการที่อุปกรณ์ในรถหายไปในระหว่างอยู่ที่อู่นี้ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1325/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีอาญา: ผู้เสียหายโดยนิตินัยและอำนาจศาลอุทธรณ์ในการแก้ไขคำพิพากษา
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยยักยอกเงินของโจทก์ ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าโจทก์มิใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ เมื่อศาลอุทธรณ์ไม่เห็นพ้องกับคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นในปัญหาข้อกฎหมายที่อ้างเป็นเหตุยกฟ้องนั้น ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น และให้พิพากษาหรือมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี แต่ถ้าศาลอุทธรณ์เห็นสมควร ก็มีอำนาจวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นยังมิได้วินิจฉัยมานั้นไปเลยทีเดียวก็ได้ ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็นที่อุทธรณ์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1293/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เขตอำนาจศาล: ศาลอาญาพิจารณาคดีแล้ว ไม่อาจอ้างภายหลังว่าคดีไม่อยู่ในอำนาจ
โจทก์ยื่นคำฟ้องต่อศาลอาญา ศาลอาญาไต่สวนมูลฟ้องแล้วมีคำสั่งคืนฟ้องให้ไปยื่นต่อศาลที่ความผิดเกิดขึ้นและจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตอำนาจ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลอาญาให้รับคำฟ้องไว้เพื่อมีคำสั่งในเรื่องไต่สวนมูลฟ้องต่อไป ศาลอาญาจึงมีคำสั่งให้ประทับฟ้องหมายเรียกจำเลยมาศาล และจะสอบถามคำให้การตามวันนัดได้กำหนดให้โจทก์นำส่งหมายเรียก ถ้าส่งไม่ได้ให้ปิดหมาย และได้ดำเนินการสืบพยานโจทก์จำเลยจนเสร็จสำนวน ดังนี้ ย่อมถือว่าศาลอาญาได้รับพิจารณาคดีนั้นแล้ว จะกลับมาอ้างภายหลังว่าคดีไม่อยู่ในอำนาจหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1293/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เขตอำนาจศาล: ศาลอาญาเริ่มพิจารณาคดีแล้ว ไม่อาจยกเหตุไม่มีอำนาจพิจารณาได้ภายหลัง
โจทก์ยื่นคำฟ้องต่อศาลอาญา ศาลอาญาไต่สวนมูลฟ้องแล้วมึคำสั่งคืนฟ้องให้ไปยื่นต่อศาลที่ความผิดเกิดขึ้นและจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตอำนาจ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลอาญาให้รับคำฟ้องไว้เพื่อมีคำสั่งในเรื่องไต่สวนมูลฟ้องต่อไป ศาลอาญาจึงมีคำสั่งให้ประทับฟ้องหมายเรียกจำเลยมาศาล และจะสอบถามคำให้การตามวันนัด ได้กำหนดให้โจทก์นำส่งหมายเรียก ถ้าส่งไม่ได้ให้ปิดหมาย และได้ดำเนินการสืบพยานโจทก์จำเลยจนเสร็จสำนวน ดังนี้ ย่อมถือว่าศาลอาญาได้รับพิจารณาคดีนั้นแล้ว จะกลับมาอ้างภายหลังว่าคดีไม่อยู่ในอำนาจหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1238-1239/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรวมสำนวนคดีและการรอการลงโทษ: โทษจำคุกไม่เกิน 2 ปีต่อสำนวน
ในกรณีที่ศาลรวมการพิจารณาพิพากษาคดีที่จำเลยคนเดียวกันถูกฟ้องตั้งแต่ 2 สำนวนขึ้นไป คำว่า "ในคดีนั้น" ในตอนต้นของมาตรา 56 แห่งประมวลกฎหมายอาญา หมายถึงคดีแต่ละสำนวนเป็นรายคดี เมื่อกำหนดโทษจำคุกที่ศาลลงแก่จำเลยในแต่ละสำนวนตามที่ได้ลดโทษให้แล้วไม่เกิน 2 ปี และไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับโทษจำคุกมาก่อน ศาลย่อมมีอำนาจพิพากษาให้รอการลงโทษได้ถ้าเห็นเป็นการสมควร (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 7/2518)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1238-1239/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรวมสำนวนคดีและการรอการลงโทษตามมาตรา 56 ประมวลกฎหมายอาญา กรณีโทษแต่ละสำนวนไม่เกิน 2 ปี
ในกรณีที่ศาลรวมการพิจารณาพิพากษาคดีที่จำเลยคนเดียวกันถูกฟ้องตั้งแต่ 2 สำนวนขึ้นไป คำว่า "ในคดีนั้น" ในตอนต้นของมาตรา 56 แห่งประมวลกฎหมายอาญา หมายถึงคดีแต่ละสำนวนเป็นรายคดี เมื่อกำหนดโทษจำคุกที่ศาลลงแก่จำเลยในแต่ละสำนวนตามที่ได้ลดโทษให้แล้วไม่เกิน 2 ปี และไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับโทษจำคุกมาก่อน ศาลย่อมมีอำนาจพิพากษาให้รอการลงโทษได้ถ้าเห็นเป็นการสมควร
( ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 7/2518 )

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1212/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีเช่าซื้อ, อายุความค่าเสียหาย, และขอบเขตอำนาจศาลในการพิพากษาค่าเสียหายและราคาแทน
โจทก์ฟ้องคดีของโจทก์เองโดยลงชื่อ "บริษัทสยามกลการ จำกัดโดยนายปรีชาพรประภาและนายประเสริฐลีลาศเจริญ กรรมการ โจทก์"ในใบแต่งทนายความของโจทก์มีนายปรีชาพรประภา และนายประเสริฐลีลาศเจริญ กรรมการบริษัทโจทก์ลงนามและประทับตราของโจทก์เป็นการถูกต้องตามหนังสือรับรองของนายทะเบียน หอทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกลาง กรมทะเบียนการค้า กระทรวงเศรษฐการ โจทก์ไม่จำต้องนำบุคคลดังกล่าวมาเบิกความประกอบต่อศาลอีก
สัญญาเช่าซื้อระบุไว้ว่า ถ้าผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ชำระเงินงวดใด หรือผิดสัญญาข้อใด ให้สัญญาเช่าซื้อเป็นอันมีผลบังคับทันทีโดยมิต้องบอกกล่าวล่วงหน้า ข้อสัญญาดังกล่าวไม่ต้องห้ามตามกฎหมาย ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ไม่ตกเป็นโมฆะดังนั้น เมื่อจำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อตามสัญญา โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยได้
การที่จำเลยเช่าซื้อรถยนต์ของโจทก์ไปแล้วผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อและไม่ส่งมอบรถคืน ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายโดยขาดประโยชน์ที่ควรจะได้จากการนำรถออกให้เช่า การฟ้องเรียกค่าเสียหายเช่นนี้ โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องได้ภายในอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164(อ้างฎีกาที่ 601/2513)
โจทก์ขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหายในการผิดสัญญาเช่าซื้อและให้คืนรถที่เช่าซื้อไปไม่ได้มีคำขอว่า ถ้าหากจำเลยไม่ส่งคืนจะต้องใช้ราคาแทนด้วยและเป็นราคาเท่าใด ศาลชั้นต้นได้พิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์และให้จำเลยคืนรถยนต์ 3 คันที่ยังไม่ได้คืนแก่โจทก์ โจทก์ได้อุทธรณ์เฉพาะเรื่องค่าเสียหายอย่างเดียวว่าศาลกำหนดให้น้อยไป นอกจากนี้ในอุทธรณ์ของโจทก์ยังกล่าวไว้ด้วยว่า โจทก์ไม่ติดใจร้องขอต่อศาลว่า ถ้าจำเลยไมคืน (รถยนต์) จะให้ใช้ราคาแทน ศาลอุทธรณ์จึงไม่มีอำนาจที่จะวินิจฉัยในข้อที่โจทก์มิได้อุทธรณ์ และประเด็นข้อนี้มิได้ว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้นอีกด้วย ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า ถ้าจำเลยไม่คืนรถยนต์ ให้ใช้ราคาแทน จึงเป็นการมิชอบ ศาลฎีกาจึงพิพากษาแก้ ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายสำหรับรถ 3 คันที่ยังไม่ได้คืน เดือนละ 1,000 บาทต่อ 1 คันตั้งแต่วันถัดจากวันฟ้อง จนกว่าจะส่งมอบรถคืน แต่ค่าเสียหายหลังจากวันฟ้องต้องไม่เกินเกินคันละ 48,000 บาท เพียงเท่าที่รถยังอยู่ในสภาพใช้งานได้ต่อไปไม่เกิน 4 ปี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1212/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าซื้อผิดนัด-อายุความ-ค่าเสียหาย-อำนาจฟ้อง: การฟ้องเรียกค่าเสียหายจากสัญญาเช่าซื้อที่ผิดนัด และการกำหนดค่าเสียหายที่เหมาะสม
โจทก์ฟ้องคดีของโจทก์เองโดยลงชื่อ "บริษัทสยามกลการ จำกัด โดยนายปรีชา พรประภา และนายประเสริฐ ลีลาศเจริญ กรรมการ โจทก์" ในใบแต่งทนายความของโจทก์มีนายปรีชา พรประภา และนายประเสริฐ ลีลาศเจริญ กรรมการบริษัทโจทก์ลงนามและประทับตราของโจทก์เป็นการถูกต้องตามหนังสือรับรองของนายทะเบียน หอทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกลาง กรมทะเบียนการค้า กระทรวงเศรษฐการ โจทก์ไม่จำต้องนำบุคคลดังกล่าวมาเบิกความประกอบต่อศาลอีก
สัญญาเช่าซื้อระบุไว้ว่า ถ้าผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ชำระเงินงวดใด หรือผิดสัญญาข้อใด ให้สัญญาเช่าซื้อเป็นอันมีผลบังคับทันทีโดยมิต้องบอกกล่าวล่วงหน้า ข้อสัญญาดังกล่าวไม่ต้องห้ามตามกฎหมาย ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ไม่ตกเป็นโมฆะ ดังนั้น เมื่อจำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อตามสัญญา โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยได้
การที่จำเลยเช่าซื้อรถยนต์ของโจทก์ไปแล้วผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อ และไม่ส่งมอบรถคืน ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายโดยขาดประโยชน์ที่ควรจะได้จากการนำรถออกให้เช่า การฟ้องเรียกค่าเสียหายเช่นนี้ โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องได้ภายในอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164
(อ้างฎีกาที่ 601/2513)
โจทก์ขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหายในการผิดสัญญาเช่าซื้อและให้คืนรถที่เช่าซื้อไปไม่ได้มีคำขอว่า ถ้าหากจำเลยไม่ส่งคืนจะต้องใช้ราคาแทนด้วย และเป็นราคาเท่าใด ศาลชั้นต้นได้พิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ และให้จำเลยคืนรถยนต์ 3 คันที่ยังไม่ได้คืนแก่โจทก์ โจทก์ได้อุทธรณ์เฉพาะเรื่องค่าเสียหายอย่างเดียวว่าศาลกำหนดให้น้อยไป นอกจากนี้ในอุทธรณ์ของโจทก์ยังกล่าวไว้ด้วยว่า โจทก์ไม่ติดใจร้องขอต่อศาลว่า ถ้าจำเลยไม่คืน (รถยนต์) จะให้ใช้ราคาแทน ศาลอุทธรณ์จึงไม่มีอำนาจที่จะวินิจฉัยในข้อที่โจทก์มิได้อุทธรณ์ และประเด็นข้อนี้มิได้ว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้นอีกด้วย ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า ถ้าจำเลยไม่คืนรถยนต์ ให้ใช้ราคาแทน จึงเป็นการมิชอบ ศาลฎีกาจึงพิพากษาแก้ ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายสำหรับรถ 3 คันที่ยังไม่ได้คืน เดือนละ 1,000 บาทต่อ 1 คัน ตั้งแต่วันถัดจากวันฟ้อง จนกว่าจะส่งมอบรถคืน แต่ค่าเสียหายหลังจากวันฟ้องต้องไม่เกินคันละ 48,000 บาท เพียงเท่าที่รถยังอยู่ในสภาพใช้งานได้ต่อไปไม่เกิน 4 ปี.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1150/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงโทษผู้ร่วมกระทำความผิดปล้นทรัพย์โดยใช้อาวุธปืน: จำเลยที่ใช้ปืนต้องโทษหนักกว่า
ข้อความของบทบัญญัติมาตรา 340 ตรีแห่งประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งเพิ่มเติมโดยข้อ 15 ของประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 นั้นแสดงความมุ่งหมายที่จะลงโทษให้หนักขึ้นเฉพาะตัวผู้ซึ่งต้องด้วยหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้เป็นพิเศษนี้เท่านั้น มิใช่ว่าผู้ที่ร่วมกระทำการชิงทรัพย์หรือปล้นทรัพย์รายเดียวกันจะต้องระวางโทษหนักขึ้นเช่นนี้ทุกคนเสมอไปจำเลยที่ 1 ที่ 3 กับพวกร่วมกันปล้นทรัพย์ ขณะทำการปล้น จำเลยที่ 3 ได้ใช้อาวุธปืนยิงขู่ด้วย จำเลยที่ 3 จึงมีความผิดตามมาตรา 340 ตรี ต้องระวางโทษหนักกว่าโทษตามมาตรา 340 วรรคสี่อีกกึ่งหนึ่ง ส่วนจำเลยที่ 1 นั้นไม่ปรากฏว่าเป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนด้วยจึงมีความผิดตามมาตรา 340วรรคสี่เท่านั้น
of 51