พบผลลัพธ์ทั้งหมด 637 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1024/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาทำร้ายร่างกาย vs. พยายามฆ่า: การพิจารณาจากบาดแผลและพฤติการณ์
จำเลยใช้เหล็กขูดชาร์ฟแทงทำร้ายผู้เสียหาย มีบาดแผลที่เหนือสะดือและเหนือราวนมขวาไม่ปรากฏว่ามีส่วนลึกเข้าภายใน และขนาดบาดแผลยาวเพียง 0.7 เซนติเมตรเท่านั้นอาจเป็นได้ที่จำเลยแทงปัดป่ายไปมาในระยะห่างปลายเหล็กขูดชาร์ฟเฉี่ยวถูกผู้เสียหาย ผู้เสียหายรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 8 วัน กลับไปรักษาต่อที่บ้านอีก 20 วัน ระหว่างรักษาตัวที่บ้าน ผู้เสียหายสามารถไปโรงเรียนได้โดยการโดยสารรถเมล์ประจำทาง คำเบิกความของแพทย์ผู้ชันสูตรว่า บาดแผลอาจจะหายก่อน 20 วันได้ ดังนี้คดีไม่พอฟังว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย จำเลยคงมีความผิดเพียงฐานทำร้ายร่างกาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา295
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1024/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาทำร้ายร่างกาย vs. เจตนาฆ่า: การพิจารณาจากบาดแผลและพฤติการณ์
จำเลยใช้เหล็กขุดชาร์ฟแทงทำร้ายผู้เสียหาย มีบาดแผลที่เหนือสะดือและเหนือราวนมขวา ไม่ปรากฏว่ามีส่วนลึกเข้าภายใน และขนาดบาดแผลยาวเพียง 0.7 เซนติเมตรเท่านั้น อาจเป็นได้ที่จำเลยแทงปัดป่ายไปมาในระยะห่างปลายเหล็กขูดชาร์ฟเฉี่ยวถูกผู้เสียหาย ผู้เสียหายรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 8 วัน กลับไปรักษาต่อที่บ้านอีก 20 วัน ระหว่างรักษาตัวที่บ้าน ผู้เสียหายสามารถไปโรงเรียนได้โดยการโดยสารรถเมล์ประจำทาง คำเบิกความของแพทย์ผู้ชันสูตรว่า บาดแผลอาจจะหายก่อน 20 วันได้ ดังนี้คดีพอฟังได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย จำเลยคงมีความผิดเพียงฐานทำร้ายร่างกายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 941/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเรียงกระทงความผิดฐานครอบครองและจำหน่ายยาเสพติด แม้โจทก์มิได้อ้างประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
จำเลยมีเฮโรอีนอยู่ในความครอบครองอยู่แล้ว 4 หลอด ก่อนจำหน่ายเป็นความผิดสำเร็จ หลังจากจำหน่ายแล้วจำเลยยังมีเฮโรอีนเหลืออยู่ในความครอบครองอีก 2 หลอด การกระทำของจำเลยแยกได้เป็นสองกระทง แต่ละกระทงเป็นความผิดตามกฎหมาย ศาลมีอำนาจเรียงกระทงลงโทษจำเลยฐานมีเฮโรอีนไว้ในความครอบครองและฐานจำหน่ายเฮโรอีนได้ และแม้โจทก์มิได้อ้างประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 2 ซึ่งบัญญัติให้ลงโทษผู้กระทำการอันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกรรมทุกกรรมเป็นกระทงความผิดมาด้วยก็ตาม ศาลก็มีอำนาจเรียงกระทงลงโทษจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 941/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเรียงกระทงความผิดฐานครอบครองและจำหน่ายยาเสพติด แม้โจทก์มิได้อ้างประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
จำเลยมีเฮโรอีนอยู่ในความครอบครองอยู่แล้ว 4 หลอดก่อนจำหน่ายเป็นความผิดสำเร็จ หลังจากจำหน่ายแล้วจำเลยยังมีเฮโรอีนเหลืออยู่ในความครอบครองอีก 2 หลอด การกระทำของจำเลยแยกได้เป็นสองกระทง แต่ละกระทงเป็นความผิดตามกฎหมาย ศาลมีอำนาจเรียงกระทงลงโทษจำเลยฐานมีเฮโรอีนไว้ในความครอบครองและฐานจำหน่ายเฮโรอีนได้และแม้โจทก์มิได้อ้างประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 2 ซึ่งบัญญัติให้ลงโทษผู้กระทำการอันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกรรมทุกกรรมเป็นกระทงความผิดมาด้วยก็ตาม ศาลก็มีอำนาจเรียงกระทงลงโทษจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 934/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานปลอมเอกสารโดยมิได้สอบปากคำ และการลงโทษตามมาตราที่ถูกต้อง
จำเลยเขียนบันทึกคำให้การนายจุ้นฮองผู้ขอหนังสือเดินทางโดยมิได้สอบปากคำ ทั้งลงลายมือชื่อนายจุ้นฮองเอาเอง เพื่อให้ทางราชการหลงเชื่อว่าเป็นคำให้การนายจุ้นฮอง ทำให้เสียหายแก่ราชการกรมตำรวจ และกระทรวงการต่างประเทศ เป็นความผิดฐานปลอมเอกสารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 แม้โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยปลอมเอกสารราชการ ขอให้ลงโทษตามมาตรา 265 เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าเอกสารที่จำเลยทำปลอมไม่ใช่เอกสารราชการ ศาลจึงลงโทษตามมาตรา 264 ซึ่งมีอัตราโทษเบากว่าได้ และไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 934/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปลอมเอกสารโดยมิได้สอบปากคำและลงลายมือชื่อผู้อื่น ทำให้เสียหายแก่ราชการ
จำเลยเขียนบันทึกคำให้การนายจุ้นฮองผู้ขอหนังสือเดินทางโดยมิได้สอบปากคำทั้งลงลายมือชื่อนายจุ้นฮองเอาเอง เพื่อให้ทางราชการหลงเชื่อว่าเป็นคำให้การนายจุ้นฮองทำให้เสียหายแก่ราชการกรมตำรวจ และกระทรวงการต่างประเทศ เป็นความผิดฐานปลอมเอกสารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 แม้โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยปลอมเอกสารราชการ ขอให้ลงโทษตาม มาตรา 265 เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าเอกสารที่จำเลยทำปลอมไม่ใช่เอกสารราชการ ศาลก็ลงโทษตาม มาตรา 264 ซึ่งมีอัตราโทษเบากว่าได้และไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 916/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจปกครองบุตรนอกสมรส: สิทธิของมารดาในการกำหนดที่อยู่และการเรียกบุตรคืน
โจทก์กับ ล. เป็นสามีภรรยากันโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส มีบุตรด้วยกันคือ เด็กชาย ธ. เด็กชาย ธ. จึงเป็นบุตรนอกสมรส อำนาจปกครองย่อมตกอยู่กับโจทก์ผู้เป็นมารดาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1538 (5) โจทก์มีสิทธิกำหนดที่อยู่ของบุตรและเรียกบุตรคืนจากบุคคลอื่นซึ่งกักบุตรไว้โดยมิชอบด้วยกฎหมายได้ ตามมาตรา 1539 (1) (4)
การที่โจทก์ขอรับเด็กชาย ธ. คืนจากจำเลยซึ่งเป็นบิดาของ ล. ถือว่าเป็นการกำหนดที่อยู่ใหม่ของบุตร และการที่จำเลยไม่ยอมส่งมอบเด็กชาย ธ. ให้โจทก์ จนกระทั่งโจทก์ต้องร้องเรียนต่อเจ้าพนักงานตำรวจ จำเลยก็ยังไม่ยอมมอบบุตรให้โจทก์อีก ทั้ง ๆ ที่ ล. ไม่ขัดข้องที่จะให้เด็กชาย ธ. ไปอยู่กับโจทก์ ดังนี้ การกระทำของจำเลยเป็นการกักบุตรของโจทก์ไว้โดยไม่ชอบ สิทธิของโจทก์ถูกโต้แย้งแล้ว โจทก์จึงฟ้องจำเลยผู้โต้แย้งสิทธิให้ส่งมอบบุตรได้ตามมาตรา 55 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ไม่จำเป็นต้องฟ้อง ล.
การที่โจทก์ขอรับเด็กชาย ธ. คืนจากจำเลยซึ่งเป็นบิดาของ ล. ถือว่าเป็นการกำหนดที่อยู่ใหม่ของบุตร และการที่จำเลยไม่ยอมส่งมอบเด็กชาย ธ. ให้โจทก์ จนกระทั่งโจทก์ต้องร้องเรียนต่อเจ้าพนักงานตำรวจ จำเลยก็ยังไม่ยอมมอบบุตรให้โจทก์อีก ทั้ง ๆ ที่ ล. ไม่ขัดข้องที่จะให้เด็กชาย ธ. ไปอยู่กับโจทก์ ดังนี้ การกระทำของจำเลยเป็นการกักบุตรของโจทก์ไว้โดยไม่ชอบ สิทธิของโจทก์ถูกโต้แย้งแล้ว โจทก์จึงฟ้องจำเลยผู้โต้แย้งสิทธิให้ส่งมอบบุตรได้ตามมาตรา 55 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ไม่จำเป็นต้องฟ้อง ล.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 897/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของนายจ้างต่อการกระทำของลูกจ้างในทางการที่จ้าง แม้เหตุการณ์เกิดขึ้นต่อเนื่องจากภารกิจ
ลูกจ้างขับรถประจำของจำเลยขับรถยนต์ไปในทางการที่จ้างชนรถคันอื่น เจ้าหน้าที่ตำรวจสั่งให้ลูกจ้างของจำเลยขับรถยนต์ไปสถานีตำรวจเพื่อตกลงใช้ค่าเสียหาย ดังนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวเนื่องกับเหตุที่เกิดในทางการที่จ้างของจำเลย ยังไม่ขาดตอน ลูกจ้างของจำเลยขับรถชนกับรถที่บุตรโจทก์ขับ บุตรโจทก์ตาย จำเลยจึงต้องรับผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 897/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตความรับผิดของนายจ้างต่อการละเมิดของลูกจ้างขณะปฏิบัติงาน แม้หน้าที่หลักจะสิ้นสุดลงแล้ว
ลูกจ้างจำเลยขับรถยนต์ของจำเลยไปในทางการที่จ้างแล้วไปชนท้ายรถยนต์คันอื่นเสียหาย เจ้าพนักงานตำรวจเห็นว่าลูกจ้างจำเลยเป็นฝ่ายผิด จึงให้จับรถไปสถานีตำรวจเพื่อตกลงกันเรื่องค่าเสียหาย โดยเจ้าพนักงานตำรวจนั่งมาในรถด้วย ดังนี้ การที่ลูกจ้างจำเลยขับรถไปสถานีตำรวจย่อมเป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับเหตุที่ลูกจ้างจำเลยขับรถไปชนท้ายรถอื่นเกี่ยวแก่การปฏิบัติงานในทางการที่จ้างของจำเลยเป็นมูลเหตุ เมื่อลูกจ้างจำเลยขับรถด้วยความประมาทในระหว่างทางไปสถานีตำรวจชนรถยนต์ซึ่งบุตรโจทก์ขับสวนทางมา เป็นเหตุให้บุตรโจทก์ถึงแก่ความตาย จึงถือว่าลูกจ้างจำเลยกระทำละเมิดในทางการที่จ้างของจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 888/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความภาษีอากร: คำวินิจฉัยอุทธรณ์ไม่ใช่คำสั่งเรียกเก็บภาษี สิทธิเรียกร้องยังไม่ขาดอายุความ
ห้างโจทก์เป็นนิติบุคคลมีหน้าที่ต้องยื่นรายการที่จำเป็นต้องใช้ในการคำนวณภาษีพร้อมด้วยบัญชีต่าง ๆ ตามที่กฎหมายระบุไว้ต่อเจ้าพนักงานประเมินภายใน 150 วัน นับแต่วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี และถ้ามีกำไรสุทธิก็ต้องชำระเงินภาษีที่ต้องเสียต่ออำเภอพร้อมกับรายการที่ยื่นนั้นด้วย ดังบัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากร มาตรา 65, 68, 69 ดังนั้น หนี้ภาษีอากรของโจทก์ได้ถึงกำหนดชำะแล้วตั้งแต่วันที่โจทก์มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากร เมื่อนับจากวันที่โจทก์มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าว จนถึงวันที่เจ้าพนักงานประเมินสั่งให้โจทก์ชำระภาษีที่ขาดเพิ่มเติมให้ครบถ้วนยังไม่ครบ 10 ปี สิทธิเรียกร้องเก็บภาษีของกรมสรรพากรจำเลยจึงยังไม่ขาดอายุความ ส่วนที่ห้างโจทก์อุทธรณ์คำสั่งการประเมินต่อเจ้าพนักงานอุทธรณ์ และคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ แจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ให้ห้างโจทก์ทราบเมื่อพ้น 10 ปีแล้วนั้น คำวินิจฉัยอุทธรณ์เป็นเพียงข้อวินิจฉัยอุทธรณ์คำสั่งของเจ้าพนักงานประเมินว่าถูกต้องหรือไม่ ควรลดหย่อนภาษีให้ห้างโจทก์หรือไม่เท่านั้น ไม่ใช่คำสั่งเรียกเก็บภาษี ไม่ทำให้สิทธิเรียกร้องค่าภาษีขาดอายุความ