คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สนับ คัมภีรยส

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 637 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2335/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับสัญญาจำนำ/ขายฝากก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ต้องพิจารณากิริยาคู่สัญญาและกฎหมายที่ใช้บังคับก่อน
สัญญาจำนำที่ดินที่ได้ทำกันก่อนประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 ต้องบังคับตามกฎหมายที่มีอยู่ก่อน ได้แก่ พระราชบัญญัติการขายฝากและจำนำที่ดิน ร.ศ.115 และโดยเฉพาะประกาศเรื่องจำนำและขายฝากที่ดิน ร.ศ.118 ซึ่งให้ดูกิริยาที่คู่สัญญาประพฤติต่อกันว่าเป็นจำนำหรือขายฝาก แม้ในสัญญาจะมีข้อความเป็นอย่างอื่นก็ต้องถือตามกิริยาที่ประพฤติต่อกันตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 1044/2492
บิดาโจทก์ได้ตกลงกับผู้รับจำนำมอบที่พิพาทให้ไว้เอาค่าเช่าหักชำระดอกเบี้ยและค่าภาษีแล้ว บิดาโจทก์ได้อพยพไปอยู่ที่อื่นและเคยมาคิดเงินกับผู้รับจำนำเป็นบางปี บิดาโจทก์ตายไปประมาณ 30 ปีแล้ว ก่อนตายไม่เคยพูดขอไถ่จำนำเลย แสดงว่าบิดาโจทก์ได้มอบที่พิพาทให้ผู้รับจำนำทำกินต่างดอกเบี้ยมาเป็นเวลานานกว่า 10 ปีแล้ว การปฏิบัติของคู่สัญญาเช่นนี้ถือได้ว่าเป็นการขายฝาก ซึ่งประกาศเรื่องจำนำและขายฝากที่ดิน ร.ศ.118 ข้อ 6 มีข้อความว่า ในการขายฝากที่ดิน ถ้ามีข้อสัญญาจะให้ไถ่ได้เกินกว่า 10 ปีไป อย่าให้วินิจฉัยว่าไถ่ได้เมื่อพ้น10 ปีไปเลยเมื่อบิดาโจทก์ได้จำนำที่พิพาทไว้ตั้งแต่ปี 2460 และได้มอบที่พิพาทให้ผู้รับจำนำทำกินต่างดอกเบี้ยตั้งแต่ปี 2473 เป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีไปมากแล้ว ที่พิพาทจึงหลุดเป็นสิทธิแก่ผู้รับซื้อฝาก โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิไถ่ถอน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2143-2146/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองที่ดินโดยเจตนาสุจริตและการพิสูจน์ความเชื่อมั่นในกรรมสิทธิ์
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินหนองน้ำสาธารณะนายอำเภอมีคำสั่งให้ออกไป จำเลยฝ่าฝืนไม่ยอมออก ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 368จำเลยให้การปฏิเสธ แม้จะปรากฏจากคำฟ้องเองว่าจำเลยครอบครองที่ดินนั้นมานานแล้ว แต่การครอบครองมานานก็มิใช่เหตุผลที่แสดงอยู่ในตัวว่าจำเลยเชื่อมั่นโดยสุจริตใจว่าที่ดินนั้นเป็นของจำเลยเองไม่ใช่ที่สาธารณะ และแม้จำเลยจะให้การว่าที่ดินนั้นมี ส.ค.1 แล้ว ซึ่งอาจเป็นพยานหลักฐานอย่างหนึ่งแสดงว่าจำเลยครอบครองมาโดยไม่รู้ว่าเป็นที่สาธารณะได้และโจทก์แถลงรับว่าจำเลยได้ยื่น ส.ค.1 ไว้ต่อพนักงานสอบสวนจริงแต่โจทก์ก็ยังแถลงโต้แย้งอยู่ว่าที่ดินตาม ส.ค.1 ที่จำเลยอ้างนั้นเป็นคนละแห่งกับที่ที่โจทก์ฟ้อง เรื่อง ส.ค.1 อันจะเป็นเรื่องสนับสนุนข้อแก้ตัวของจำเลยจึงยังเป็นข้อโต้เถียงกันอยู่อีกเช่นกัน ตามคำฟ้องคำให้การ และคำแถลงของโจทก์ ดังนี้ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีความเชื่อมั่นโดยสุจริตใจ ว่าที่ดินเป็นของจำเลยอันจะพึงถือว่าจำเลยมีเหตุหรือข้อแก้ตัวอันสมควรที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของนายอำเภอ ที่ศาลชั้นต้นงดสืบพยานแล้วพิพากษายกฟ้องจึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 11/2517)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2143-2146/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์เจตนาสุจริตในการครอบครองที่ดินสาธารณะ: จำเป็นต้องมีการสืบพยานเพิ่มเติมเพื่อวินิจฉัย
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินหนองน้ำสาธารณะนายอำเภอมีคำสั่งให้ออกไป จำเลยฝ่าฝืนไม่ยอมออก ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 368จำเลยให้การปฏิเสธ แม้จะปรากฏจากคำฟ้องเองว่าจำเลยครอบครองที่ดินนั้นมานานแล้ว แต่การครอบครองมานานก็มิใช่เหตุผลที่แสดงอยู่ในตัวว่าจำเลยเชื่อมั่นโดยสุจริตใจว่าที่ดินนั้นเป็นของจำเลยเองไม่ใช่ที่สาธารณะ และแม้จำเลยจะให้การว่าที่ดินนั้นมี ส.ค.1 แล้ว ซึ่งอาจเป็นพยานหลักฐานอย่างหนึ่งแสดงว่าจำเลยครอบครองมาโดยไม่รู้ว่าเป็นที่สาธารณะได้ และโจทก์แถลงรับว่าจำเลยได้ยื่น ส.ค.1 ไว้ต่อพนักงานสอบสวนจริง แต่โจทก์ก็ยังแถลงโต้แย้งอยู่ว่าที่ดินตาม ส.ค.1 ที่จำเลยอ้างนั้นเป็นคนละแห่งกับที่ที่โจทก์ฟ้อง เรื่อง ส.ค.1 อันจะเป็นเรื่องสนับสนุนข้อแก้ตัวของจำเลยจึงยังเป็นข้อโต้เถียงกันอยู่อีกเช่นกัน ตามคำฟ้อง คำให้การ และคำแถลงของโจทก์ ดังนี้ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีความเชื่อมั่นโดยสุจริตใจ ว่าที่ดินเป็นของจำเลยอันจะพึงถือว่าจำเลยมีเหตุหรือข้อแก้ตัวอันสมควรที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของนายอำเภอ ที่ศาลชั้นต้นงดสืบพยานแล้วพิพากษายกฟ้อง จึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 11/2517)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2004/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของผู้รับฝาก กรณีประมาทเลินเล่อจนทรัพย์สินสูญหาย แม้ไม่มีวัตถุประสงค์รับฝาก
ผู้จัดการจำเลยเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล อนุญาตให้โจทก์จอดรถที่ปั๊มน้ำมันของจำเลย. แม้จำเลยจะไม่ได้รับบำเหน็จตอบแทนก็หาพ้นจากความรับผิดในฐานเป็นผู้รับฝากไม่
คนงานของจำเลยให้รถที่โจทก์ฝากแก่คนอื่นไปโดยมิได้ตรวจดูหนังสือที่มีผู้นำมาขอรับรถให้ดีเสียก่อนว่าเป็นลายมือชื่อของโจทก์หรือไม่ ทั้ง ๆ ที่คนขายน้ำมันของจำเลยจำลายมือโจทก์ได้ ดังนี้ เป็นการประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง จำเลยต้องรับผิดใช้คืนแก่โจทก์
โจทก์เรียกเอาทรัพย์ที่ฝากไว้กับจำเลยคืน ดังนั้น ไม่ว่าจำเลยซึ่งเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลจะมีวัตถุประสงค์ในการดำเนินการประการใด จำเลยก็มีหน้าที่จะต้องคืนให้โจทก์จะอ้างว่าผิดวัตถุประสงค์ไม่ได้
แม้ตามฟ้องโจทก์จะเรียกเอาค่าเสียหาย แต่โจทก์เรียกร้องเอาเท่ากับราคารถยนต์ จึงเป็นการเรียกเอาทรัพย์ที่ฝากคืนนั่นเองเมื่อรถสูญหายไป โจทก์จึงเรียกราคาแทน คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2004/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผู้รับฝากประมาทเลินเล่อทำให้ทรัพย์สินสูญหาย มีหน้าที่รับผิดใช้คืน แม้ไม่มีวัตถุประสงค์รับฝาก
ผู้จัดการจำเลยเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล อนุญาตให้โจทก์จอดรถที่ปั๊มน้ำมันของจำเลย. แม้จำเลยจะไม่ได้รับบำเหน็จตอบแทนก็หาพ้นจากความรับผิดในฐานเป็นผู้รับฝาก ไม่
คนงานของจำเลยให้รถที่โจทก์ฝากแก่คนอื่นไปโดยมิได้ตรวจดูหนังสือที่มีผู้นำมาขอรับรถให้ดีเสียก่อนว่าเป็นลายมือชื่อของโจทก์หรือไม่ ทั้งๆ ที่คนขายน้ำมันของจำเลยจำลายมือโจทก์ได้ ดังนี้ เป็นการประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง จำเลยต้องรับผิดใช้คืนแก่โจทก์
โจทก์เรียกเอาทรัพย์ที่ฝากไว้กับจำเลยคืน ดังนั้นไม่ว่าจำเลยซึ่งเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลจะมีวัตถุประสงค์ในการดำเนินการประการใด จำเลยก็มีหน้าที่จะต้องคืนให้โจทก์ จะอ้างว่าผิดวัตถุประสงค์ไม่ได้
แม้ตามฟ้องโจทก์จะเรียกเอาค่าเสียหาย แต่โจทก์เรียกร้องเอาเท่ากับราคารถยนต์ จึงเป็นการเรียกเอาทรัพย์ที่ฝากคืนนั่นเอง เมื่อรถสูญหายไป โจทก์จึงเรียกราคาแทน คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1963/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องร้องในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมของบุตรผู้เยาว์ แม้ไม่ได้ระบุชัดในคำฟ้อง
แม้ในตอนต้นของคำฟ้องจะมีชื่อโจทก์เพียงผู้เดียวก็ตาม แต่ปรากฏจากคำฟ้องว่า โจทก์เป็นภริยาของผู้ตายและเป็นมารดาของผู้เยาว์ทั้ง 3 คน ทั้งได้เรียกร้องค่าอุปการะเลี้ยงดูให้การศึกษาของบุตรทั้ง 3 คนนั้นด้วย จึงถือได้ว่าโจทก์ฟ้องคดีในฐานะมารดาผู้แทนโดยชอบธรรมของบุตรผู้เยาว์ด้วยแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1955/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับหนังสือทวงหนี้และการปฏิเสธหนี้เกินกำหนด แม้ส่งโดยชอบ แต่ต้องพิสูจน์การรับจริง
แม้จะถือว่าหนังสือของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้มีการส่งโดยชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 76ตั้งแต่เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2515 แล้วก็ตาม ก็ยังถือเป็นเด็ดขาดไม่ได้ว่าผู้ร้องได้รับในวันที่ส่งนั้นผู้ร้องอาจนำสืบความจริงว่าตนได้รับเมื่อใด เพื่อเป็นข้อแก้ตัวว่าตนได้ตอบปฏิเสธหนี้มาภายใน 14 วันนับแต่วันได้รับหนังสือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะยืนยันให้ถือว่าผู้ร้องไม่ปฏิเสธหนี้ภายในกำหนดในเหตุที่ว่าหนังสือของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ส่งไปยังสำนักทำการงานของผู้ร้องโดยชอบแล้วแต่ประการเดียวหาได้ไม่ แต่การที่ผู้ร้องแถลงไม่ติดใจนำพยานเข้าสืบ และมิได้นำสืบตามข้ออ้างของตนที่ว่าผู้ร้องเพิ่งทราบการเรียกร้องให้ชำระหนี้เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2515 ข้ออ้างดังกล่าวของผู้ร้องจึงไม่อาจรับฟังได้ ต้องถือว่าผู้ร้องรับทราบหนังสือทวงหนี้แล้วตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม 2515 นั่นเอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1955/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับหนังสือทวงหนี้และการปฏิเสธหนี้ภายในกำหนดตามกฎหมายล้มละลาย การไม่นำสืบทำให้ข้ออ้างไม่รับฟัง
แม้จะถือว่าหนังสือของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้มีการส่งโดยชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 76 ตั้งแต่เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2515 แล้วก็ตาม ก็ยังถือเป็นเด็ดขาดไม่ได้ว่าผู้ร้องได้รับในวันที่ส่งนั้นผู้ร้องอาจนำสืบความจริงว่าตนได้รับเมื่อใด เพื่อเป็นข้อแก้ตัวว่าตนได้ตอบปฏิเสธหนี้มาภายใน 14 วันนับแต่วันได้รับหนังสือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะยืนยันให้ถือว่าผู้ร้องไม่ปฏิเสธหนี้ภายในกำหนดในเหตุที่ว่าหนังสือของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ส่งไปยังสำนักทำการงานของผู้ร้องโดยชอบแล้วแต่ประการเดียวหาได้ไม่ แต่การที่ผู้ร้องแถลงไม่ติดใจนำพยานเข้าสืบ และมิได้นำสืบตามข้ออ้างของตนที่ว่าผู้ร้องเพิ่งทราบการเรียกร้องให้ชำระหนี้เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2515 ข้ออ้างดังกล่าวของผู้ร้องจึงไม่อาจรับฟังได้ ต้องถือว่าผู้ร้องรับทราบหนังสือทวงหนี้แล้วตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม 2515 นั่นเอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1784/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานปลอมเอกสารต้องระบุความเสียหายต่อผู้อื่นหรือประชาชน
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานปลอมและใช้เอกสารปลอมแต่ไม่ได้ระบุมาว่าการที่จำเลยปลอมเอกสารขึ้นนั้น น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน และแม้จะอ่านคำบรรยายฟ้องโจทก์โดยตลอดก็ไม่อาจทราบความหมายนี้ได้ฟ้องโจทก์ดังนี้ไม่ครบองค์ความผิดตามกฎหมายที่โจทก์ขอให้ลงโทษ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1784/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องคดีปลอมแปลงเอกสารต้องระบุความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นต่อผู้อื่นหรือประชาชน
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานปลอมและใช้เอกสารปลอมแต่ไม่ได้ระบุมาว่าการที่จำเลยปลอมเอกสารขึ้นนั้น น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน และแม้จะอ่านคำบรรยายฟ้องโจทก์โดยตลอด ก็ไม่อาจทราบความหมายนี้ได้ฟ้องโจทก์ดังนี้ไม่ครบองค์ความผิดตามกฎหมายที่โจทก์ขอให้ลงโทษ
of 64