คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สนับ คัมภีรยส

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 637 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 536/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เหตุบรรเทาโทษ: อายุ, ความรู้สึกผิดชอบน้อย, รับสารภาพ, ให้ความรู้แก่ศาล
จำเลยอายุ 19 ปี ย่อมมีความรู้สึกผิดชอบน้อย ได้กระทำผิดโดยเข้าใจว่าผู้ตายข่มเหงน้ำใจตน ศาลเห็นสมควรลดมาตราส่วนโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นลงหนึ่งในสาม
จำเลยได้กระทำความผิดแล้วมิได้หลบหนี เมื่อถูกจับก็รับสารภาพว่าได้ยิงผู้ตายจริง เป็นการลุแก่โทษต่อเจ้าพนักงานและให้ความรู้แก่ศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ถือได้ว่ามีเหตุบรรเทาโทษ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 450/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดร่วมของนายจ้างต่อละเมิดของลูกจ้าง และการประเมินค่าเสียหายที่ครอบคลุมทั้งกายและจิตใจ
จำเลยที่ 3 ได้รับสัมปทานเดินรถ และได้รับรถคันที่จำเลยที่ 1 ขับให้วิ่งร่วมในเส้นทางที่ได้รับสัมปทานมีชื่อบริษัทจำเลยที่ 3 ที่ข้างรถ จำเลยที่ 3ควบคุมการเดินรถ กำหนดอัตราค่าโดยสาร และได้รับประโยชน์ตอบแทน คือ เรียกค่าธรรมเนียมจากรถที่เข้าร่วมเส้นทางและคิดค่าจอดรถเป็นรายวัน เช่นนี้ จึงถือได้ว่าจำเลยที่ 3 ได้มีและใช้รถคันเกิดเหตุในกิจการเดินรถของจำเลยที่ 3 เมื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้ทำละเมิดเสียหายต่อโจทก์จำเลยที่ 3 ผู้เป็นนายจ้างก็ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1
ค่าจ้างนางพยาบาลเฝ้าไข้ ค่ายา ค่าจ้างรถแท็กซี่ที่ภรรยาไปเฝ้าเยี่ยมปรนนิบัติที่โรงพยาบาล ค่าจ้างรถแท็กซี่นั่งไปทำงานเพราะยังเดินไม่ได้ เป็นค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องเอาจากจำเลยได้
การที่โจทก์ต้องพิการ.ไม่สามารถเดินได้ อย่างคนธรรมดาเสียสมรรถภาพในการรับราชการทหาร ทั้งไม่สามารถทำงานหนักได้ ถือได้ว่าโจทก์สูญเสียความสามารถประกอบการงานในภายหน้า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 421/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตการลงโทษกึ่งหนึ่งของโทษประหารชีวิต: ศาลอุทธรณ์ลงโทษต่ำกว่า 12 ปีได้
โทษกึ่งหนึ่งของโทษประหารชีวิต คือจำคุกตลอดชีวิตหรือจำคุกตั้งแต่ 12 ปีถึง 20 ปี แต่การลงโทษไม่เกินกึ่งหนึ่งของโทษประหารชีวิตนั้น มิใช่ว่าจะลงโทษจำคุกต่ำกว่า 12 ปีไม่ได้การที่ศาลลงโทษจำคุก 10 ปี ก็เป็นการลงโทษไม่เกินกึ่งหนึ่งของโทษประหารชีวิต
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 7/2516 )

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 421/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตการลงโทษกึ่งหนึ่งของโทษประหารชีวิต: ศาลมีอำนาจลงโทษต่ำกว่า 12 ปีได้
โทษกึ่งหนึ่งของโทษประหารชีวิต คือจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ 12 ปีถึง20 ปี แต่การลงโทษไม่เกินกึ่งหนึ่งของโทษประหารชีวิตนั้น มิใช่ว่าจะลงโทษจำคุกต่ำกว่า 12 ปีไม่ได้ การที่ศาลลงโทษจำคุก 10 ปี ก็เป็นการลงโทษไม่เกินกึ่งหนึ่งของโทษประหารชีวิต
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 7/2516)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 355/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขรก.ถูกกล่าวหาประพฤติชั่ว แม้เกี่ยวข้องงานบริษัทเอกชน นายกฯมีอำนาจสอบสวน/ปลดออกจากราชการ ศาลไม่ชี้ขาด
โจทก์เป็นข้าราชการพลเรือน โจทก์จะต้องปฏิบัติตนตามวินัยข้าราชการพลเรือนโดยต้องรักษาชื่อเสียง มิให้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่ว เมื่อโจทก์ถูกกล่าวหาว่า ไม่รักษาชื่อเสียง อันขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วแล้ว แม้ขณะเกิดข้อพิพาท โจทก์จะได้รับคำสั่งให้ไปช่วยงานในบริษัทไทยโทรทัศน์ จำกัด จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาล ก็ย่อมมีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการทำการสอบสวนได้
จำเลยที่ 1 ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล มีคำสั่งให้ปลดโจทก์ออกจากราชการ คำสั่งของจำเลยที่ 1 เป็นคำสั่งซึ่งสั่งตามอำนาจที่มีอยู่ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนอันเป็นอำนาจของทางราชการฝ่ายบริหารจะสั่งได้โดยเฉพาะ ไม่ใช่หน้าที่ของศาลจะเข้าไปชี้ขาดในเรื่องเช่นนี้ โจทก์จะฟ้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวแล้วหาได้ไม่ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 818/2499)
โจทก์ฟ้องหาว่า จำเลยละเมิดและเรียกค่าสินไหมทดแทน แต่คำบรรยายฟ้องเกี่ยวแก่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 8 ถึง 24 ไม่ปรากฏว่าจำเลยดังกล่าวได้กระทำละเมิดต่อโจทก์อย่างไร และที่กล่าวฟ้องว่าจำเลยที่ 8 ถึง 24 ทำการประชุมด้วยความจงใจหรือประมาทเลินเล่อก็ไม่ปรากฏว่าได้กระทำอย่างไร จึงเป็นฟ้องที่ไม่แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหา ไม่ชอบที่ศาลจะรับไว้พิจารณา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 355/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจทางปกครองในการสอบสวนและสั่งปลดข้าราชการ และความชอบด้วยกฎหมายในการฟ้องละเมิด
โจทก์เป็นข้าราชการพลเรือน โจทก์จะต้องปฏิบัติตนตามวินัยข้าราชการพลเรือนโดยต้องรักษาชื่อเสียง มิให้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วเมื่อโจทก์ถูกกล่าวหาว่าไม่รักษาชื่อเสียง อันขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วแล้ว แม้ขณะเกิดข้อพิพาท โจทก์จะได้รับคำสั่งให้ไปช่วยงานในบริษัทไทยโทรทัศน์ จำกัด จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาล ก็ย่อมมีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการทำการสอบสวนได้
จำเลยที่ 1 ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล มีคำสั่งให้ปลดโจทก์ออกจากราชการ คำสั่งของจำเลยที่ 1 เป็นคำสั่งซึ่งสั่งตามอำนาจที่มีอยู่ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนอันเป็นอำนาจของทางราชการฝ่ายบริหารจะสั่งได้โดยเฉพาะ ไม่ใช่หน้าที่ของศาลจะเข้าไปชี้ขาดในเรื่องเช่นนี้ โจทก์จะฟ้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวแล้วหาได้ไม่ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 818/2499)
โจทก์ฟ้องหาว่า จำเลยละเมิดและเรียกค่าสินไหมทดแทนแต่คำบรรยายฟ้องเกี่ยวแก่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 8 ถึง 24 ไม่ปรากฏว่าจำเลยดังกล่าวได้กระทำละเมิดต่อโจทก์อย่างไร และที่กล่าวฟ้องว่าจำเลยที่ 8 ถึง 24 ทำการประชุมด้วยความจงใจหรือประมาทเลินเล่อก็ไม่ปรากฏว่าได้กระทำอย่างไร จึงเป็นฟ้องที่ไม่แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหา ไม่ชอบที่ศาลจะรับไว้พิจารณา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 333/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ บุตรฟ้องผู้จัดการมรดก: ไม่ขัดมาตรา 1534 หากฟ้องในฐานะจัดการมรดก ไม่ใช่ฐานะมารดา
บุตรเป็นโจทก์ ฟ้องมารดาในฐานะผู้จัดการมรดกเป็นจำเลยได้ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1534
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 31/2515)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 333/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องคดีระหว่างบุตรกับผู้จัดการมรดก: ไม่ขัดมาตรา 1534 หากพิพาทเกี่ยวกับกองมรดก
บุตรเป็นโจทก์ ฟ้องมารดาในฐานะผู้จัดการมรดกเป็นจำเลยได้ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1534 (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 31/2515)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 331/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากการแย่งทำนา แม้คดีเดิมยังไม่สิ้นสุด ไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173
คดีก่อนโจทก์ฟ้องว่า ป. ทำพินัยกรรมยกที่นาพิพาทให้โจทก์ จำเลยไปขอรับมรดกที่นารายนี้ โดยแจ้งเท็จว่าจำเลยยังเป็นภริยาของ ป. อยู่ เจ้าพนักงานหลงเชื่อ ได้โอนนาพิพาทให้เป็นของจำเลย ขอให้ศาลพิพากษาแสดงว่านิติกรรมโอนมรดกที่นาพิพาทเป็นโมฆะ และเพิกถอนเสีย และพิพากษาแสดงว่าโจทก์เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์และสิทธิครอบครองตามส่วนในพินัยกรรม คดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาโจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีใหม่ว่า โจทก์จะทำนาในที่พิพาทซึ่งศาลอุทธรณ์พิพากษาแล้วว่าเป็นของโจทก์ จำเลยไม่ยอมให้ทำ และจำเลยเข้าแย่งทำนาเสียทั้งหมด ขอให้บังคับให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย ดังนี้ ฟ้องคดีเรื่องใหม่เป็นฟ้องอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก หาใช่เป็นเรื่องเดียวกันกับฟ้องในคดีก่อนไม่ จึงไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 19/2515)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 331/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการแย่งทำนา หลังคดีเรื่องกรรมสิทธิ์ในที่ดินยังไม่สิ้นสุด ไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173
คดีก่อนโจทก์ฟ้องว่า ป. ทำพินัยกรรมยกที่นาพิพาทให้โจทก์จำเลยไปขอรับมรดกที่นารายนี้ โดยแจ้งเท็จว่าจำเลยยังเป็นภริยาของ ป. อยู่ เจ้าพนักงานหลงเชื่อ ได้โอนนาพิพาทให้เป็นของจำเลยขอให้ศาลพิพากษาแสดงว่านิติกรรมโอนมรดกที่นาพิพาทเป็นโมฆะและเพิกถอนเสีย และพิพากษาแสดงว่าโจทก์เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์และสิทธิครอบครองตามส่วนในพินัยกรรม คดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาโจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีใหม่ว่า โจทก์จะทำนาในที่พิพาทซึ่งศาลอุทธรณ์พิพากษาแล้วว่าเป็นของโจทก์ จำเลยไม่ยอมให้ทำ และจำเลยเข้าแย่งทำนาเสียทั้งหมด ขอให้บังคับให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย ดังนี้ ฟ้องคดีเรื่องใหม่เป็นฟ้องอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก หาใช่เป็นเรื่องเดียวกันกับฟ้องในคดีก่อนไม่ จึงไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 19/2515)
of 64