คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สนับ คัมภีรยส

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 637 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1990/2515

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนการขายทอดตลาดที่ไม่ชอบตามเงื่อนไข เจ้าพนักงานบังคับคดีต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่แจ้งผู้สู้ราคา
ศาลซึ่งได้รับมอบหมายจากศาลซึ่งพิจารณาพิพากษาคดี ให้ดำเนินการบังคับคดียึดทรัพย์และขายทอดตลาดแทนนั้น เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการขายทอดตลาดโดยไม่ชอบ และความไม่ถูกต้องของการบังคับคดีปรากฏขึ้นต่อศาลโดยชัดแจ้งศาลซึ่งดำเนินการบังคับคดีแทนนั้นย่อมมีอำนาจสั่งไต่สวนและมีคำสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาดที่กระทำโดยไม่ชอบนั้นเสียได้ เพื่อให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรมตามที่เห็นสมควรตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 หาเป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 302 ไม่
เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งเงื่อนไขให้ผู้เข้าสู้ราคาทุกคนทราบก่อนขายทอดตลาดทรัพย์ว่า. ในการสู้ราคาจะนับหนึ่งถึงสามก่อนเคาะไม้ตกลงขาย เมื่อมีผู้เสนอราคาเจ้าพนักงานบังคับคดีกลับเคาะไม้ตกลงขายไปทีเดียว โดยไม่นับหนึ่งถึงสามเสียก่อน เป็นการไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข การขายทอดตลาดนั้นจึงไม่ชอบ แม้เจ้าพนักงานบังคับคดีจะเคาะไม้ตกลงขายให้แก่ผู้สู้ราคาสูงสุด ก็หาเป็นเหตุให้การขายทอดตลาดนั้นสมบูรณ์ตามกฎหมายไม่
(วรรคแรก วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 27/2515)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1955/2515

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เหตุบรรเทาโทษจากพฤติการณ์การกระทำ แม้จำเลยมิได้อุทธรณ์ ศาลฎีกามีอำนาจปรับลดโทษได้
แม้ข้อนำสืบของจำเลยจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่การพิจารณา และถือไม่ได้ว่าเป็นเหตุบรรเทาโทษ แต่พฤติการณ์การกระทำของจำเลยเข้าลักษณะเหตุอื่นซึ่งเป็นเหตุบรรเทาโทษประการหนึ่ง ที่ศาลจะถือเป็นเหตุลดโทษให้จำเลยได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้วถึงแม้จำเลยจะมิได้ฎีกาปัญหาข้อนี้ขึ้นมา ศาลฎีกาก็มีอำนาจที่จะยกข้อที่เป็นคุณแก่จำเลยขึ้นปรับกำหนดโทษจำเลยใหม่ได้
ศาลอุทธรณ์ลดโทษให้จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 เพียงหนึ่งในสาม เมื่อศาลฎีกาเห็นสมควรก็มีอำนาจลดโทษให้ถึงกึ่งหนึ่งได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1953/2515

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เงินช่วยพิเศษข้าราชการตายมิใช่เงินมรดก แต่เงินสะสมถือเป็นมรดกของผู้ตาย
เงินช่วยพิเศษซึ่งจ่ายให้ในกรณีข้าราชการตายในระหว่างรับราชการเป็นจำนวนสามเท่าของอัตราเงินเดือน ในอัตราที่ถือจ่ายอยู่เมื่อถึงแก่ความตายนั้น มิใช่เงินเดือนของข้าราชการ แต่เป็นเงินพิเศษอีกส่วนหนึ่งซึ่งทางราชการจ่ายให้เมื่อข้าราชการผู้นั้นถึงแก่ความตายแล้ว จะตกได้แก่ผู้ใด ต้องเป็นไปตามที่พระราชกฤษฎีกาบัญญัติไว้ จึงมิใช่มรดกของข้าราชการซึ่งถึงแก่ความตาย เพราะมิใช่เป็นเงินที่ผู้ตายมีอยู่ขณะถึงแก่ความตาย
เงินสะสมเป็นเงินที่ทางราชการหักเก็บไว้จากเงินเดือนของข้าราชการทุกเดือน โดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน ซึ่งจะจ่ายคืนเมื่อข้าราชการผู้นั้นออกจากราชการ เงินสะสมจึงเป็นมรดกของข้าราชการซึ่งถึงแก่ความตาย เพราะเป็นเงินที่ผู้ตายมีอยู่ในขณะที่ถึงแก่ความตาย หากแต่ทางราชการยังไม่ได้จ่ายให้ เพราะยังไม่ถึงคราวที่จะต้องจ่าย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1927/2515

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจาร แม้ผู้เยาว์ยินยอม ศาลลงโทษตาม ม.319 ได้
หญิงผู้เสียหายอายุ 16 ปี ยังอยู่ในความปกครองของบิดามารดา จำเลยมีภรรยาและบุตรอยู่แล้ว ได้พาผู้เสียหายไปด้วยความยินยอมของผู้เสียหาย และกระทำชำเราผู้เสียหายโดยผู้เสียหายก็สมัครใจ ดังนี้ ก็ถือว่าจำเลยพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319
ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา 318 ซึ่งมีโทษหนักกว่าโดยอ้างว่าผู้เสียหายไม่เต็มใจไปด้วย ข้อเท็จจริงได้ความว่าผู้เสียหายเต็มใจไปด้วยกับจำเลย อันเป็นกรณีตามมาตรา 319 ซึ่งมีโทษเบากว่า ศาลย่อมลงโทษจำเลยตามมาตรา319 ได้ เพราะการพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร จะโดยลักษณะที่ผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยหรือไม่เต็มใจไปด้วยประมวลกฎหมายอาญาก็บัญญัติว่าเป็นความผิดอยู่แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1887-1890/2515

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระหนี้เช็คหลังธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน: คดีเลิกกันตามกฎหมาย
พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ มาตรา 5 บัญญัติว่า "ถ้าผู้กระทำความผิดตามมาตรา 3 ได้นำเงินตามจำนวนในเช็คไปชำระแก่ผู้ทรงเช็ค หรือแก่ธนาคารเพื่อจ่ายเงิน ตามเช็ค ภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ธนาคารที่มีชื่อในเช็คบอกกล่าวให้ผู้ออกเช็คได้รับทราบว่าธนาคารปฏิเสธไม่จ่ายเงิน ให้คดีเป็นอันเลิกกันตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา" ดังนี้ เมื่อคดีได้ความว่าธนาคารไม่ได้บอกกล่าวให้ผู้ออกเช็คทราบว่าธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน จึงยังไม่อาจเริ่มนับระยะเวลาตามมาตรา5 และไม่มีทางจะถือว่าพ้นกำหนดเวลาที่กำหนดไว้ได้ และเมื่อปรากฏว่าผู้ออกเช็คได้โอนทรัพย์สินให้แก่ผู้ทรงเช็คเป็นการชำระหนี้ตามเช็คกันเรียบร้อยแล้ว คดีย่อมเป็นอันเลิกกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1887-1890/2515 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระหนี้ด้วยเช็คและการเลิกคดีอาญาตาม พ.ร.บ. เช็ค หากชำระหนี้ภายในกำหนด
ออกเช็คให้เป็นการชำระหนี้ เมื่อธนาคารปฏิเสธไม่จ่ายเงินตามเช็คนั้น การกระทำของจำเลยผู้ออกเช็คย่อมเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ มาตรา 3 แล้ว แต่เมื่อปรากฏว่าจำเลยได้ชำระเงินด้วยการโอนทรัพย์สินให้แก่โจทก์ร่วมผู้ทรงเช็ค เป็นการชำระหนี้ตามเช็คนั้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งการชำระหนี้นั้นยังไม่พ้นกำหนดเวลาที่ระบุไว้ในมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค ดังนี้ คดีเป็นอันเลิกกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ต้องพิพากษายกฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1730/2515

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอนุญาตแก้ไขฟ้องและการโต้แย้งคำสั่งศาลระหว่างพิจารณาคดี รวมถึงการรับฟังสัญญาซื้อขายผลส้ม
คำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้โจทก์แก้ไขเพิ่มเติมฟ้องเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา เมื่อจำเลยไม่ได้โต้แย้งคำสั่งศาลนี้ไว้ จำเลยจะอุทธรณ์ฎีกาในปัญหานี้ไม่ได้ จำเลยจะอ้างว่าจำเลยได้ยื่นคำแถลงคัดค้านการขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องไว้ ก่อนศาลสั่งอนุญาตแล้วไม่ได้ เพราะในขณะนั้นศาลยังไม่ได้มีคำสั่ง จึงจะมีการโต้แย้งคำสั่งศาล ที่ศาลยังไม่ได้สั่งไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1709/2515

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาค่าเลี้ยงชีพหลังแยกทาง: สัญญาผูกพันโดยไม่ต้องจดทะเบียนเมื่อมีเจตนาชัดเจน
จำเลยทำสัญญาให้โจทก์ไว้ มีความว่า จำเลยได้เสียเป็นสามีภริยากับโจทก์มาประมาณ 10ปี แต่มิได้จดทะเบียนสมรสบัดนี้จำเลยประสงค์จะแต่งงานใหม่กับหญิงอื่น แต่โดยคุณงามความดีที่มีไมตรีต่อกันมานาน จำเลยจึงตกลงจ่ายเงินค่าเลี้ยงชีพให้แก่โจทก์เดือนละ 300 บาท ตลอดเวลาที่โจทก์ยังไม่มีสามีใหม่ ถ้าไม่ปฏิบัติตามสัญญา ขอให้โจทก์ฟ้องร้องต่อศาลหรือทางราชการกรมเจ้าสังกัดของจำเลยได้การแสดงเจตนาของจำเลย ดังนี้ มีลักษณะในทำนองที่จำเลยประสงค์จะมิให้เกิดข้อยุ่งยากขึ้นในระหว่างจำเลยกับโจทก์ในเมื่อจำเลยแต่งงานใหม่กับหญิงอื่น หาใช่การให้คำมั่นว่า จะให้ทรัพย์สินแก่โจทก์โดยเสน่หาตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 526 ประกอบด้วยมาตรา 521 ไม่ จึงมิใช่กรณีที่จะต้องมีการจดทะเบียนสัญญาต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อให้สัญญานี้มีผลบังคับ จำเลยมีหน้าที่ต้องจ่ายค่าเลี้ยงชีพให้โจทก์ตามสัญญา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1693/2515 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจะเช่าที่ดินสร้างสถานีบริการน้ำมัน: สัญญาไม่สมบูรณ์บังคับไม่ได้เมื่อเงื่อนไขไม่สัมฤทธิ์ผล
จำเลยทำสัญญาให้โจทก์มีสิทธิเช่าที่ดินของจำเลยเพื่อสร้างสถานีบริการจำหน่ายน้ำมัน โดยให้โจทก์มีสิทธิจะทำสัญญาเช่าเมื่อใดก็ได้ภายในหกเดือน และในกรณีที่ยังไม่ทราบผลว่าจะได้รับอนุญาตให้ตั้งได้หรือไม่ จำเลยยอมต่ออายุสัญญาให้อีกจนกว่าจะทราบผล โดยมีเงื่อนไขว่าถ้าตกลงเช่ากันแล้ว จะเช่ามีกำหนดยี่สิบปี ค่าเช่าเดือนละ สองพันบาท และโจทก์ต้องให้ค่าหน้าดินตามจำนวนที่กำหนดด้วย สัญญานี้เป็นเพียงสัญญาหรือข้อตกลงจะให้เช่าที่ดินเพื่อสร้างสถานีบริการจำหน่ายน้ำมันเท่านั้น เพราะเมื่อจะบังคับกันตามสัญญานี้ จะต้องมีการทำสัญญาเช่ากันใหม่อีกชั้นหนึ่ง โดยต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ สัญญานี้มิใช่สัญญาเช่าจึงไม่ถูกบังคับให้ต้องทำเป็นหนังสือ
แม้สัญญาหรือข้อตกลงจะให้เช่าที่ดินเพื่อสร้างสถานีบริการจำหน่ายน้ำมัน จะได้ทำเป็นหนังสือ และไม่ปรากฏชัดว่าตกลงเช่าที่ดินเพื่อตั้งสถานีบริการจำหน่าย น้ำมันของบริษัทใด จำเลยก็มีสิทธินำสืบว่า เป็นสัญญาหรือข้อตกลงที่จะตั้งสถานีบริการจำหน่ายน้ำมันของบริษัทเอสโซ่แสตนดาร์ดประเทศไทย จำกัด โดยเฉพาะได้
แม้สัญญาจะให้เช่าที่ดินจะมีเงื่อนไขว่า จำเลยยินยอมต่อสัญญาให้โจทก์อีกจนกว่าจะทราบคำสั่งจากทางราชการว่า จะอนุญาตให้ตั้งสถานีบริการจำหน่ายน้ำมันของบริษัทเอสโซ่แสตนดาร์ดประเทศไทยจำกัด ได้หรือไม่ แต่เมื่อบริษัทดังกล่าวบอกปัดข้อเสนอของโจทก์ที่จะให้บริษัทเช่าที่ดินเพื่อตั้งสถานีบริการจำหน่ายน้ำมัน ย่อมไม่มีทางที่ โจทก์จะบังคับจำเลยให้ปฏิบัติตามเงื่อนไขข้อตกลงได้เพราะเงื่อนไขนั้นไม่มีทางสัมฤทธิ์ผลเสียแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1693/2515

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจะเช่าที่ดินเพื่อสร้างสถานีบริการน้ำมัน: สิทธิและข้อจำกัดเมื่อเงื่อนไขไม่สมบูรณ์
จำเลยทำสัญญาให้โจทก์มีสิทธิเช่าที่ดินของจำเลยเพื่อสร้างสถานีบริการจำหน่ายน้ำมัน โดยให้โจทก์มีสิทธิจะทำสัญญาเช่าเมื่อใดก็ได้ภายในหกเดือน และในกรณีที่ยังไม่ทราบผลว่าจะได้รับอนุญาตให้ตั้งได้หรือไม่ จำเลยยอมต่ออายุสัญญาให้อีกจนกว่าจะทราบผล โดยมีเงื่อนไขว่าถ้าตกลงเช่ากันแล้ว จะเช่ามีกำหนดยี่สิบปี ค่าเช่าเดือนละ สองพันบาท และโจทก์ต้องให้ค่าหน้าดินตามจำนวนที่กำหนดด้วย สัญญานี้เป็นเพียงสัญญาหรือข้อตกลงจะให้เช่าที่ดินเพื่อสร้างสถานีบริการจำหน่ายน้ำมันเท่านั้น เพราะเมื่อจะบังคับกันตามสัญญานี้ จะต้องมีการทำสัญญาเช่ากันใหม่อีกชั้นหนึ่ง โดยต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ สัญญานี้มิใช่สัญญาเช่าจึงไม่ถูกบังคับให้ต้องทำเป็นหนังสือ
แม้สัญญาหรือข้อตกลงจะให้เช่าที่ดินเพื่อสร้างสถานีบริการจำหน่ายน้ำมัน จะได้ทำเป็นหนังสือ และ ไม่ปรากฏชัดว่าตกลงเช่าที่ดินเพื่อตั้งสถานีบริการจำหน่าย น้ำมันของบริษัทใด จำเลยก็มีสิทธินำสืบว่า เป็นสัญญา หรือข้อตกลงที่จะตั้งสถานีบริการจำหน่ายน้ำมันของบริษัทเอสโซ่แสตนดาร์ดประเทศไทย จำกัด โดยเฉพาะได้
แม้สัญญาจะให้เช่าที่ดินจะมีเงื่อนไขว่า จำเลยยินยอมต่อสัญญาให้โจทก์อีกจนกว่าจะทราบคำสั่งจากทางราชการว่า จะอนุญาตให้ตั้งสถานีบริการจำหน่ายน้ำมันของบริษัทเอสโซ่แสตนดาร์ดประเทศไทยจำกัด ได้หรือไม่ แต่เมื่อบริษัทดังกล่าวบอกปัดข้อเสนอของโจทก์ที่จะให้บริษัทเช่าที่ดินเพื่อตั้งสถานีบริการจำหน่ายน้ำมัน ย่อมไม่มีทางที่ โจทก์จะบังคับจำเลยให้ปฏิบัติตามเงื่อนไขข้อตกลงได้ เพราะเงื่อนไขนั้นไม่มีทางสัมฤทธิ์ผลเสียแล้ว
of 64