คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สนับ คัมภีรยส

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 637 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1585/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลลดค่าปรับนายประกันหลังผิดสัญญา แม้คดีถึงที่สุดแล้ว โดยอ้างเหตุใหม่ตามมาตรา 119
ผิดสัญญาประกันต่อศาล ศาลชั้นต้นสั่งปรับตามสัญญาประกันและนายประกันร้องขอให้ลดค่าปรับ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่ลด และมีอุทธรณ์ฎีกาต่อมาจนถึงที่สุดไปแล้วครั้งหนึ่ง ไม่มีข้อห้ามไม่ให้นายประกันร้องขอลดค่าปรับอีก โดยเหตุอื่นที่แตกต่างไปจากเหตุที่ขอลดค่าปรับคราวก่อน และเมื่อศาลชั้นต้นสั่งประการใด ก็เป็นการที่ศาลชั้นต้นสั่งบังคับตามสัญญาประกันตามอำนาจในมาตรา 119 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งศาลชั้นต้นมีอำนาจสั่งได้ตามบทกฎหมายบทนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1585/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลดค่าปรับนายประกันหลังผิดสัญญา โดยมีเหตุใหม่เกิดขึ้นภายหลัง ศาลมีอำนาจตามมาตรา 119 ป.วิ.อาญา
ผิดสัญญาประกันต่อศาล ศาลชั้นต้นสั่งปรับตามสัญญาประกันและนายประกันร้องขอให้ลดค่าปรับ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่ลด และมีอุทธรณ์ฎีกาต่อมาจนถึงที่สุดไปแล้วครั้งหนึ่ง ไม่มีข้อห้ามไม่ให้นายประกันร้องขอลดค่าปรับอีก โดยเหตุอื่นที่แตกต่างไปจากเหตุที่ขอลดค่าปรับคราวก่อน และเมื่อศาลชั้นต้นสั่งประการใด ก็เป็นการที่ศาลชั้นต้นสั่งบังคับตามสัญญาประกันตามอำนาจในมาตรา 119 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งศาลชั้นต้นมีอำนาจสั่งได้ตามบทกฎหมายบทนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1460/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การตีความสัญญาประนีประนอมยอมความเรื่องการผ่อนชำระรายเดือน หากชำระไม่ตรงตามกำหนด ถือเป็นผิดนัดได้
สัญญาประนีประนอมยอมความมีข้อความว่า จำเลยยอมผ่อนชำระเงินให้โจทก์เป็นรายเดือน ๆ ละ 1,200 บาท เริ่มแต่วันที่ 5 มิถุนายน และต่อไปภายในวันที่ 5 ของเดือน จนกว่าจะชำระเสร็จ ผิดนัด 2 งวดติดกันยอมให้บังคับคดี ปรากฏว่าในวันที่ 5 มิถุนายน จำเลยนำเงินมาผ่อนชำระตามสัญญา ครั้นถึงวันที่ 5 กรกฎาคม ครบกำหนด จำเลยไม่นำเงินมาชำระแต่พอถึงวันที่ 5 สิงหาคม จำเลยนำมาชำระ และถึงวันที่ 5 กันยายน จำเลยไม่นำมาชำระอีกดังนี้ เมื่อข้อความในสัญญาประนีประนอมยอมความมีปรากฏว่า จำเลยจะผ่อนชำระเป็นรายเดือน เริ่มต้นแต่วันที่ 5 มิถุนายน และเดือนต่อ ๆ ไปภายในวันที่ 5 ของเดือน การที่จำเลยไม่ชำระเงินภายในวันที่ 5 กรกฎาคม แต่มาชำระเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม เป็นเงินที่จำเลยชำระประจำเดือนกรกฎาคม และเงินที่จำเลยจะต้องชำระประจำเดือนสิงหาคม จึงยังคงค้างชำระอยู่ เมื่อจำเลยค้างชำระเงินประจำเดือนสิงหาคมอยู่หนึ่งเดือนแล้ว ต่อมาเมื่อภายในวันที่ 5 กันยายน จำเลยไม่ชำระอีกเช่นนี้ก็ต้องถือว่าจำเลยได้ค้างชำระในงวดประจำเดือนกันยายนด้วย จึงเป็นการผิดนัดสองงวดติดกันแล้ว ศาลย่อมออกหมายบังคับคดีให้จำเลยชำระหนี้ที่ค้างตามคำพิพากษาด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1460/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การผ่อนชำระหนี้รายเดือนตามสัญญาประนีประนอมยอมความ การชำระไม่ตรงตามกำหนดถือเป็นผิดนัด
สัญญาประนีประนอมยอมความมีข้อความว่า จำเลยยอมผ่อนชำระเงินให้โจทก์เป็นรายเดือน ๆ ละ 1,200 บาท เริ่มแต่วันที่ 5 มิถุนายนและต่อไปภายใน วันที่ 5 ของเดือนจนกว่าจะชำระเสร็จ ผิดนัด 2 งวดติดกันยอมให้บังคับคดี ปรากฏว่าในวันที่ 5 มิถุนายน จำเลยนำเงินมาผ่อนชำระตามสัญญา ครั้นถึงวันที่ 5 กรกฎาคม ครบกำหนด จำเลยไม่นำเงินมาชำระแต่พอถึงวันที่ 5 สิงหาคม จำเลยนำมาชำระและถึงวันที่ 5 กันยายน จำเลยไม่นำมาชำระอีก ดังนี้ เมื่อข้อความในสัญญาประนีประนอมยอมความมีปรากฏว่า จำเลยจะผ่อนชำระเป็นรายเดือนเริ่มต้นแต่วันที่ 5 มิถุนายน และเดือนต่อ ๆ ไปภายในวันที่ 5 ของเดือน การที่จำเลยไม่ชำระเงินภายในวันที่ 5 กรกฎาคมแต่มาชำระเมื่อวันที่ 5 สิงหาคมเป็นเงินที่จำเลยชำระประจำเดือนกรกฎาคมและเงินที่จำเลยจะต้องชำระประจำเดือนสิงหาคม จึงยังคงค้างชำระอยู่เมื่อจำเลยค้างชำระเงินประจำเดือนสิงหาคมอยู่หนึ่งเดือนแล้ว ต่อมาเมื่อภายในวันที่ 5 กันยายน จำเลยไม่ชำระอีกเช่นนี้ก็ต้องถือว่าจำเลยได้ค้างชำระในงวดประจำเดือนกันยายนด้วย จึงเป็นการผิดนัดสองงวดติดกันแล้ว ศาลย่อมออกหมายบังคับคดีให้จำเลยชำระหนี้ที่ค้างตามคำพิพากษาได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1446/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความพยายามกระทำความผิดฐานพยายามฆ่า แม้ผู้เสียหายรู้ตัวหลบหลีก แต่ยังมีโอกาสถูกยิงได้
ผู้เสียหายรู้ตัวล่วงหน้าว่าจำเลยจะมายิงจึงย้ายจากห้องที่เคยนอนไปนอนที่ระเบียงจำเลยใช้ปืนแก๊ปยิงไปตรงที่ที่ผู้เสียหายเคยนอน กระสุนปืนจึงไม่ถูกผู้เสียหาย เช่นนี้ถือว่า ผู้เสียหายรู้ตัวและหลบไปโดยบังเอิญ อีกประการหนึ่งเมื่อผู้เสียหายยังคงอยู่ในเรือน กระสุนปืนก็อาจถูกผู้เสียหายได้ การกระทำของจำเลยจึงมิใช่เป็นเรื่องที่ไม่สามารถบรรลุผลได้โดยแน่แท้ เพราะเหตุแห่งวัตถุที่มุ่งหมายกระทำต่อตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 81 แต่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 29/2513)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1446/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดพยายามฆ่า: การหลบหนีของผู้เสียหายเป็นเหตุบังเอิญ ไม่ใช่เหตุให้ความผิดไม่บรรลุผล
ผู้เสียหายรู้ตัวล่วงหน้าว่าจำเลยจะมายิงจึงย้ายจากห้องที่เคยนอนไปนอนที่ระเบียง จำเลยใช้ปืนแก๊ปยิงไปตรงที่ที่ผู้เสียหายเคยนอน กระสุนปืนจึงไม่ถูกผู้เสียหาย เช่นนี้ถือว่า ผู้เสียหายรู้ตัวและหลบไปโดยบังเอิญ อีกประการหนึ่งเมื่อผู้เสียหายยังคงอยู่ในเรือน กระสุนปืนก็อาจถูกผู้เสียหายได้ การกระทำของจำเลยจึงมิใช่เป็นเรื่องที่ไม่สามารถบรรลุผลได้โดยแน่แท้ เพราะเหตุแห่งวัตถุที่มุ่งหมายกระทำต่อ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 81 แต่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 29/2513)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1375/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายปอฟอกที่มีข้อตกลงแบ่งกำไร ไม่ถือเป็นสัญญาเข้าหุ้นส่วน หากผู้ขายไม่รับผิดชอบขาดทุน
เอกสารหมาย จ.1 ถึง จ.4 เป็นเรื่องโจทก์จำเลยทำสัญญาซื้อขายปอฟอกกัน แม้เอกสารหมาย จ.1 มีข้อความตอนหนึ่งว่า 'ปอจำนวนนี้ ข้าฯ จะส่งมาภายในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2509 เมื่อส่งครบจำนวนแล้วคิดตามราคาท้องตลาดเสร็จแล้วหักทุนออก เหลือเท่าไรจึงแบ่งฝ่ายละครึ่งของผลกำไร' ก็ตาม ก็เป็นข้อตกลงอีกอันหนึ่งว่า ภายหลังที่ขายปอให้กันแล้ว โจทก์ (ผู้ซื้อ) จะต้องแบ่งกำไรให้จำเลย(ผู้ขาย) ด้วยเท่านั้นหาทำให้สัญญาซื้อขายกลายเป็นสัญญาเข้าหุ้นส่วนไปไม่ เพราะจำเลยยอมรับแต่ผลกำไรฝ่ายเดียว เมื่อขาดทุนไม่ต้องออกด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1316/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ เมื่อถูกทำร้ายด้วยอาวุธและการใช้กำลังป้องกันตนเอง
ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืน ผู้ตายซึ่งมีรูปร่างใหญ่โตกว่าจำเลยถือก้อนหินขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางราว 2 นิ้วฟุตเศษ หนาราว 1 นิ้วฟุตวิ่งไล่ทำร้ายจำเลย ทำให้ริมฝีปากบนของจำเลยแตกทั้งด้านนอกและด้านในโลหิตไหล ฟันบนหัก 2 ซี่ จนหินกระเด็นหลุดจากมือผู้ตาย แล้วผู้ตายยังได้ชกจำเลยอีกหลายทีติด ๆ กัน จำเลยจึงชักเหล็กขูดชาร์ฟจากเอวแทงผู้ตายไปหลายที ถือได้ว่าจำเลยไม่มีโอกาสที่จะเลือกแทงผู้ตายให้ถูกในที่สำคัญได้ นอกจากกระทำไปเพื่อหยุดยั้งการกระทำของผู้ตายเท่านั้นฉะนั้นการกระทำของจำเลยตามพฤติการณ์ดังกล่าวย่อมถือได้ว่าเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1316/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ เมื่อถูกทำร้ายด้วยอาวุธอันตรายและมีขนาดตัวใหญ่กว่า
ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืน ผู้ตายซึ่งมีรูปร่างใหญ่โตกว่าจำเลย ถือก้อนหินขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางราว 2 นิ้วฟุตเศษ หนาราว 1 นิ้วฟุต วิ่งไล่ทำร้ายจำเลย ทำให้ริบฝีปากบนของจำเลยแตกทั้งด้านนอกและด้านใน โลหิตไหล ฟันบนหัก 2 ซี่ จนหินกระเด็นหลุดจากมือผู้ตาย แล้วผู้ตายยังได้ชกจำเลยอีกหลายทีติด ๆ กัน จำเลยจึงชักเหล็กขูดชาร์ฟจากเอวแทงผู้ตายไปหลายที ถือได้ว่าจำเลยไม่มีโอกาสที่จะเลือกแทงผู้ตายให้ถูกที่สำคัญได้ นอกจากกระทำไปเพื่อหยุดยั้งการกระทำของผู้ตายเท่านั้น ฉะนั้นการกระทำของจำเลยตามพฤติการณ์ดังกล่าวย่อมถือได้ว่าเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1313/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การวินิจฉัยข้อเท็จจริงขัดแย้งกับศาลชั้นต้นในคดีอาญา ทำให้การอุทธรณ์ไม่ชอบ
ในคดีที่จำเลยถูกฟ้องในข้อหายักยอกนั้น ปัญหาที่ว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตหรือไม่ หรือจำเลยเบียดบังเอาทรัพย์ของโจทก์ไว้เป็นของตนโดยทุจริตหรือไม่ เป็นปัญหาข้อเท็จจริง
เมื่อศาลอุทธรณ์รับอุทธรณ์ของโจทก์ในปัญหาข้อกฎหมายไว้พิจารณา การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายศาลอุทธรณ์จะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน ดังนั้นเมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าจำเลยไม่มีเจตนาทุจริตจะเบียดบังทรัพย์ของโจทก์ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า จำเลยเบียดบังเอาทรัพย์ของโจทก์ไว้เป็นของตนโดยทุจริต จึงเป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงที่ขัดกับข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมา ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 194
of 64