คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
อุทัย ศุภนิตย์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 251 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 556/2514

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เบิกความเท็จในคดีแพ่งเพื่อหลีกเลี่ยงการคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน
จำเลยที่ 1 และที่ 2 เบิกความอันเป็นเท็จในคดีแพ่งว่า โจทก์ซึ่งเป็นผู้เช่าห้องพิพาทและเป็นจำเลยในคดีฟ้องขับไล่ออกจากห้องพิพาทดังกล่าวเพิ่งเช่าห้องพิพาทเมื่อประมาณ พ.ศ. 2506 หรือ 2507 และ 2505 ตามลำดับซึ่งความจริงแล้วโจทก์เป็นผู้เช่าห้องพิพาทมากว่า 20 ปี และเป็นการเช่าอยู่ก่อนพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ. 2504 ประกาศใช้บังคับ โดยเจตนาเพื่อมิให้โจทก์ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติดังกล่าว เป็นการเบิกความเท็จอันเป็นข้อสำคัญในคดีเพราะระยะเวลาเริ่มต้นของสัญญาเช่าตามคำเบิกความของจำเลยซึ่งเป็นเวลาภายหลังการประกาศใช้บังคับของพระราชบัญญัติดังกล่าวหากฟังเป็นความจริงแล้ว อาจเป็นผลให้โจทก์ไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายดังกล่าวได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 556/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เบิกความเท็จในคดีแพ่งเรื่องเช่าเคหะสถาน ทำให้โจทก์เสียประโยชน์จากการคุ้มครองตามกฎหมาย
จำเลยที่ 1 และที่ 2 เบิกความอันเป็นเท็จในคดีแพ่งว่า โจทก์ซึ่งเป็นผู้เช่าห้องพิพาทและเป็นจำเลยในคดีฟ้องขับไล่ออกจากห้องพิพาทดังกล่าวเพิ่งเช่าห้องพิพาทเมื่อประมาณ พ.ศ. 2506 หรือ 2507 และ 2505 ตามลำดับซึ่งความจริงแล้วโจทก์เป็นผู้เช่าห้องพิพาทมากว่า 20 ปี และเป็นการเช่าอยู่ก่อนพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ. 2504 ประกาศใช้บังคับ โดยเจตนาเพื่อมิให้โจทก์ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติดังกล่าว เป็นการเบิกความเท็จอันเป็นข้อสำคัญในคดีเพราะระยะเวลาเริ่มต้นของสัญญาเช่าตามคำเบิกความของจำเลยซึ่งเป็นเวลาภายหลังการประกาศใช้บังคับของพระราชบัญญัติดังกล่าวหากฟังเป็นความจริงแล้ว อาจเป็นผลให้โจทก์ไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายดังกล่าวได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 551/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฆ่าผู้อื่นด้วยบันดาลโทสะ: การถูกดูหมิ่นต่อหน้าสาธารณชนเป็นเหตุให้บันดาลโทสะได้
เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าผู้ตายเคยหลอกล่วงเกินจำเลยทางประเวณีมาก่อน แล้วผู้ตายยังด่าว่าใส่ความจำเลยหาว่าจำเลยเป็นคนชั่วช้าในทางประเวณีต่อหน้าสามีของจำเลยอีก เช่นนี้ ถือได้ว่าจำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การที่จำเลยใช้ปืนยิงผู้ตายไปในขณะนั้น 6 นัดถูกผู้ตายถึงแก่ความตาย การกระทำของจำเลยย่อมเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นด้วยบันดาลโทสะ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 551/2514

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ บันดาลโทสะจากการถูกข่มเหง: ศาลลดโทษฐานจำเลยถูกด่าทออย่างร้ายแรงต่อหน้าผู้อื่น
เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าผู้ตายเคยหลอกล่วงเกินจำเลยทางประเวณีมาก่อน แล้วผู้ตายยังด่าว่าใส่ความจำเลยหาว่าจำเลยเป็นคนชั่วช้าในทางประเวณีต่อหน้าสามีของจำเลยอีก เช่นนี้ ถือได้ว่าจำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การที่จำเลยใช้ปืนยิงผู้ตายไปในขณะนั้น 6 นัดถูกผู้ตายถึงแก่ความตาย การกระทำของจำเลยย่อมเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นด้วยบันดาลโทสะ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 466-467/2514

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าขึ้นศาลคดีคัดค้านการยึดทรัพย์ในคดีล้มละลาย: พิจารณาตามทุนทรัพย์หรืออัตราธรรมดา
ผู้ร้องร้องคัดค้านการยึดทรัพย์ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์โดยอ้างว่าทรัพย์ที่ถูกยึดเป็นของผู้ร้องไม่ใช่ของผู้ล้มละลาย เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สั่งไม่ให้ถอนการยึด ผู้ร้องจึงมายื่นคำร้องต่อศาลขอให้สั่งเพิกถอนการยึดดังนี้ เป็นคดีที่จะต้องเสียค่าขึ้นศาลร้อยละสองครึ่งในจำนวนทุนทรัพย์ที่เรียกร้อง ตามความในพระราชบัญญัติล้มละลาย มาตรา 179 วรรคสุดท้ายไม่ใช่ว่าต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียง 50 บาท ตามมาตรา 179(1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 466-467/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าขึ้นศาลคดีคัดค้านการยึดทรัพย์ในคดีล้มละลาย: พิจารณาตามอัตราทุนทรัพย์หรืออัตราทั่วไป
ผู้ร้องร้องคัดค้านการยึดทรัพย์ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์โดยอ้างว่าทรัพย์ที่ถูกยึดเป็นของผู้ร้องไม่ใช่ของผู้ล้มละลาย เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สั่งไม่ให้ถอนการยึด ผู้ร้องจึงมายื่นคำร้องต่อศาลขอให้สั่งเพิกถอนการยึดดังนี้ เป็นคดีที่จะต้องเสียค่าขึ้นศาลร้อยละสองครึ่งในจำนวนทุนทรัพย์ที่เรียกร้อง ตามความในพระราชบัญญัติล้มละลาย มาตรา 179 วรรคสุดท้ายไม่ใช่ว่าต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียง 50 บาท ตามมาตรา 179(1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 459/2514

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของผู้ขายตามมาตรา 472 เมื่อเครื่องปรับอากาศชำรุดหลังการใช้งาน
ความชำรุดบกพร่องในทรัพย์สินซึ่งขาย อันผู้ขายจะต้องรับผิดต่อผู้ซื้อตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 472 นั้น จะต้องเป็นความชำรุดบกพร่องที่มีอยู่ก่อนแล้ว หรือมีอยู่ในขณะทำสัญญาซื้อขายหรือในเวลาส่งมอบทรัพย์สินที่ขาย ส่วนความชำรุดบกพร่องที่มีขึ้นภายหลังผู้ขายหาต้องรับผิดไม่
เครื่องปรับอากาศที่โจทก์ติดตั้งที่ภัตตาคารของจำเลยให้ความเย็นเรียบร้อยดีนับแต่เวลาติดตั้งตลอดมาไม่น้อยกว่า 3-4 เดือน แสดงให้เห็นว่าเครื่องปรับอากาศดังกล่าวมิได้มีความชำรุดบกพร่องอยู่ก่อน หรือในขณะทำสัญญาซื้อขาย หรือในเวลาส่งมอบเลย ฉะนั้นที่เครื่องปรับอากาศให้ความเย็นไม่พอในเวลาต่อมา จึงเป็นความชำรุดบกพร่องที่มีขึ้นภายหลังจากที่จำเลยได้รับมอบและใช้ประโยชน์มาไม่น้อยกว่า 3-4 เดือน โจทก์หาต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องนี้ไม่ และด้วยเหตุนี้จำเลยจึงไม่มีสิทธิยึดหน่วงราคาที่ยังไม่ได้ชำระตามมาตรา 488 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 459/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของผู้ขายเกี่ยวกับความชำรุดบกพร่องของสินค้า ต้องเป็นความชำรุดที่มีอยู่ก่อนหรือขณะส่งมอบ
ความชำรุดบกพร่องในทรัพย์สินซึ่งขาย อันผู้ขายจะต้องรับผิดต่อผู้ซื้อตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 472 นั้น จะต้องเป็นความชำรุดบกพร่องที่มีอยู่ก่อนแล้ว หรือมีอยู่ในขณะทำสัญญาซื้อขายหรือในเวลาส่งมอบทรัพย์สินที่ขาย ส่วนความชำรุดบกพร่องที่มีขึ้นภายหลังผู้ขายหาต้องรับผิดไม่
เครื่องปรับอากาศที่โจทก์ติดตั้งที่ภัตตาคารของจำเลยให้ความเย็นเรียบร้อยดีนับแต่เวลาติดตั้งตลอดมาไม่น้อยกว่า 3-4 เดือน แสดงให้เห็นว่าเครื่องปรับอากาศดังกล่าวมิได้มีความชำรุดบกพร่องอยู่ก่อน หรือในขณะทำสัญญาซื้อขาย หรือในเวลาส่งมอบเลย ฉะนั้นที่เครื่องปรับอากาศให้ความเย็นไม่พอในเวลาต่อมา จึงเป็นความชำรุดบกพร่องที่มีขึ้นภายหลังจากที่จำเลยได้รับมอบและใช้ประโยชน์มาไม่น้อยกว่า 3-4 เดือน โจทก์หาต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องนี้ไม่ และด้วยเหตุนี้จำเลยจึงไม่มีสิทธิยึดหน่วงราคาที่ยังไม่ได้ชำระตามมาตรา 488 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 244/2514

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ นิติกรรมสัญญาเช่าที่ดินโดยผู้ไม่มีอำนาจ ผลผูกพันต่อวัด และการเพิกถอนนิติกรรม
ตามคำฟ้องโจทก์บรรยายว่า พระภิกษุมงคลผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดน้อยนอกโจทก์ ได้เอาที่ดินวัดและที่ธรณีสงฆ์วัดน้อยนอกไปให้จำเลยเช่าแล้วมาทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยที่ศาลในระหว่างพิจารณาคดีแพ่งแดงที่ 95/2510 แต่พระภิกษุมงคลไม่มีอำนาจทำสัญญายอมได้เพราะทางการถอดถอนจากผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดน้อยนอกเสียแล้วและทั้ง ๆ ที่พระภิกษุมงคลได้ทราบถึงการที่ตนถูกถอดถอนไม่ให้มีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่ยังได้บังอาจไปจดทะเบียนการเช่าที่พิพาทให้กับจำเลย ณ หอทะเบียนที่ดินอีกด้วย จำเลยก็รู้ดีถึงการที่พระภิกษุมงคลไม่มีอำนาจ โจทก์จึงถือว่านิติกรรมดังกล่าวไม่ผูกพันโจทก์ แต่เนื่องจากจำเลยก็ยังโต้เถียงอยู่ว่า พระภิกษุมงคลได้กระทำไปโดยชอบด้วยกฎหมายมีผลผูกพันวัดโจทก์อยู่ จึงชอบที่ศาลจะให้โจทก์จำเลยนำพยานหลักฐานมาสืบต่อไปจนสิ้นกระแสความ แล้วพิพากษาไปตามรูปคดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 244/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ นิติกรรมสัญญาเช่าที่ดินโดยผู้ไม่มีอำนาจ ผลผูกพันต่อวัดและผลของการจดทะเบียน
ตามคำฟ้องโจทก์บรรยายว่า พระภิกษุมงคลผู้รักษาแทนเจ้าอาวาสวัดน้อยนอกโจทก์ ได้เอาที่ดินวัดและที่ธรณีสงฆ์วัดน้อยนอกไปให้จำเลยเช่าแล้วมาทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลย ที่ศาลในระหว่างพิจารณาคดีแพ่งแดงที่ 95/2510 แต่พระภิกษุมงคลไม่มีอำนาจทำสัญญายอมได้ เพราะทางการถอดถอนจากผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวันน้อยนอกเสียแล้ว และทั้ง ๆ ที่พระภิกษุมงคลได้ทราบถึงการที่ตนถูกถอดถอนไม่ให้มีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่ยังได้บังอาจไปจดทะเบียนการเช่าที่พิพาทให้กับจำเลย ณ หอทะเบียนที่ดินอีกด้วย จำเลยก็รู้ดีถึงการที่พระภิกษุมงคลไม่มีอำนาจ โจทก์จึงถือว่านิติกรรมดังกล่าวไม่ผูกผันโจทก์ แต่เนื่องจากจำเลยก็ยังโต้เถียงอยู่ว่า พระภิกษุมงคลได้กระทำไปโดยชอบด้วยกฎหมายมีผลผูกพันวัดโจทก์อยู่ จึงชอบที่ศาลจะให้โจทก์จำเลยนำพยานหลักฐานมาสืบต่อไปจนสิ้นกระแสความ แล้วพิพากษาไปตามรูปคดี
of 26