คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 ม. 73

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 13 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5608/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปลดจากล้มละลายต้องพิจารณาพฤติการณ์ผู้ล้มละลาย ความผิดพลาดในการบริหารงาน และความสุจริตในการจัดการทรัพย์สิน
แม้หนี้ของเจ้าหนี้ทั้งหลายที่มีต่อจำเลยจะเป็นหนี้การค้าของบริษัท อ. จำกัด ที่จำเลยเข้าเป็นผู้ค้ำประกัน แต่จำเลยมีฐานะเป็นกรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทดังกล่าว ย่อมเป็นผู้มีส่วนสำคัญในการบริหารงาน จำเลยย่อมต้องทราบดีถึงศักยภาพในการประกอบธุรกิจของบริษัท การที่บริษัทประกอบการค้าขายขาดทุนจนไม่สามารถชำระหนี้จำนวนมากแก่เจ้าหนี้ได้ ย่อมเป็นเพราะความผิดพลาดหรือประมาทขาดความรอบคอบของจำเลยเอง หลังจากศาลพิพากษาให้จำเลยล้มละลายแล้วประมาณ 9 ปี จำเลยจึงไปให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทำการสอบสวนเกี่ยวกับกิจการและทรัพย์สินของจำเลยและให้การในชั้นไต่สวนเปิดเผยต่อศาล อันเป็นระยะเวลาก่อนจำเลยยื่นคำร้องขอปลดจากล้มละลายเพียงเล็กน้อยส่อให้เห็นว่าเป็นการกระทำเพื่อหวังประโยชน์ของตนในการขอปลดจากล้มละลายโดยแท้ยิ่งกว่าประโยชน์ในการรวบรวมจัดการทรัพย์สิน นับได้ว่ามีเหตุที่ไม่สมควรปลดจำเลยจากล้มละลาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3182/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมการผู้จัดการต้องรับผิดชอบการล้มละลายของบริษัท หากบริหารงานผิดพลาดและก่อหนี้โดยไม่มีเหตุผลเพียงพอ
จำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้จัดการของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 4ถึงที่ 6 ย่อมทราบดีถึงศักยภาพในการประกอบธุรกิจของจำเลยที่ 1และจำเลยที่ 4 ถึงที่ 6 การที่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 4 ถึงที่ 6ค้าขายขาดทุนจนไม่สามารถชำระหนี้เงินกู้ยืมแก่เจ้าหนี้ได้ ย่อมเป็นเพราะความประมาทหรือความผิดพลาดของจำเลยที่ 2 ด้วย จำเลยที่ 2 ก่อหนี้ตามสัญญาค้ำประกัน โดยไม่อาจแสดงให้เป็นที่พอใจต่อศาลได้ว่าจำเลยที่ 2 มีเหตุผลที่ควรเชื่อได้ว่าจะสามารถชำระหนี้แทนจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 4 ถึงที่ 6 จึงเป็นกรณีอันควรตำหนิจำเลยที่ 2 นอกจากนั้นจำเลยที่ 2 ยังมิได้แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจตกต่ำมีผลกระทบอย่างไรแก่การประกอบธุรกิจ ซึ่งหากจำเลยที่ 2 บริหารงานไม่ผิดพลาด การค้าขายก็คงไม่ขาดทุนถึงเพียงนี้ พฤติการณ์ของจำเลยที่ 2 ต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่าจำเลยที่ 2 ขืนกระทำการค้าขายต่อไปอีกโดยรู้อยู่แล้วว่าไม่สามารถชำระหนี้ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2131/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปลดจากล้มละลายตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 ต้องพิจารณาจากทรัพย์สินที่อาจแบ่งได้แก่เจ้าหนี้ แม้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รวบรวมไม่ได้
คำสั่งคำขอปลดจากล้มละลายอาจแยกได้เป็น 2 กรณี คือ กรณีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นพิเศษ อันได้แก่ พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 71 วรรคสอง ที่บัญญัติห้ามมิให้ศาลมีคำสั่ง ปลดจากล้มละลาย ถ้าได้ความว่าเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต นอกจากจะมีเหตุผลพิเศษและลูกหนี้ได้ล้มละลายแล้วเป็นเวลา ไม่น้อยกว่า 5 ปี และตามมาตรา 72 ที่บัญญัติว่า ถ้าพิจารณาข้อเท็จจริงได้ความอย่างหนึ่งอย่างใดดังกล่าวไว้ในมาตรา 73แล้ว ให้ศาลมีคำสั่งอย่างหนึ่งอย่างใดหรือหลายอย่างตาม(1) ถึง (4) ถ้าไม่ใช่กรณีดังที่บัญญัติในมาตรา 71 วรรคสองและมาตรา 72 ดังกล่าวข้างต้นแล้วก็เป็นกรณีทั่วไปซึ่งศาลมีอำนาจมีคำสั่งอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่บัญญัติไว้ ในมาตรา 71 วรรคหนึ่ง ตามรายงานของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ความว่า มีเจ้าหนี้ ยื่นคำขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 รวม 4 ราย เป็นเงินทั้งสิ้น 2,916,766.76 บาท ต่อมาเจ้าหนี้ รายที่ 5 และที่ 7 ขอถอนคำขอรับชำระหนี้คงเหลือเจ้าหนี้ รายที่ 2 ที่ได้รับอนุญาตให้ได้รับชำระหนี้ 240,301.37 บาท และ เจ้าหนี้รายที่ 9 ที่ได้รับอนุญาตให้ได้รับชำระหนี้ 132,305 บาท จำเลยที่ 2 มีที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง แต่ถูก เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยึดและขายทอดตลาดชำระหนี้ จำนองให้แก่ธนาคารทหารไทย จำกัด เจ้าหนี้ผู้รับจำนองหลังจากศาลมีคำสั่งให้ปิดคดีเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่สามารถรวบรวมทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ได้อีก แสดงว่าจำเลยที่ 2 มีสินทรัพย์เหลือไม่ถึงห้าสิบในร้อยของหนี้ที่ไม่มีประกัน เหตุที่เป็นเช่นนั้นไม่ใช่เป็นเหตุสุดวิสัย แต่เป็นเพราะความประมาทหรือความผิดพลาดของจำเลยที่ 2 ที่ยอมทำสัญญาค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 อันควรตำหนิจำเลยที่ 2มากกว่า และจำเลยที่ 2 ไม่อาจแสดงให้เป็นที่พอใจต่อศาลได้ว่า จำเลยที่ 2 มีเหตุผลที่ควรเชื่อได้ว่า หากจำเลยที่ 1ไม่ชำระหนี้ จำเลยที่ 2 สามารถชำระหนี้แทนจำเลยที่ 1 ได้จึงได้ยอมก่อหนี้ตามสัญญาค้ำประกัน ข้อเท็จจริงต้องด้วยข้อกำหนดมาตรา 73(1) จึงเป็นกรณีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นพิเศษ ให้ศาลมีคำสั่งอย่างหนึ่งอย่างใดหรือหลายอย่างตามมาตรา 72(1)ถึง (4) ศาลจะมีคำสั่งปลดจากล้มละลายโดยไม่มีเงื่อนไขไม่ได้ ต้องมีคำสั่งปลดจากล้มละลายตามวิธีที่บัญญัติไว้ในมาตรา 72(4) เท่านั้นทั้งไม่ใช่กรณีทั่วไปที่ศาลมีอำนาจมีคำสั่งปลดจาก ล้มละลายตามมาตรา 71 วรรคหนึ่ง ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 73(1)ที่ระบุว่าสินทรัพย์ของบุคคลล้มละลายที่อาจแบ่งแก่เจ้าหนี้ได้มีเหลือไม่ถึงห้าสิบในร้อยของหนี้ที่ไม่มีประกันหมายความว่า ในขณะที่บุคคลล้มละลายร้องขอต่อศาลเพื่อขอให้มีคำสั่ง ปลดจากล้มละลาย บุคคลล้มละลายมีทรัพย์สินที่อาจแบ่งแก่เจ้าหนี้ได้ไม่ถึงห้าสิบในร้อยของหนี้ที่ไม่มีประกัน การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่สามารถรวบรวมทรัพย์สินของ จำเลยที่ 2 ได้หลังจากศาลมีคำสั่งปิดคดี ย่อมอยู่ในความหมาย ของมาตรา 73(1) ดังกล่าว เมื่อข้อเท็จจริงได้ความตาม มาตรา 73(1) ศาลจึงต้องมีคำสั่งอย่างหนึ่งอย่างใดหรือ หลายอย่างตามมาตรา 72(1) ถึง (4)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2131/2542 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปลดจากล้มละลาย: กรณีพิเศษตามมาตรา 73 (1) พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 และอำนาจศาล
คำสั่งคำขอปลดจากล้มละลายอาจแยกได้เป็น 2 กรณี คือ กรณีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นพิเศษ อันได้แก่ พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 71วรรคสอง ที่บัญญัติห้ามมิให้ศาลมีคำสั่งปลดจากล้มละลาย ถ้าได้ความว่าเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต นอกจากจะมีเหตุผลพิเศษและลูกหนี้ได้ล้มละลายแล้วเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี และตามมาตรา 72 ที่บัญญัติว่า ถ้าพิจารณาข้อเท็จจริงได้ความอย่างหนึ่งอย่างใดดังกล่าวไว้ในมาตรา 73 แล้ว ให้ศาลมีคำสั่งอย่างหนึ่งอย่างใดหรือหลายอย่างตาม (1) ถึง (4) ถ้าไม่ใช่กรณีดังที่บัญญัติในมาตรา 71 วรรคสอง และมาตรา 72ดังกล่าวข้างต้นแล้วก็เป็นกรณีทั่วไปซึ่งศาลมีอำนาจมีคำสั่งอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 71 วรรคหนึ่ง
ตามรายงานของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ความว่า มีเจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 รวม 4 ราย เป็นเงินทั้งสิ้น2,916,766.76 บาท ต่อมาเจ้าหนี้รายที่ 5 และที่ 7 ขอถอนคำขอรับชำระหนี้คงเหลือเจ้าหนี้รายที่ 2 ที่ได้รับอนุญาตให้ได้รับชำระหนี้ 240,301.37 บาท และเจ้าหนี้รายที่ 9 ที่ได้รับอนุญาตให้ได้รับชำระหนี้ 132,305 บาท จำเลยที่ 2 มีที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง แต่ถูกเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยึดและขายทอดตลาดชำระหนี้จำนองให้แก่ธนาคารทหารไทย จำกัด เจ้าหนี้ผู้รับจำนอง หลังจากศาลมีคำสั่งให้ปิดคดีเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่สามารถรวบรวมทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ได้อีก แสดงว่าจำเลยที่ 2 มีสินทรัพย์เหลือไม่ถึงห้าสิบในร้อยของหนี้ที่ไม่มีประกัน เหตุที่เป็นเช่นนั้นไม่ใช่เป็นเหตุสุดวิสัย แต่เป็นเพราะความประมาทหรือความผิดพลาดของจำเลยที่ 2ที่ยอมทำสัญญาค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 อันควรตำหนิจำเลยที่ 2 มากกว่า และจำเลยที่ 2 ไม่อาจแสดงให้เป็นที่พอใจต่อศาลได้ว่า จำเลยที่ 2 มีเหตุผลที่ควรเชื่อได้ว่า หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้ จำเลยที่ 2 สามารถชำระหนี้แทนจำเลยที่ 1 ได้จึงได้ยอมก่อหนี้ตามสัญญาค้ำประกัน ข้อเท็จจริงต้องด้วยข้อกำหนดมาตรา 73 (1)จึงเป็นกรณีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นพิเศษให้ศาลมีคำสั่งอย่างหนึ่งอย่างใดหรือหลายอย่างตามมาตรา 72 (1) ถึง (4) ศาลจะมีคำสั่งปลดจากล้มละลายโดยไม่มีเงื่อนไขไม่ได้ ต้องมีคำสั่งปลดจากล้มละลายตามวิธีที่บัญญัติไว้ในมาตรา 72 (4) เท่านั้นทั้งไม่ใช่กรณีทั่วไปที่ศาลมีอำนาจมีคำสั่งปลดจากล้มละลายตามมาตรา 71 วรรคหนึ่ง
ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 73 (1) ที่ระบุว่าสินทรัพย์ของบุคคลล้มละลายที่อาจแบ่งแก่เจ้าหนี้ได้มีเหลือไม่ถึงห้าสิบในร้อยของหนี้ที่ไม่มีประกันหมายความว่า ในขณะที่บุคคลล้มละลายร้องขอต่อศาลเพื่อขอให้มีคำสั่งปลดจากล้มละลาย บุคคลล้มละลายมีทรัพย์สินที่อาจแบ่งแก่เจ้าหนี้ได้ไม่ถึงห้าสิบในร้อยของหนี้ที่ไม่มีประกัน การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่สามารถรวบรวมทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ได้หลังจากศาลมีคำสั่งปิดคดี ย่อมอยู่ในความหมายของมาตรา 73 (1)ดังกล่าว เมื่อข้อเท็จจริงได้ความตามมาตรา 73 (1) ศาลจึงต้องมีคำสั่งอย่างหนึ่งอย่างใดหรือหลายอย่างตามมาตรา 72 (1) ถึง (4)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2131/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปลดจากล้มละลายตามมาตรา 73(1) พ.ร.บ.ล้มละลายฯ: ทรัพย์สินที่อาจแบ่งได้ไม่ถึง 50% ของหนี้
คำสั่งคำขอปลดจากล้มละลายอาจแยกได้เป็น 2 กรณีคือ กรณีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นพิเศษ พระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 71 วรรคสอง ที่ห้ามมิให้ศาลมีคำสั่งปลดจาก ล้มละลาย ถ้าได้ความว่าเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต นอกจากจะมี เหตุผลพิเศษและลูกหนี้ได้ล้มละลายแล้วเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี และตามมาตรา 72 ที่กำหนดว่าถ้าพิจารณาข้อเท็จจริงได้ความ อย่างหนึ่งอย่างใดดังกล่าวไว้ในมาตรา 73 แล้ว ให้ศาลมีคำสั่ง อย่างหนึ่งอย่างใดหรือหลายอย่างตาม (1) ถึง (4) ถ้าไม่ใช่กรณี ดังกล่าวแล้วก็เป็นกรณีทั่วไปซึ่งศาลมีอำนาจมีคำสั่ง อย่างหนึ่งอย่างใดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 71 วรรคหนึ่ง เมื่อข้อเท็จจริงต้องด้วยข้อกำหนดตามมาตรา 73(1) จึงเป็น กรณีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นพิเศษให้ศาลมีคำสั่งอย่างหนึ่งอย่างใด หรือหลายอย่างตามมาตรา 72(1) ถึง (4) ศาลจะมีคำสั่งปลดจากล้มละลายโดยไม่มีเงื่อนไขไม่ได้ ต้องมีคำสั่งปลดจากล้มละลายตามวิธีที่บัญญัติไว้ในมาตรา 72(4) เท่านั้น กรณีพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 73(1) ระบุว่า สินทรัพย์ของบุคคลล้มละลายที่อาจแบ่งแก่เจ้าหนี้ได้มีเหลือ ไม่ถึงห้าสิบในร้อยของหนี้ที่ไม่มีประกันนั้นหมายความว่า ในขณะที่บุคคลล้มละลายร้องขอต่อศาลเพื่อขอให้มีคำสั่งปลดจาก ล้มละลายบุคคลล้มละลายมีทรัพย์สินที่อาจแบ่งแก่เจ้าหนี้ได้ ไม่ถึงห้าสิบในร้อยของหนี้ที่ไม่มีประกันการที่เจ้าพนักงาน พิทักษ์ทรัพย์ไม่สามารถรวบรวมทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ได้หลังจาก ศาลมีคำสั่งปิดคดี ย่อมอยู่ในความหมายของมาตรา 73(1) ดังกล่าว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เต็มจำนวนหนี้ซึ่งยังไม่ได้ชำระให้เสร็จ ภายในกำหนดเวลา 2 ปี นับแต่วันที่มีคำสั่งตามมาตรา 72(4) จึงชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2846/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปลดจากล้มละลายต้องพิจารณาความผิดพลาดในการบริหารงานและเจตนาของผู้ล้มละลาย
ศาลจะมีคำสั่งปลดจากล้มละลาย จะต้องพิจารณาข้อเท็จจริงให้ได้ความอย่างหนึ่งอย่างใดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 73 แล้วจึงมีคำสั่งอย่างหนึ่งอย่างใดหรือหลายอย่างตามมาตรา 72(1) ถึง (4) การที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 มีทรัพย์สินเหลือไม่ถึงห้าสิบในร้อยของหนี้ที่ไม่มีประกันไม่ใช่ผลธรรมดาอันเนื่องมาจากการค้าขายขาดทุนและไม่เป็นเหตุสุดวิสัย แต่เป็นเพราะความผิดพลาดในการบริหารงานของจำเลยทั้งสองและจำเลยทั้งสองไม่อาจแสดงให้เป็นที่พอใจต่อศาลอันมีเหตุผลที่ควรเชื่อได้ว่าจำเลยทั้งสองสามารถชำระหนี้โจทก์ได้จึงได้ก่อหนี้ขึ้นเป็นจำนวนมาก ทั้งมิได้นำบัญชีในการประกอบธุรกิจและงบดุลประจำปีในระยะเวลา 3 ปี ก่อนล้มละลายมาแสดงต่อศาลเพื่อให้เห็นฐานะของกิจการโดยถูกต้องตามจริง พฤติการณ์ของจำเลยทั้งสองต้องด้วยข้อสันนิษฐานตามมาตรา 74 ว่าจำเลยทั้งสองขืนกระทำการค้าขายต่อไปอีกโดยรู้อยู่แล้วว่าไม่สามารถชำระหนี้ได้ เมื่อข้อเท็จจริงต้องด้วยข้อกำหนดตามมาตรา 73(1) และ (3)ประกอบกับโจทก์คัดค้าน จึงนับว่ามีเหตุที่ไม่สมควรปลดจำเลยทั้งสองจากล้มละลาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2846/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปลดจากล้มละลาย: พิจารณาจากทรัพย์สิน, การบริหารจัดการ, และความสามารถในการชำระหนี้
ศาลชั้นต้น พิพากษา ให้ จำเลย ที่ 1 และ ที่ 3 เป็น บุคคล ล้มละลาย เมื่อ นับ ถึง วันที่ จำเลย ที่ 2 และ ที่ 3 ยื่น คำร้องขอ ปลด จาก ล้มละลาย เป็น เวลา เพียง 2 ปี 7 เดือน เศษ เจ้าพนักงาน พิทักษ์ทรัพย์ รวบรวม ทรัพย์สิน ของ จำเลย ทั้ง สาม และ ทำ บัญชี ส่วนแบ่ง ให้ โจทก์ ได้รับ ชำระหนี้ เพียง ครั้งเดียว เป็น เงิน 729,785.96 บาท หรือ คิด เป็น ร้อยละ 1.54 ของ หนี้ ทั้งหมด โจทก์ ยัง มีสิทธิ ได้รับ ชำระหนี้ อีก 46,568,912.44 บาท และ เจ้าพนักงาน พิทักษ์ทรัพย์ ไม่สามารถ รวบรวม ทรัพย์สิน ของ จำเลย ทั้ง สาม ได้ อีก และ การ ที่ จำเลย ที่ 2 และ ที่ 3 มี ทรัพย์สิน เหลือ ไม่ถึง ห้า สิบ ใน ร้อย ของ หนี้ ที่ ไม่มี ประกัน ไม่ใช่ ผล ธรรมดา อัน เนื่องมาจาก การค้า ขาย ขาดทุน และ ไม่ใช่ เป็นเหตุ สุดวิสัย แต่ เป็น เพราะ ความผิด พลาด ใน การ บริหาร งาน ของ จำเลย ที่ 2 และ ที่ 3 อันควร จะ ตำหนิ จำเลย ที่ 2 และ ที่ 3 นอกจาก นี้ จำเลย ที่ 2 และ ที่ 3 ไม่อาจ แสดง ให้ เป็น ที่ พอใจ ต่อ ศาล ได้ว่า จำเลย ที่ 2 และ ที่ 3 มีเหตุ ผล ที่ ควร เชื่อ ได้ว่า ตน สามารถ ชำระหนี้ โจทก์ ได้ จึง ได้ ก่อหนี้ ขึ้น เป็น จำนวน มาก ทั้ง มิได้ นำ บัญชี ใน การ ประกอบ ธุรกิจ และ งบดุล ประจำปี ใน ระยะเวลา 3 ปี ก่อน ล้มละลาย มา แสดง ต่อ ศาล เพื่อ ให้ เห็น ฐานะ ของ กิจการ โดย ถูกต้อง ตาม จริง พฤติการณ์ ของ จำเลย ที่ 2 และ ที่ 3 ต้องด้วย สันนิษฐาน ตาม พระราชบัญญัติ ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 74 ว่า จำเลย ที่ 2 และ ที่ 3 ขืน กระทำการ ค้าขาย ต่อไป อีก โดย รู้ อยู่ แล้ว ว่า ไม่สามารถ จะ ชำระหนี้ ได้ ต้องด้วย ข้อกำหนด มาตรา 73(1) และ (3) ประกอบ กับ โจทก์ คัดค้าน การ ขอ ปลด จาก ล้มละลาย ของ จำเลย ที่ 2 และ ที่ 3 จึง นับ ว่า มีเหตุ ที่ ไม่สมควร ปลด จำเลย ที่ 2 และ ที่ 3 จาก ล้มละลาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2840/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขอปลดจากล้มละลายถูกปฏิเสธเนื่องจากความผิดพลาดในการบริหารจัดการทรัพย์สินและเจตนาฉ้อฉล
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 เป็นบุคคลล้มละลาย เมื่อนับถึงวันที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ยื่นคำร้องขอปลดจากล้มละลายเป็นเวลาเพียง 2 ปี 7 เดือนเศษเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รวบรวมทรัพย์สินของจำเลยทั้งสามและทำบัญชีส่วนแบ่งให้โจทก์ได้รับชำระหนี้เพียงครั้งเดียวเป็นเงิน 729,785.96 บาท หรือคิดเป็นร้อยละ 1.54 ของหนี้ทั้งหมดโจทก์ยังมีสิทธิได้รับชำระหนี้อีก46,568,912.44 บาท และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่สามารถรวบรวมทรัพย์สินของจำเลยทั้งสามได้อีก และการที่จำเลยที่ 2และที่ 3 มีทรัพย์สินเหลือไม่ถึงห้าสิบในร้อยของหนี้ที่ไม่มีประกัน ไม่ใช่ผลธรรมดาอันเนื่องมาจากการค้าขายขาดทุนและไม่ใช่เป็นเหตุสุดวิสัย แต่เป็นเพราะความผิดพลาดในการบริหารงานของจำเลยที่ 2 และที่ 3 อันควรจะตำหนิจำเลยที่ 2และที่ 3 นอกจากนี้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่อาจแสดงให้เป็นที่พอใจต่อศาลได้ว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 มีเหตุผลที่ควรเชื่อได้ว่าตนสามารถชำระหนี้โจทก์ได้ จึงได้ก่อหนี้ขึ้นเป็นจำนวนมากทั้งมิได้นำบัญชีในการประกอบธุรกิจและงบดุลประจำปี ในระยะเวลา 3 ปี ก่อนล้มละลายมาแสดงต่อศาลเพื่อให้เห็นฐานะของกิจการโดยถูกต้องตามจริง พฤติการณ์ของจำเลยที่ 2 และที่ 3ต้องด้วยสันนิษฐานตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 74 ว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 ขืนกระทำการค้าขายต่อไปอีกโดยรู้อยู่แล้วว่าไม่สามารถจะชำระหนี้ได้ต้องด้วยข้อกำหนดมาตรา 73(1) และ (3) ประกอบกับโจทก์คัดค้านการขอปลดจากล้มละลายของจำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงนับว่ามีเหตุที่ไม่สมควรปลดจำเลยที่ 2 และที่ 3 จากล้มละลาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6369/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิคัดค้านการประนอมหนี้ของเจ้าหนี้ และการสันนิษฐานว่าผู้ล้มละลายกระทำการโดยรู้ว่าไม่สามารถชำระหนี้ได้
ตาม พ.ร.บ.ล้มละลายฯ มาตรา 52 วรรคสอง เจ้าหนี้ที่ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้แล้วมีอำนาจคัดค้านต่อศาลได้ ถึงแม้จะได้เคยออกเสียงลงมติยอมรับไว้ในที่ประชุมเจ้าหนี้ก็ตาม ผู้คัดค้านซึ่งเป็นเจ้าหนี้ที่ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้แล้วไม่ได้เข้าประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรก จึงไม่ได้คัดค้านการประนอมหนี้ แต่ได้ยื่นคำคัดค้านการประนอมหนี้ไว้ก่อนศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยการประนอมหนี้ เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งเห็นชอบด้วยการประนอมหนี้ ผู้คัดค้านย่อมมีอำนาจอุทธรณ์ได้ จำเลยที่ 1 ให้การต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ว่า จำเลยที่ 1ไม่มีทรัพย์สินใด ๆ และจำเลยที่ 1 ไม่ได้ทำบัญชีแสดงกิจการต้นทุนกำไรย้อนหลังไป 3 ปีนับแต่วันถูกพิทักษ์ทรัพย์ ส่วนจำเลยที่ 2ให้การต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ว่า ไม่มีทรัพย์สินส่วนตัวที่มิได้ใช้ในการประกอบธุรกิจ ภริยาจำเลยที่ 2 ไม่ได้ประกอบอาชีพและไม่มีทรัพย์สิน และในการประกอบกิจการค้าขาย จำเลยที่ 2ไม่ได้ทำบัญชีแสดงการขาดทุนกำไร ย่อมเห็นได้ว่า ก่อนล้มละลายจำเลยทั้งสองมีทรัพย์สินไม่พอกับหนี้สินและไม่สามารถนำบัญชีและงบดุลประจำปีมาแสดงต่อศาลได้สำหรับระยะเวลา 3 ปี ก่อนล้มละลายโดยไม่มีเหตุสมควร ต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่าจำเลยทั้งสองได้ขืนทำการค้าต่อไปอีกโดยรู้อยู่แล้วว่าไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามมาตรา 74(2)(ข),73,72, และ 53 ศาลย่อมสั่งไม่เห็นชอบด้วยคำขอประนอมหนี้ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 621/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปลดจากการล้มละลายเมื่อชำระหนี้เกิน 50% และไม่มีทรัพย์สินเหลือ แม้หนี้ยังเหลืออยู่
เมื่อลูกหนี้ได้ใช้หนี้ให้แก่เจ้าหนี้เกินกว่าร้อยละ 50 แล้ว และทรัพย์สินของลูกหนี้ก็ไม่มีที่จะรวบรวมมาใช้หนี้ต่อไปจนกระทั่งปิดคดีล้มละลายแล้ว เจ้าหนี้และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ก็ไม่คัดค้านในการที่ลูกหนี้ขอปลดจากการล้มละลาย แม้ลูกหนี้จะยังมีหนี้อีกมากก็ไม่ใช่เหตุที่ศาลจะไม่สั่งปลดจากการล้มละลายได้
of 2