คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ถนอม ครูไพศาล

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 469 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 256/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขาดนัดพิจารณาคดี: ศาลไม่ต้องเลื่อนสืบพยานจำเลย หากจำเลยไม่มาศาลหลังสืบพยานโจทก์เสร็จ
ในวันนัดสืบพยานโจทก์ซึ่งมีหน้าที่นำสืบก่อนจำเลยและทนายจำเลยทราบวันนัดสืบพยานโจทก์แล้ว มิได้มาศาล ทั้งมิได้แจ้งเหตุขัดข้องหรือร้องขอเลื่อนคดี ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 202 บัญญัติให้ศาลมีคำสั่งแสดงว่า จำเลยขาดนัดพิจารณาแล้วพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีไปฝ่ายเดียว ส่วนความในมาตรา 205 นั้นจะเป็นในวรรค 2 หรือ 3 ก็หมายความเฉพาะกรณีที่จำเลยมาศาลในระหว่างการพิจารณาคดีฝ่ายเดียว จึงจะพิจารณาว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาโดยจงใจหรือไม่ ถ้ามาศาลเมื่อพ้นระยะเวลาที่จะนำพยานของตนเข้าสืบแล้ว ก็ไม่อนุญาตให้จำเลยสืบพยานของตนได้ คดีนี้ศาลสืบพยานโจทก์เสร็จแล้ว จำเลยก็มิได้มาศาล จึงมิใช่กรณีที่จะให้สืบพยานจำเลยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 205 วรรค 3 (1) แม้จำเลยจะได้ยื่นคำให้การและบัญชีระบุพยานไว้ ต้องถือว่าคดีเสร็จการพิจารณา ศาลพิพากษาไปได้ (อ้างฎีกาที่ 131/2509)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 195/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ปล้นทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะ: ศาลลงโทษ แต่ไม่ริบยานพาหนะของจำเลย
จำเลยทั้งสามนั่งรถจักรยานยนต์คันเดียวกัน ตามรถผู้เสียหายมายิงผู้เสียหายและเอารถจักรยานยนต์ที่ผู้เสียหายนั่งมานั้นไปศาลลงโทษจำเลยฐานปล้นทรัพย์ตามมาตรา340 ตรี แต่ไม่ริบรถจักรยานยนต์ของจำเลย ซึ่งใช้เป็นพาหนะทำให้ต้องรับโทษหนักขึ้นเท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 59/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาล: ศาลพลเรือนรับฟ้องคดีทหารไม่ได้ แม้ผู้ต้องหาเป็นทหารประจำการ
ตามฟ้องระบุยศจำเลยเป็นพันโทและบรรยายว่าพนักงานสอบสวนมอบตัวจำเลยแก่ผู้บังคับบัญชาฝ่ายทหารรับไปแสดงว่าจำเลยเป็นทหารประจำการอยู่ในอำนาจศาลทหารตาม พระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหารฯปรากฏแต่แรกศาลรับฟ้องไว้แล้วไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นตาม มาตรา15 วรรค 2 ศาลพลเรือนรับพิจารณาพิพากษาไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2810/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมต้องมีพยานลงชื่อรับรองลายพิมพ์นิ้วมือครบถ้วนจึงมีผลบังคับใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความมีพยานลงชื่อรับรองลายพิมพ์นิ้วมือสองคนคู่สัญญาคนหนึ่งมาลงลายพิมพ์นิ้วมือให้ในภายหลังซึ่งพยานรับรองลายพิมพ์นิ้วมือที่ได้ลงชื่อเป็นพยานไว้ก่อนไม่รู้เห็นด้วย จึงเป็นลายพิมพ์นิ้วมือที่ไม่มีพยานลงลายมือชื่อรับรองไว้ด้วยสองคน สัญญาประนีประนอมดังกล่าวไม่เป็นหลักฐานเป็นหนังสือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 851 ประกอบด้วย มาตรา 9 วรรค 3 จะใช้ฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้แม้เรื่องนี้จะมิได้ยกขึ้นว่ากันมา แต่ก็เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลยกขึ้นวินิจฉัยได้ เมื่อเห็นสมควร

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2728/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำสั่งศาลให้งดสืบพยานและการโต้แย้งคดี: ผลกระทบต่อสิทธิอุทธรณ์ และอำนาจฟ้อง
คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานคู่ความเมื่อสืบตัวโจทก์ยังไม่จบ แล้วสอบถามข้อเท็จจริงจากคู่ความและพิพากษาคดีโดยอาศัยข้อเท็จจริงที่ได้ความ ถือไม่ได้ว่าเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในข้อกฎหมายอันทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 ซึ่งถือว่าไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามมาตรา 227 คำสั่งดังกล่าวจึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามมาตรา 226 และระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยานถึงวันนัดฟังคำพิพากษาจำเลยมีโอกาสโต้แย้งคำสั่งได้ (มีคำสั่งวันที่ 23 พฤษภาคม 2518 นัดฟังคำพิพากษา 30 พฤษภาคม 2518) แต่หาได้โต้แย้งไม่ จำเลยจึงไม่มีสิทธิ์อุทธรณ์คำสั่งนี้ได้
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ที่ที่จำเลยปลูกเล้าไก่คือที่พิพาท ที่พิพาทเป็นของโจทก์ร่วม โจทก์เช่าที่พิพาทจากโจทก์ร่วม ดังนั้น แม้โจทก์จะยังไม่ได้ครอบครองที่พิพาท แต่โจทก์ได้เรียกโจทก์ร่วมซึ่งเป็นผู้ให้เช่าเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมแล้ว โจทก์และโจทก์ร่วมย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยออกไปจากที่พิพาทได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2728/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำสั่งศาลให้งดสืบพยานและอำนาจฟ้อง: การที่จำเลยไม่โต้แย้งคำสั่งศาลทันที ทำให้เสียสิทธิอุทธรณ์ และโจทก์มีอำนาจฟ้อง
คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานของคู่ความเมื่อสืบตัวโจทก์ยังไม่จบ แล้วสอบถามข้อเท็จจริงจากคู่ความและพิพากษาคดีโดยอาศัยข้อเท็จจริงที่ได้ความ ถือไม่ได้ว่าเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในข้อกฎหมายอันทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 ซึ่งถือว่าไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามมาตรา 227 คำสั่งดังกล่าวจึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามมาตรา 226 และระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยานถึงวันนัดฟังคำพิพากษาจำเลยมีโอกาสโต้แย้งคำสั่งได้ (มีคำสั่งวันที่ 23 พฤษภาคม 2518 นัดฟังคำพิพากษา 30 พฤษภาคม 2518) แต่หาได้โต้แย้งไม่ จำเลยจึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนี้ได้
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ที่ที่จำเลยปลูกเล้าไก่คือที่พิพาท ที่พิพาทเป็นของโจทก์ร่วม โจทก์เช่าที่พิพาทจากโจทก์ร่วม ดังนั้น แม้โจทก์จะยังไม่ได้ครอบครองที่พิพาทแต่โจทก์ได้เรียกโจทก์ร่วมซึ่งเป็นผู้ให้เช่าเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมแล้ว โจทก์และโจทก์ร่วมย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยออกไปจากที่พิพาทได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2707/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานลักทรัพย์ รับของโจร และปลอมแปลงเอกสารสิทธิ์ ศาลฎีกายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
เมื่อศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 กระทำผิดฐานรับของโจร มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 จำคุก 1 ปี ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 กระทำผิดฐานลักทรัพย์ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 จำคุก 1 ปี คดีต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2517 มาตรา 6 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
จำเลยที่ 1 ไม่มีหน้าที่เก็บเงินและได้ออกจากงานไปแล้วก่อนเกิดเหตุ ได้ไปเรียกเก็บเงินค่าหนังสือพิมพ์จากลูกค้าของผู้เสียหายโดยจำเลยที่ 1 กรอกข้อความในใบเสร็จรับเงิน และลงชื่อเป็นผู้รับเงิน ลูกค้าของผู้เสียหายหลงเชื่อจึงมอบเงินให้ไป เป็นการกระทำที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ลูกค้าและผู้เสียหาย เป็นความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิ์ เพราะใบเสร็จรับเงินเป็นหลักฐานแห่งการระงับซึ่งสิทธิ์ และเมื่อจำเลยที่ 1 ใช้เอกสารสิทธิ์ปลอมดังกล่าวโดยมอบให้แก่ลูกค้าของผู้เสียหาย จึงเป็นความผิดฐานใช้เอกสารสิทธิ์ปลอมด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2707/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาห้ามวินิจฉัยข้อเท็จจริงต่างจากศาลชั้นต้น และความผิดฐานปลอมแปลงเอกสารสิทธิ
เมื่อศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 กระทำผิดฐานรับของโจรมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 จำคุก 1 ปี ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิดฐานลักทรัพย์ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา334 จำคุก 1 ปี คดีต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 8) พ.ศ.2517 มาตรา 6 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
จำเลยที่ 1 ไม่มีหน้าที่เก็บเงินและได้ออกจากงานไปแล้วก่อนเกิดเหตุ ได้ไปเรียกเก็บเงินค่าหนังสือพิมพ์จากลูกค้าของผู้เสียหายโดยจำเลยที่ 1 กรอกข้อความในใบเสร็จรับเงิน และลงชื่อเป็นผู้รับเงิน ลูกค้าของผู้เสียหายหลงเชื่อจึงมอบเงินให้ไป เป็นการกระทำที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ลูกค้าและผู้เสียหาย เป็นความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิเพราะใบเสร็จรับเงินเป็นหลักฐานแห่งการระงับซึ่งสิทธิ และเมื่อจำเลยที่ 1 ใช้เอกสารสิทธิปลอมดังกล่าวโดยมอบให้แก่ลูกค้าของผู้เสียหาย จึงเป็นความผิดฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2627/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโต้แย้งกรรมสิทธิ์ที่ดินสาธารณประโยชน์และการห้ามฎีกาข้อเท็จจริงในคดีที่มีทุนทรัพย์น้อย
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินของโจทก์ที่จำเลยเช่าและให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้างกับค่าเสียหายรวมเป็นเงิน19,200 บาท จำเลยให้การว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณะโจทก์ไม่มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครอง จำเลยครอบครองที่พิพาทมาเกิน 1 ปี โจทก์เรียกค่าเสียหายมากเกินไป ดังนี้ จำเลยมิได้ให้การกล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ และมิได้ยกข้อโต้เถียงในเรื่องแปลความหมายแห่งข้อความในสัญญาที่ก่อให้เกิดสิทธิบนอสังหาริมทรัพย์นั้น ศาลชั้นต้นฟังว่าที่พิพาทไม่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พิพากษาขับไล่จำเลยและให้ชำระค่าเช่าที่ค้าง 2,000 บาท กับค่าเสียหาย 13,342.90 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะค่าเช่าที่ค้างกับค่าเสียหายให้จำเลยชำระรวมเป็นเงิน 8,522.21 บาทเป็นการแก้ไขเล็กน้อย คดีนี้ทุนทรัพย์ไม่เกินห้าหมื่นบาท และที่พิพาทในขณะยื่นคำฟ้องมีอัตราค่าเช่าไม่เกินเดือนละห้าพันบาท ต้องห้ามฎีกาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(ฉบับที่ 6) พ.ศ.2518 มาตรา 6
จำเลยฎีกาว่า ได้มีการแจ้งการครอบครองที่พิพาทเมื่อพ.ศ.2498 ซึ่งเป็นเวลาภายหลังประกาศใช้พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามที่ดินอำเภอเมืองสมุทรปราการและอำเภอเมืองสมุทรสาครฯ พุทธศักราช 2481 ที่พิพาทเดิมจึงเป็นที่รกร้างว่างเปล่าเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามพระราชกฤษฎีกาการแจ้งการครอบครอง ไม่มีผลทำให้ที่พิพาทเป็นที่มีเจ้าของ และจำเลยนำสืบฟังได้ว่าที่พิพาทน้ำทะเลท่วมถึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ดังนี้ เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงว่า ตามที่โจทก์นำสืบฟังไม่ได้ว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินที่มีการครอบครองมาก่อนพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวใช้บังคับหากแต่ฟังได้ว่าเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินดังจำเลยนำสืบจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2494-2495/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการขอแก้ไขคำสั่งศาล: ผู้ไม่เป็นคู่ความในคดี ไม่มีสิทธิขอแก้ไขข้อผิดพลาดเล็กน้อย
ช. กับพวกร้องคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าการเลือกตั้งได้กระทำไปโดยชอบแล้ว เว้นแต่ผู้สมัครซึ่งได้รับเลือกตั้งอันดับที่ 18 นั้นได้รับเลือกตั้งโดยมิชอบ คดีถึงที่สุด อ. ยื่นคำร้องว่าตนเองเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งด้วย ขอให้แก้ไขคำสั่งที่ผิดพลาดเล็กน้อยในคดีนี้ และสั่งเลื่อนอันดับของ อ.ผู้ร้องเป็นอันดับที่18ดังนี้เมื่ออ. ผู้ร้องมิได้เป็นผู้ยื่นคำร้องคัดค้านหรือถูกคัดค้านการเลือกตั้ง จึงมิใช่คู่ความในคดี ไม่มีสิทธิที่จะร้องขอให้แก้ไขข้อผิดพลาดหรือข้อผิดหลงเล็กน้อยในคำสั่งของศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 143
of 47