พบผลลัพธ์ทั้งหมด 469 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1902/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การงดบังคับคดีชั่วคราวเมื่อยังไม่มีการบังคับคดีและคดีหักลบลบหนี้ยังไม่ถึงที่สุด
ศาลพิพากษาให้จำเลยชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ ศาลชั้นต้นออกคำบังคับแล้วยังไม่ได้ออกหมายบังคับคดี เมื่อไม่ปรากฏว่าได้มีการบังคับคดีตามคำพิพากษาอันจะต้องมีการขายทอดตลาดหรือจำหน่ายทรัพย์ของจำเลย โดยวิธีอื่น กรณีก็ไม่ต้องด้วยประมวลกฎมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 293 ในอันที่จำเลยจะขอให้งดการบังคับคดีไว้ก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1902/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การงดบังคับคดีเมื่อยังไม่มีการบังคับคดีจริงและมีคดีหักล้างหนี้
ศาลพิพากษาให้จำเลยชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ ศาลชั้นต้นออกคำบังคับ แล้วแต่ยังไม่ได้ออกหมายบังคับคดี เมื่อไม่ปรากฏว่าได้มีการบังคับคดีตามคำพิพากษาอันจะต้องมีการขายทอดตลาดหรือจำหน่ายทรัพย์ของจำเลยโดยวิธีอื่น กรณีก็ไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 293 ในอันที่จำเลยจะขอให้งดการบังคับคดีไว้ก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1860/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีอาญาหยุดการพิจารณาเมื่อจำเลยเสียชีวิตระหว่างดำเนินคดี โจทก์ไม่จำเป็นต้องขอถอนฎีกา
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 โจทก์ฎีกา ในระหว่างที่ศาลชั้นต้นส่งสำเนาฎีกาให้จำเลยที่ 2 ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ถึงแก่กรรม ศาลชั้นต้นส่งสำนวนให้ศาลฎีกาพิจารณาดังนี้ คดีสำหรับจำเลยที่ 2 ระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (1) โดยโจทก์ไม่จำต้องขอถอนฎีกา ศาลฎีกาย่อมมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1860/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีอาญาหยุดระงับเมื่อจำเลยถึงแก่กรรม โจทก์ไม่ต้องถอนฎีกา ศาลจำหน่ายคดี
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 โจทก์ฎีกา ในระหว่างที่ศาลชั้นต้นส่งสำเนาฎีกาให้จำเลยที่ 2 ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ถึงแก่กรรม ศาลชั้นต้นส่งสำนวนให้ศาลฎีกาพิจารณา ดังนี้ คดีสำหรับจำเลยที่ 2 ระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(1) โดยโจทก์ไม่จำต้องขอถอนฎีกา ศาลฎีกาย่อมมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจาก สารบบความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1846/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การมีครอบครองซากสัตว์ป่าคุ้มครอง แม้ประดิษฐ์เป็นเครื่องประดับ ก็ยังคงเป็นความผิดตามกฎหมาย
เขาสัตว์ป่าของกลางที่จับได้จากจำเลย แม้จะเป็นเขาสัตว์ป่าที่จำเลยนำไปติดกับรูปหัวสัตว์ซึ่งประดิษฐ์ด้วยไม้สักทำเป็นเครื่องประดับแล้วก็ตาม ก็ยังมีสภาพเป็นเขาสัตว์อยู่เช่นเดิมมิได้เปลี่ยนสภาพเป็นวัตถุอย่างอื่นจึงเป็นซากของสัตว์ป่าตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 228 ข้อ 1
จำเลยมีเขากวาง 3 คู่ เขากระทิง 1 คู่ เขาวัวแดง 1 คู่ อันเป็นซากของสัตว์ป่าคุ้มครองชนิดที่ห้ามมิให้ผู้ใดค้าหรือมีไว้ในครอบครอง กับมีเขาละมั่ง 3 คู่เขาเลียงผา 1 คู่ อันเป็นซากของสัตว์ป่าสงวน ซึ่งมิได้อยู่ในข้อยกเว้นตามกฎหมายให้มีได้ไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียว เป็นความผิดกฎหมายหลายบท
จำเลยมีเขากวาง 3 คู่ เขากระทิง 1 คู่ เขาวัวแดง 1 คู่ อันเป็นซากของสัตว์ป่าคุ้มครองชนิดที่ห้ามมิให้ผู้ใดค้าหรือมีไว้ในครอบครอง กับมีเขาละมั่ง 3 คู่เขาเลียงผา 1 คู่ อันเป็นซากของสัตว์ป่าสงวน ซึ่งมิได้อยู่ในข้อยกเว้นตามกฎหมายให้มีได้ไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียว เป็นความผิดกฎหมายหลายบท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1846/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การมีครอบครองซากสัตว์ป่าคุ้มครอง แม้ประดิษฐ์เป็นเครื่องประดับ ก็ยังมีความผิดตาม พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
เขาสัตว์ป่าของกลางที่จับได้จากจำเลย แม้จะเป็นเขาสัตว์ที่จำเลยนำไปติดกับรูปหัวสัตว์ซึ่งประดิษฐ์ด้วยไม้สักทำเป็นเครื่องประดับแล้วก็ตาม ก็ยังมีสภาพเป็นเขาสัตว์อยู่เช่นเดิมมิได้เปลี่ยนสภาพเป็นวัตถุอย่างอื่น จึงเป็นซากของสัตว์ป่าตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 228 ข้อ 1
จำเลยมีเขากวาง 3 คู่ เขากระทิง 1 คู่ เขาวัวแดง 1 คู่ อันเป็นซากของสัตว์ป่าคุ้มครองชนิดที่ห้ามมิให้ผู้ใดค้าหรือมีไว้ในครอบครอง กับมีเขาละมั่ง 3 คู่ เขาเลียงผา 1 คู่ อันเป็นซากของสัตว์ป่าสงวน ซึ่งมิได้อยู่ในข้อยกเว้นตามกฎหมายให้มีได้ไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียว เป็นความผิดกฎหมายหลายบท
จำเลยมีเขากวาง 3 คู่ เขากระทิง 1 คู่ เขาวัวแดง 1 คู่ อันเป็นซากของสัตว์ป่าคุ้มครองชนิดที่ห้ามมิให้ผู้ใดค้าหรือมีไว้ในครอบครอง กับมีเขาละมั่ง 3 คู่ เขาเลียงผา 1 คู่ อันเป็นซากของสัตว์ป่าสงวน ซึ่งมิได้อยู่ในข้อยกเว้นตามกฎหมายให้มีได้ไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียว เป็นความผิดกฎหมายหลายบท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1824/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประกันภัยค้ำจุน: ผู้รับประกันภัยไม่ต้องรับผิดหากผู้เอาประกันภัยไม่มีส่วนต้องรับผิดในความเสียหาย
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 887วรรคหนึ่งผู้รับประกันภัยค้ำจุนจะต้องรับผิดในวินาศภัยที่เกิดขึ้นแก่บุคคลอีกคนหนึ่ง ก็ต่อเมื่อผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบสำหรับวินาศภัยที่เกิดขึ้นนั้น
โจทก์ฟ้องว่า จ. ลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ขับรถโดยประมาทชนรถที่โจทก์รับประกันภัยไว้เสียหาย โจทก์ซ่อมแซมความเสียหายแล้ว จึงฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ซึ่งรับประกันภัยค้ำจุนรถคันที่ชนร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ดังนี้ เมื่อทางพิจารณาได้ความว่า ก. เป็นผู้เอาประกันภัยรถคันที่ชนไว้กับจำเลยที่ 2 มิใช่จำเลยที่ 1 เป็นผู้เอาประกัน ส่วน จ. เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 มิได้เป็นลูกจ้างของ ก. ด้วยทั้งโจทก์ก็มิได้นำสืบว่า ก. มีส่วนจะต้องรับผิดในวินาศภัยที่เกิดขึ้นอย่างไร การที่ ก. เป็นแต่เพียงผู้เอาประกันภัยจะถือว่า ก. ต้องเป็นผู้รับผิดชอบในวินาศภัยที่เกิดขึ้นด้วยไม่ได้ เมื่อ ก. ผู้เอาประกันภัยไม่ต้องรับผิดชอบในผลแห่งการละเมิดที่จะก่อให้เกิดขึ้นแล้ว จำเลยที่ 2ผู้รับประกันภัยค้ำจุนจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายเช่นกัน
โจทก์ฟ้องว่า จ. ลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ขับรถโดยประมาทชนรถที่โจทก์รับประกันภัยไว้เสียหาย โจทก์ซ่อมแซมความเสียหายแล้ว จึงฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ซึ่งรับประกันภัยค้ำจุนรถคันที่ชนร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ดังนี้ เมื่อทางพิจารณาได้ความว่า ก. เป็นผู้เอาประกันภัยรถคันที่ชนไว้กับจำเลยที่ 2 มิใช่จำเลยที่ 1 เป็นผู้เอาประกัน ส่วน จ. เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 มิได้เป็นลูกจ้างของ ก. ด้วยทั้งโจทก์ก็มิได้นำสืบว่า ก. มีส่วนจะต้องรับผิดในวินาศภัยที่เกิดขึ้นอย่างไร การที่ ก. เป็นแต่เพียงผู้เอาประกันภัยจะถือว่า ก. ต้องเป็นผู้รับผิดชอบในวินาศภัยที่เกิดขึ้นด้วยไม่ได้ เมื่อ ก. ผู้เอาประกันภัยไม่ต้องรับผิดชอบในผลแห่งการละเมิดที่จะก่อให้เกิดขึ้นแล้ว จำเลยที่ 2ผู้รับประกันภัยค้ำจุนจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายเช่นกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1824/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้รับประกันภัยค้ำจุน: ผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจึงจะทำให้ผู้รับประกันภัยต้องรับผิดด้วย
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 887 วรรคหนึ่ง ผู้รับประกันภัยค้ำจุนจะต้องรับผิดในวินาศภัยที่เกิดขึ้นแก่บุคคลอีกคนหนึ่ง ก็ต่อเมื่อผู้เอาประกันภัยจะตองรับผิดชอบสำหรับวินาศภัยที่เกิดขึ้นนั้น
โจทก์ฟ้องว่า จ.ลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ขับรถโดยประมาทชนรถที่โจทก์รับประกันภัยไว้เสียหาย โจทก์ซ่อมแซมความเสียหายแล้ว จึงฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ซึ่งรับประกันค้ำจุนรถคันที่ชนร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ดังนี้ เมื่อทางพิจารณาได้ความว่า ก. เป็นผู้เอาประกันภัยรถคันที่ชนไว้กับจำเลยที่ 2 มิใช่จำเลยที่ 1 เป็นผู้เอาประกัน ส่วนจ. เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 มิได้เป็นลูกจ้างของ ก.ด้วย ทั้งโจทก์ก็มิได้สืบนำสืบว่า ก.มีส่วนจะต้องรับผิดในวินาศภัยที่เกิดขึ้นอย่างไร การที่ ก. เป็นแต่เพียงผู้เอาประกันภัยจะถือว่า ก. ต้องเป็นผู้รับผิดชอบในวินาศภัยที่เกิดขึ้นด้วยไม่ได้ เมื่อ ก. ผู้เอาประกันภัยไม่ต้องรับผิดชอบในผลแห่งการละเมิด ที่จะก่อให้เกิดขึ้นแล้ว จำเลยที่ 2 ผู้รับประกันภัยค้ำจุนจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย เช่นกัน
โจทก์ฟ้องว่า จ.ลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ขับรถโดยประมาทชนรถที่โจทก์รับประกันภัยไว้เสียหาย โจทก์ซ่อมแซมความเสียหายแล้ว จึงฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ซึ่งรับประกันค้ำจุนรถคันที่ชนร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ดังนี้ เมื่อทางพิจารณาได้ความว่า ก. เป็นผู้เอาประกันภัยรถคันที่ชนไว้กับจำเลยที่ 2 มิใช่จำเลยที่ 1 เป็นผู้เอาประกัน ส่วนจ. เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 มิได้เป็นลูกจ้างของ ก.ด้วย ทั้งโจทก์ก็มิได้สืบนำสืบว่า ก.มีส่วนจะต้องรับผิดในวินาศภัยที่เกิดขึ้นอย่างไร การที่ ก. เป็นแต่เพียงผู้เอาประกันภัยจะถือว่า ก. ต้องเป็นผู้รับผิดชอบในวินาศภัยที่เกิดขึ้นด้วยไม่ได้ เมื่อ ก. ผู้เอาประกันภัยไม่ต้องรับผิดชอบในผลแห่งการละเมิด ที่จะก่อให้เกิดขึ้นแล้ว จำเลยที่ 2 ผู้รับประกันภัยค้ำจุนจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย เช่นกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1733/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เช็คพิพาท: การโอนเช็คด้วยการส่งมอบ และสิทธิของผู้ทรงเช็คแม้เช็คไม่ได้ลงวันที่
เช็คพิพาทเป็นเช็คที่ น. สั่งจ่ายแก่ผู้ถือ ย่อมโอนไปเพียงด้วยส่งมอบให้กันเมื่อตกมาอยู่ในความครอบครองของโจทก์โดยฐานเป็นผู้รับเงิน โจทก์จึงเป็นผู้ทรงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 904 และ น. เป็นผู้ลงลายมือชื่อในเช็คย่อมจะต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็คนั้นตามมาตรา 900 ที่โจทก์กล่าวในฟ้องว่า น. สั่งจ่ายเช็คเพื่อชำระหนี้เงินกู้ให้โจทก์ (ต่อมา น.ถึงแก่กรรม โจทก์ขอให้จำเลยในฐานะทายาทผู้รับมรดกชำระหนี้) แต่จำเลยปฏิเสธนั้นจะเท็จจริงอย่างไรไม่สำคัญ เพราะเป็นรายละเอียดไม่จำต้องบรรยายฟ้องว่าโจทก์ได้รับเช็คมาอย่างไร เมื่อเช็คพิพาทเป็นเช็คที่ออกโดยมีมูลหนี้แม้มิได้ลงวันที่สั่งจ่าย โจทก์ในฐานะผู้ทรงก็ชอบที่จะลงวันที่ได้ไม่เป็นการฉ้อฉล จำเลยทั้งสองในฐานะผู้รับมรดกของ น. จึงต้องร่วมกันใช้เงินตามเช็คพร้อมทั้งดอกเบี้ยนับแต่วันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินแก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1731/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ไม้สักแปรรูปเป็นบานประตูหน้าต่างสำเร็จรูป ไม่ถือเป็นไม้แปรรูปตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ ผู้ครอบครองไม่มีความผิด
ไม้สักของกลางเป็นบานประตูหน้าต่างสำเร็จรูป สามารถนำไปใช้ติดตั้งอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างได้ทันที โดยไสกบตบแต่งเพียงเล็กน้อยเพื่อให้เข้ากับวงกบประตูหรือหน้าต่างมีสภาพเป็นของใหม่ยังไม่เคยใช้มาก่อน ทำไว้แน่น เป็นการแสดงเจตนาว่าจะนำไปใช้เป็นบานประตูหน้าต่างโดยเฉพาะ จึงมิใช่ไม้แปรรูปตามพระราชบัญญัติป่าไม้ แม้จำเลยมีไว้ในความครอบครองก็ไม่มีความผิด และไม่จำต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าจำเลยมีไว้ในความครอบครองมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี เพราะมิใช่เป็นไม้ที่เคยอยู่ในสภาพที่เป็นสิ่งปลูกสร้างหรือเคยอยู่ในสภาพเป็นเครื่องใช้มาก่อนแล้ว