พบผลลัพธ์ทั้งหมด 469 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2324/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าเสียหายจากการชนรถยนต์: จ่ายชดเชยได้ทั้งราคารถและค่าขาดรายได้จากการใช้งาน
ลูกจ้างขับรถของจำเลยขับรถยนต์ของจำเลยชนรถยนต์ของโจทก์ซึ่งใช้เป็นรถรับจ้างเสียหายใช้การไม่ได้ ค่าเสียหายเนื่องจากขาดรายได้เพราะใช้รถยนต์ของโจทก์รับจ้างตามปกติไม่ได้ เป็นผลโดยตรงจากความประมาทของลูกจ้างจำเลยเป็นค่าเสียหายที่จำเลยต้องรับผิดโจทก์ฟ้องเรียกร้องให้จำเลยชดใช้รถยนต์ใหม่แล้วยังมีสิทธิเรียกร้องเอาค่าที่โจทก์ขาดรายได้ดังกล่าวได้อีกด้วย
โจทก์บรรยายฟ้องว่า หลังจากชนกันแล้วรถยนต์โจทก์เสียหายใช้การไม่ได้ ขอคิดค่าเสียหายเท่าราคาซื้อ เป็นการชัดแจ้งพอที่จะให้จำเลยเข้าใจได้ว่า รถโจทก์เสียหายมากจนใช้การไม่ได้มิใช่เป็นฟ้องที่เคลือบคลุม ไม่จำต้องบรรยายถึงลักษณะความเสียหายของรถโจทก์อีก
โจทก์บรรยายฟ้องว่า หลังจากชนกันแล้วรถยนต์โจทก์เสียหายใช้การไม่ได้ ขอคิดค่าเสียหายเท่าราคาซื้อ เป็นการชัดแจ้งพอที่จะให้จำเลยเข้าใจได้ว่า รถโจทก์เสียหายมากจนใช้การไม่ได้มิใช่เป็นฟ้องที่เคลือบคลุม ไม่จำต้องบรรยายถึงลักษณะความเสียหายของรถโจทก์อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2324/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าเสียหายจากการชนรถ: รถเสียหายใช้การไม่ได้ และขาดรายได้จากรถแท็กซี่
ลูกจ้างขับรถของจำเลยขับรถยนต์ของจำเลยชนรถยนต์ของโจทก์ซึ่งใช้เป็นรถรับจ้างเสียหายใช้การไม่ได้ ค่าเสียหายเนื่องจากขาดรายได้เพราะใช้รถยนต์ของโจทก์รับจ้างตามปกติไม่ได้ เป็นผลโดยตรงจากความประมาทของลูกจ้างจำเลยเป็นค่าเสียหายที่จำเลยต้องรับผิดโจทก์ฟ้องเรียกร้องให้จำเลยชดใช้รถยนต์ใหม่แล้วยังมีสิทธิเรียกร้องเอาค่าที่โจทก์ขาดรายได้ดังกล่าวได้อีกด้วย
โจทก์บรรยายฟ้องว่า หลังจากชนกันแล้วรถยนต์โจทก์เสียหายใช้การไม่ได้ ขอคิดค่าเสียหายเท่าราคาซื้อ เป็นการชัดแจ้งพอที่จะให้จำเลยเข้าใจได้ว่า รถโจทก์เสียหายมากจนใช้การไม่ได้มิใช่เป็นฟ้องที่เคลือบคลุม ไม่จำต้องบรรยายถึงลักษณะความเสียหายของรถโจทก์อีก
โจทก์บรรยายฟ้องว่า หลังจากชนกันแล้วรถยนต์โจทก์เสียหายใช้การไม่ได้ ขอคิดค่าเสียหายเท่าราคาซื้อ เป็นการชัดแจ้งพอที่จะให้จำเลยเข้าใจได้ว่า รถโจทก์เสียหายมากจนใช้การไม่ได้มิใช่เป็นฟ้องที่เคลือบคลุม ไม่จำต้องบรรยายถึงลักษณะความเสียหายของรถโจทก์อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2323/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การมอบอำนาจรับเงินกู้: ตัวแทนกระทำภายในขอบอำนาจ ตัวการต้องรับผิด แม้ตัวการไม่ได้รับเงิน
ผู้กู้ทำหนังสือมอบอำนาจให้บุคคลอื่นรับเงินที่กู้จากผู้ให้กู้ถือว่าผู้รับมอบอำนาจเป็นตัวแทนของผู้กู้ ผู้กู้ต้องรับผิดในผลแห่งการกระทำของตัวแทนของตนซึ่งกระทำไปภายในขอบอำนาจการที่ตัวแทนของผู้กู้ได้รับเงินจากผู้ให้กู้แล้ว แต่มิได้นำไปให้ผู้กู้หาทำให้สัญญากู้ไม่สมบูรณ์ไม่ ผู้ให้กู้ย่อมมีสิทธิฟ้องเรียกเงินกู้จากผู้กู้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2223/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับชำระหนี้จากผู้ค้ำประกัน: ต้องบังคับจากลูกหนี้ชั้นต้นก่อน หากพิสูจน์ได้ว่ามีทรัพย์สิน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินตามสัญญากู้ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่ชำระ ให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 และ ที่ 4 ในฐานะผู้ค้ำประกันชำระแทน มีผลเท่ากับว่าให้จำเลยที่ 1 ใช้เงินให้แก่โจทก์ก่อน ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่สามารถจะใช้ได้ ก็ให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ใช้แทนจนครบ โจทก์จึงต้องดำเนินการบังคับชำระหนี้เอากับทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ก่อน (วินิจฉัยตามแนวฎีกาที่ 838/2494) ดังนั้น จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันจะได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 689 ก็จะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ชั้นต้นมีทรัพย์สินที่จะชำระหนี้ได้ และการบังคับชำระหนี้นั้นจะต้องไม่เป็นการยากด้วย (วินิจฉัยตามแนวฎีกาที่ 980/2513)
โจทก์นำยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 3 ในฐานะผู้ค้ำประกันเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษา จำเลยที่ 3 จึงยื่นคำร้องยืนยันว่าจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ชั้นต้นมีที่ดิน 2 แปลง แต่ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องของจำเลยที่ 3 โดยเห็นว่า โจทก์มีสิทธิเลือกบังคับจากจำเลยคนใดก็ได้ จำเลยที่ 3 จึงไม่มีโอกาสที่จะพิสูจน์ว่าจำเลยที่ 1 มีทรัพย์สินดังกล่าวอ้างอันจะบังคับชำระหนี้ให้โจทก์ได้หรือไม่ จึงควรที่ศาลชั้นต้นจะได้ดำเนินการไต่สวนในเรื่องทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ให้เป็นที่ยุติเสียก่อน ไม่ควรให้โจทก์บังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินของจำเลยที่ 3 ไปได้ทีเดียว
โจทก์นำยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 3 ในฐานะผู้ค้ำประกันเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษา จำเลยที่ 3 จึงยื่นคำร้องยืนยันว่าจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ชั้นต้นมีที่ดิน 2 แปลง แต่ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องของจำเลยที่ 3 โดยเห็นว่า โจทก์มีสิทธิเลือกบังคับจากจำเลยคนใดก็ได้ จำเลยที่ 3 จึงไม่มีโอกาสที่จะพิสูจน์ว่าจำเลยที่ 1 มีทรัพย์สินดังกล่าวอ้างอันจะบังคับชำระหนี้ให้โจทก์ได้หรือไม่ จึงควรที่ศาลชั้นต้นจะได้ดำเนินการไต่สวนในเรื่องทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ให้เป็นที่ยุติเสียก่อน ไม่ควรให้โจทก์บังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินของจำเลยที่ 3 ไปได้ทีเดียว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2223/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับชำระหนี้จากผู้ค้ำประกัน: ต้องบังคับทรัพย์สินลูกหนี้ชั้นต้นก่อน และพิสูจน์ทรัพย์สินลูกหนี้
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินตามสัญญากู้ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่ชำระ ให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 และ ที่ 4 ในฐานะผู้ค้ำประกันชำระแทน มีผลเท่ากับว่าให้จำเลยที่ 1 ใช้เงินให้แก่โจทก์ก่อน ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่สามารถจะใช้ได้ ก็ให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ใช้แทนจนครบ โจทก์จึงต้องดำเนินการบังคับชำระหนี้เอากับทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ก่อน (วินิจฉัยตามแนวฎีกาที่ 838/2494) ดังนั้น จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันจะได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 689 ก็จะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ชั้นต้นมีทรัพย์สินที่จะชำระหนี้ได้ และการบังคับชำระหนี้นั้นจะต้องไม่เป็นการยากด้วย (วินิจฉัยตามแนวฎีกาที่ 980/2513)
โจทก์นำยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 3 ในฐานะผู้ค้ำประกันเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษา จำเลยที่ 3 จึงยื่นคำร้องยืนยันว่าจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ชั้นต้นมีที่ดิน 2 แปลง แต่ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องของจำเลยที่ 3 โดยเห็นว่า โจทก์มีสิทธิเลือกบังคับจากจำเลยคนใดก็ได้ จำเลยที่ 3 จึงไม่มีโอกาสที่จะพิสูจน์ว่าจำเลยที่ 1 มีทรัพย์สินดังกล่าวอ้างอันจะบังคับชำระหนี้ให้โจทก์ได้หรือไม่ จึงควรที่ศาลชั้นต้นจะได้ดำเนินการไต่สวนในเรื่องทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ให้เป็นที่ยุติเสียก่อน ไม่ควรให้โจทก์บังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินของจำเลยที่ 3 ไปได้ทีเดียว
โจทก์นำยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 3 ในฐานะผู้ค้ำประกันเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษา จำเลยที่ 3 จึงยื่นคำร้องยืนยันว่าจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ชั้นต้นมีที่ดิน 2 แปลง แต่ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องของจำเลยที่ 3 โดยเห็นว่า โจทก์มีสิทธิเลือกบังคับจากจำเลยคนใดก็ได้ จำเลยที่ 3 จึงไม่มีโอกาสที่จะพิสูจน์ว่าจำเลยที่ 1 มีทรัพย์สินดังกล่าวอ้างอันจะบังคับชำระหนี้ให้โจทก์ได้หรือไม่ จึงควรที่ศาลชั้นต้นจะได้ดำเนินการไต่สวนในเรื่องทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ให้เป็นที่ยุติเสียก่อน ไม่ควรให้โจทก์บังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินของจำเลยที่ 3 ไปได้ทีเดียว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2217/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สมาชิกภาพ ส.ส.ท. เริ่มเมื่อประกาศผลเลือกตั้ง เงินค่าป่วยการเริ่มเมื่อเข้ารับหน้าที่ (ปฏิญาณตน)
สมาชิกภาพของสมาชิกสภาเทศบาลผู้ได้รับเลือกตั้งนั้นเริ่มแต่วันที่เทศบาลประกาศผลของการเลือกตั้ง มิใช่เริ่มแต่วันปฏิญาณตนเข้ารับหน้าที่
เงินค่าป่วยการซึ่งจะจ่ายให้แก่สมาชิกสภาเทศบาลตามข้อบังคับกระทรวงมหาดไทยฯ นั้น มีลักษณะเป็นเงินตอบแทนการปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิกสภาเทศบาล มีสิทธิที่จะได้รับเงินค่าป่วยการจึงเริ่มแต่วันเข้ารับหน้าที่เป็นต้นไป มิใช่วันเริ่มสมาชิกภาพ
ตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 มาตรา 17 สมาชิกสภาเทศบาลต้องปฏิญาณตนในที่ประชุมสภาเทศบาลก่อนเข้ารับหน้าที่ จึงต้องถือว่าสมาชิกสภาเทศบาลเข้ารับหน้าที่ตั้งแต่วันปฏิญาณตน และมีสิทธิได้รับเงินค่าป่วยการตามส่วน นับแต่วันดังกล่าวโดยคำนวณจากเงินค่าป่วยการรายเดือน
ข้อบังคับกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการจ่ายเงินค่าป่วยการฯ ที่ว่าให้สมาชิกสภาเทศบาลได้รับเงินค่าป่วยการเป็นรายเดือนนั้น เป็นเพียงกำหนดเวลาจ่ายเงินค่าป่วยการไว้ว่าให้จ่ายเป็นเดือน ๆ ไป หาได้หมายความเลยไปถึงว่า แม้ก่อนเข้ารับหน้าที่ สมาชิกสภาเทศบาลก็มีสิทธิได้รับเงินค่าป่วยการ (เต็มทั้งเดือน) ด้วยไม่
เงินค่าป่วยการซึ่งจะจ่ายให้แก่สมาชิกสภาเทศบาลตามข้อบังคับกระทรวงมหาดไทยฯ นั้น มีลักษณะเป็นเงินตอบแทนการปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิกสภาเทศบาล มีสิทธิที่จะได้รับเงินค่าป่วยการจึงเริ่มแต่วันเข้ารับหน้าที่เป็นต้นไป มิใช่วันเริ่มสมาชิกภาพ
ตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 มาตรา 17 สมาชิกสภาเทศบาลต้องปฏิญาณตนในที่ประชุมสภาเทศบาลก่อนเข้ารับหน้าที่ จึงต้องถือว่าสมาชิกสภาเทศบาลเข้ารับหน้าที่ตั้งแต่วันปฏิญาณตน และมีสิทธิได้รับเงินค่าป่วยการตามส่วน นับแต่วันดังกล่าวโดยคำนวณจากเงินค่าป่วยการรายเดือน
ข้อบังคับกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการจ่ายเงินค่าป่วยการฯ ที่ว่าให้สมาชิกสภาเทศบาลได้รับเงินค่าป่วยการเป็นรายเดือนนั้น เป็นเพียงกำหนดเวลาจ่ายเงินค่าป่วยการไว้ว่าให้จ่ายเป็นเดือน ๆ ไป หาได้หมายความเลยไปถึงว่า แม้ก่อนเข้ารับหน้าที่ สมาชิกสภาเทศบาลก็มีสิทธิได้รับเงินค่าป่วยการ (เต็มทั้งเดือน) ด้วยไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2217/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สมาชิกภาพ ส.ส.ท. เริ่มเมื่อประกาศผลเลือกตั้ง เงินค่าป่วยการเริ่มเมื่อเข้ารับหน้าที่ (ปฏิญาณตน)
สมาชิกภาพของสมาชิกสภาเทศบาลผู้ได้รับเลือกตั้งนั้นเริ่มแต่วันที่เทศบาลประกาศผลของการเลือกตั้ง มิใช่เริ่มแต่วันปฏิญาณตนเข้ารับหน้าที่
เงินค่าป่วยการซึ่งจะจ่ายให้แก่สมาชิกสภาเทศบาลตามข้อบังคับกระทรวงมหาดไทยฯ นั้น มีลักษณะเป็นเงินตอบแทนการปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิกสภาเทศบาล มีสิทธิที่จะได้รับเงินค่าป่วยการจึงเริ่มแต่วันเข้ารับหน้าที่เป็นต้นไป มิใช่วันเริ่มสมาชิกภาพ
ตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 มาตรา 17 สมาชิกสภาเทศบาลต้องปฏิญาณตนในที่ประชุมสภาเทศบาลก่อนเข้ารับหน้าที่ จึงต้องถือว่าสมาชิกสภาเทศบาลเข้ารับหน้าที่ตั้งแต่วันปฏิญาณตน และมีสิทธิได้รับเงินค่าป่วยการตามส่วน นับแต่วันดังกล่าวโดยคำนวณจากเงินค่าป่วยการรายเดือน
ข้อบังคับกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการจ่ายเงินค่าป่วยการฯ ที่ว่าให้สมาชิกสภาเทศบาลได้รับเงินค่าป่วยการเป็นรายเดือนนั้น เป็นเพียงกำหนดเวลาจ่ายเงินค่าป่วยการไว้ว่าให้จ่ายเป็นเดือน ๆ ไป หาได้หมายความเลยไปถึงว่า แม้ก่อนเข้ารับหน้าที่ สมาชิกสภาเทศบาลก็มีสิทธิได้รับเงินค่าป่วยการ (เต็มทั้งเดือน) ด้วยไม่
เงินค่าป่วยการซึ่งจะจ่ายให้แก่สมาชิกสภาเทศบาลตามข้อบังคับกระทรวงมหาดไทยฯ นั้น มีลักษณะเป็นเงินตอบแทนการปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิกสภาเทศบาล มีสิทธิที่จะได้รับเงินค่าป่วยการจึงเริ่มแต่วันเข้ารับหน้าที่เป็นต้นไป มิใช่วันเริ่มสมาชิกภาพ
ตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 มาตรา 17 สมาชิกสภาเทศบาลต้องปฏิญาณตนในที่ประชุมสภาเทศบาลก่อนเข้ารับหน้าที่ จึงต้องถือว่าสมาชิกสภาเทศบาลเข้ารับหน้าที่ตั้งแต่วันปฏิญาณตน และมีสิทธิได้รับเงินค่าป่วยการตามส่วน นับแต่วันดังกล่าวโดยคำนวณจากเงินค่าป่วยการรายเดือน
ข้อบังคับกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการจ่ายเงินค่าป่วยการฯ ที่ว่าให้สมาชิกสภาเทศบาลได้รับเงินค่าป่วยการเป็นรายเดือนนั้น เป็นเพียงกำหนดเวลาจ่ายเงินค่าป่วยการไว้ว่าให้จ่ายเป็นเดือน ๆ ไป หาได้หมายความเลยไปถึงว่า แม้ก่อนเข้ารับหน้าที่ สมาชิกสภาเทศบาลก็มีสิทธิได้รับเงินค่าป่วยการ (เต็มทั้งเดือน) ด้วยไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2174/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุด และผลต่อการได้รับพระราชทานอภัยโทษ
เมื่อศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งศาลอุทธรณ์ที่อนุญาตให้จำเลยถอนอุทธรณ์ได้ให้คู่ความฟังในวันที่ 17 มิถุนายน 2514 แล้วได้ออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดให้ไปในวันนั้นเอง ดังนี้ ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะสั่งศาลชั้นต้นแก้ไขเปลี่ยนแปลงหมายจำคุก เมื่อคดีถึงที่สุดให้ใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2174/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณา 'นักโทษเด็ดขาด' เพื่อรับพระราชทานอภัยโทษ ต้องเป็นผู้ถูกออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว
เมื่อศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งศาลอุทธรณ์ที่อนุญาตให้จำเลย ถอนอุทธรณ์ได้ให้คู่ความฟังในวันที่ 17 มิถุนายน 2514 แล้วได้ออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดให้ไปในวันนั้นเอง ดังนี้ ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะสั่งศาลชั้นต้นแก้ไขเปลี่ยนแปลงหมายจำคุก เมื่อคดีถึงที่สุดให้ใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2162/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขายทอดตลาดทรัพย์สิน: แม้มีผู้สู้ราคาคนเดียวก็ชอบด้วยกฎหมาย หากเป็นการเปิดเผยและราคาสมควร
ในการขายทอดตลาดทรัพย์เพื่อเอาเงินชำระค่าปรับฐานผิดสัญญาประกันมีทรัพย์ 3 รายการ รวมทั้งทรัพย์รายพิพาทด้วย เจ้าพนักงานบังคับคดีได้โฆษณาบอกขายเปิดโอกาสให้บุคคลทั่วไปเข้าสู้ราคาได้โดยเปิดเผยแล้ว เวลาขายทรัพย์อีก 2 รายการนั้น มีผู้เข้าสู้ราคา 2-3 คน แต่เมื่อขายทรัพย์รายพิพาทมีผู้สู้ราคาเพียงคนเดียว เมื่อไม่มีผู้อื่นสู้ราคาสูงขึ้นไปอีกแล้ว ผู้สู้ราคาคนเดียวนี้ย่อมได้ชื่อว่าเป็นผู้สู้ราคาสูงสุด ศาลย่อมอนุญาตให้ขายให้แก่ผู้สู้ราคานี้ได้เมื่อเห็นว่าเป็นราคาสมควรแล้ว แม้จะมีผู้สู้ราคาเพียงคนเดียวก็จะถือว่าการขายทอดตลาดทรัพย์รายพิพาทนี้ ไม่เป็นไปตามวิธีการขายทอดตลาดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 513, 514 หาได้ไม่