คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
พิชัย รชตะนันทน์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 438 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 310/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยึดทรัพย์สินบริคณห์จากหนี้ส่วนตัวของจำเลย ผู้ร้องมีสิทธิคัดค้านได้หากพิสูจน์ได้ว่าหนี้ไม่ผูกพันทรัพย์
ผู้ร้องซึ่งเป็นสามีของจำเลยร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่โจทก์นำยึดไว้ โดยอ้างว่าจำเลยก่อหนี้เป็นส่วนตัว ไม่ผูกพันทรัพย์พิพาทซึ่งเป็นสินบริคณห์ หากข้อเท็จจริงเป็นดังที่ผู้ร้องกล่าวอ้าง โจทก์จะยึดทรัพย์พิพาทอันเป็นสินบริคณห์โดยไม่ได้ร้องขอต่อศาลให้แยกสินบริคณห์ออกเป็นส่วนของจำเลยเสียก่อนไม่ได้ เมื่อข้อเท็จจริงที่ผู้ร้องกล่าวอ้างยังไม่แน่ชัด ศาลจึงต้องรับคำร้องขัดทรัพย์ของผู้ร้องไว้พิจารณาต่อไปก่อนจะสั่งยกคำร้องเสียเลยหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 246/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความหนี้จากการกู้ยืม - การรับสภาพหนี้ - การนำสืบข้อเท็จจริงเพิ่มเติม
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2505 และ 18 กรกฎาคม 2505จำเลยได้ยืมเงินโจทก์ไป ได้ทำสัญญากู้ไว้โดยไม่ได้ระบุเวลาชำระเงินแต่จำเลยสัญญาว่าจะชำระเงินต้นและดอกเบี้ยให้ภายใน 3 ปีครบกำหนดในพ.ศ. 2508 จำเลยไม่ชำระหนี้ จำเลยให้การรับว่าได้ยืมเงินโจทก์ไปจริงตามฟ้อง แต่ได้หักหนี้กันไปแล้ว และคดีขาดอายุความ เรื่องกำหนดเวลาใช้เงิน 3 ปีก็ดี เรื่องหนี้ถึงกำหนดชำระในพ.ศ. 2508 ก็ดี จำเลยมิได้ให้การปฏิเสธไว้ ดังนี้ ต้องถือว่าจำเลยรับตามฟ้อง และโจทก์ไม่จำต้องสืบพยานในข้อนี้เพราะฟังได้แล้วว่าครบกำหนดชำระหนี้เมื่อพ.ศ. 2508 โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2515 คดีจึงยังไม่ขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 246/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความหนี้จากการกู้ยืม: การรับสภาพหนี้ในคำให้การของจำเลยทำให้โจทก์ไม่ต้องสืบพยาน และคดีไม่ขาดอายุความ
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2505 และ 18 กรกฎาคม 2505จำเลยได้ยืมเงินโจทก์ไป ได้ทำสัญญากู้ไว้โดยไม่ได้ระบุเวลาชำระเงินแต่จำเลยสัญญาว่าจะชำระเงินต้นและดอกเบี้ยให้ภายใน 3 ปีครบกำหนดในพ.ศ. 2508 จำเลยไม่ชำระหนี้ จำเลยให้การรับว่าได้ยืมเงินโจทก์ไปจริงตามฟ้อง แต่ได้หักหนี้กันไปแล้ว และคดีขาดอายุความ เรื่องกำหนดเวลาใช้เงิน 3 ปีก็ดี เรื่องหนี้ถึงกำหนดชำระในพ.ศ. 2508 ก็ดี จำเลยมิได้ให้การปฏิเสธไว้ ดังนี้ ต้องถือว่าจำเลยรับตามฟ้อง และโจทก์ไม่จำต้องสืบพยานในข้อนี้เพราะฟังได้แล้วว่าครบกำหนดชำระหนี้เมื่อพ.ศ. 2508 โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม2515 คดีจึงยังไม่ขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 207/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การช่วยเหลือผู้ถูกกล่าวหาที่ศาลชั้นต้นยกฟ้อง ไม่ถือเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 189
ท. ถูกฟ้องว่าฆ่าผู้อื่น ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ครั้นเมื่อศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ท.หลบหนี ศาลออกหมายจับ ท.จำเลยให้พำนักและซ่อนเร้น ท. และบอก ท.ให้รู้ตัวเมื่อตำรวจมาตามจับจำเลยก็ไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 189 เพราะตราบใดที่ยังไม่มีคำพิพากษาศาลสูงเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาศาลชั้นต้นก็ต้องถือว่า ท. ไม่ใช่ผู้กระทำผิดในข้อหาฆ่าผู้อื่นและการที่ศาลออกหมายจับนั้นก็เพื่อให้ได้ตัวมาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ไม่ใช่เพราะกระทำผิดฐานหลบหนีไม่ไปศาล

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 207/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การช่วยเหลือผู้ถูกกล่าวหาที่ไม่ใช่ผู้กระทำผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 189
ท.ถูกฟ้องว่าฆ่าผู้อื่น ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ครั้นเมื่อศาลนัดฟังคำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ ท.หลบหนี ศาลออกหมายจับ ท. จำเลยให้พำนักและซ่อนเร้น ท. และบอก ท. ให้รู้ตัวเมื่อตำรวจมาตามจับ จำเลยก็ไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 189 เพราะตราบใดที่ยังไม่มีคำพิพากษาศาลสูงเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาศาลชั้นต้น ก็ต้องถือว่า ท. ไม่ใช่ผู้กระทำผิดในข้อหาฆ่าผู้อื่น และการที่ศาลออกหมายจับนั้น ก็เพื่อให้ได้ตัวมาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ไม่ใช่เพราะกระทำผิดฐานหลบหนีไม่ไปศาล

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 172/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจดำเนินคดีของนิติบุคคลยังคงมีอยู่แม้ผู้แทนเสียชีวิต และการซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดต้องเป็นไปตามเงื่อนไข
นิติบุคคลเป็นโจทก์มีผู้แทนนิติบุคคลเป็นผู้ลงนามแต่งตั้งทนายความให้ดำเนินคดีแทนโจทก์ไว้แล้วในนามนิติบุคคล หาใช่แต่งตั้งเป็นส่วนตัว แม้ต่อมาผู้แทนนั้นถึงแก่อสัญกรรมไปแล้วการแต่งตั้งทนายเป็นผู้ดำเนินคดีแทนหาได้สิ้นสุดไปไม่ ทนายโจทก์ยังคงมีอำนาจดำเนินคดีต่อไปได้ (ตามนัยฎีกาที่ 480/2502)
การที่จำเลยซื้อเรือนได้จากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลประกาศขายทอดตลาดมีเงื่อนไขอยู่ว่า ผู้ใดซื้อได้ให้รื้อไป จำเลยจะอ้างว่าโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินให้เช่าปลูกได้ต่อไปโดยมิได้มีหลักฐานการเช่าเป็นหนังสือหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 146/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาประมาท: การเปลี่ยนแปลงข้อกล่าวหาจากพยายามฆ่าเป็นประมาททำให้ผู้อื่นได้รับอันตราย และผลกระทบต่อการลงโทษ
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยพยายามฆ่าผู้เสียหายโดยเจตนา แต่ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาเป็นเรื่องกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กาย ซึ่งแตกต่างกับฟ้อง และโจทก์ไม่ได้ประสงค์ให้ลงโทษ จึงลงโทษจำเลยฐานประมาทไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 120/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเสียสัญชาติไทยเนื่องจากถือใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว แม้ไม่มีข้อความระบุช่วงเวลา
โจทก์เกิดในประเทศไทยโดยมีบิดาเป็นคนต่างด้าว เดินทางไปประเทศจีนเมื่อ พ.ศ. 2490 และกลับมาประเทศไทยเมื่อพ.ศ. 2491 แล้วไปขอรับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวในปีนั้นและต่ออายุใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวตลอดมา แม้พระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2508 มาตรา 21 จะบัญญัติว่า'ผู้ซึ่งมีสัญชาติไทยเพราะเกิดในราชอาณาจักรไทยโดยมีบิดาเป็นคนต่างด้าวถ้าได้รับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนคนต่างด้าวแล้ว ให้เสียสัญชาติไทย' โดยไม่มีข้อความว่า 'ไม่ว่าจะได้รับใบสำคัญประจำตัวก่อนหรือหลังวันพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ' ดังบัญญัติไว้ใน พระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2495 มาตรา 16 ทวิ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2496 มาตรา 5 ที่ยกเลิกไปแล้วก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ถือใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนคนต่างด้าวตลอดมาจึงต้องอยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2508 มาตรา 21 ซึ่งมีผลให้โจทก์เสียสัญชาติไทย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 120/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเสียสัญชาติไทยของบุคคลเกิดในไทยโดยมีบิดาเป็นต่างด้าว จากการถือใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว
โจทก์เกิดในประเทศไทยโดยมีบิดาเป็นคนต่างด้าว เดินทางไปประเทศจีนเมื่อ พ.ศ. 2490 และกลับมาประเทศไทยเมื่อพ.ศ. 2491 แล้วไปขอรับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวในปีนั้นและต่ออายุใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวตลอดมา แม้พระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2508 มาตรา 21 จะบัญญัติว่า"ผู้ซึ่งมีสัญชาติไทยเพราะเกิดในราชอาณาจักรไทยโดยมีบิดาเป็นคนต่างด้าวถ้าได้รับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวตามกฎหมายว่า ด้วยการทะเบียนคนต่างด้าวแล้ว ให้เสียสัญชาติไทย" โดยไม่มีข้อความว่า "ไม่ว่าจะได้รับใบสำคัญประจำตัวก่อนหรือ หลังวันพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ" ดังบัญญัติไว้ใน พระราชบัญญัติสัญชาติพ.ศ. 2495 มาตรา 16 ทวิ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2496มาตรา 5 ที่ยกเลิกไปแล้วก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ถือใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนคนต่างด้าวตลอดมาจึงต้องอยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2508มาตรา 21 ซึ่งมีผลให้โจทก์เสียสัญชาติไทย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 119/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพรากผู้เยาว์เพื่อหากำไร แม้ผู้เยาว์จะไปด้วยโดยหลงเชื่อคำหลอกลวง ก็ถือว่าไม่เต็มใจ และเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
จำเลยหลอกลวงเด็กหญิงอายุ 14 ปี ว่าจะพาไปรับจ้างทำงาน แต่แล้วกลับพาไปที่สำนักโสเภณี และเด็กหญิงนั้นถูกบังคับให้ค้าประเวณี การที่เด็กหญิงนั้นไปกับจำเลยเพราะเชื่อคำหลอกลวงเช่นนี้ จะถือว่าเต็มใจไปด้วยกับจำเลยหาได้ไม่
การพรากผู้เยาว์ไปเพื่อหากำไรหรือเพื่อการอนาจาร ไม่ว่าผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยหรือไม่เต็มใจ ประมวลกฎหมายอาญาก็บัญญัติเป็นความผิดทั้งนั้น เพียงแต่กำหนดโทษตามมาตรา 318 วรรคท้าย หนักกว่าโทษตามมาตรา 319 การที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามมาตรา 319 แต่ทางพิจารณาฟังได้ว่า จำเลยกระทำความผิดตามมาตรา 318 ก็มิใช่เป็นเรื่องข้อเท็จจริงในทางพิจารณาแตกต่างกับฟ้อง ศาลย่อมปรับบทลงโทษจำเลยตามมาตรา 319 ได้
of 44