พบผลลัพธ์ทั้งหมด 438 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1817-1818/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำเข้าฟิล์มภาพยนตร์เพื่อเช่าฉาย ถือเป็นการขายสินค้า ต้องเสียภาษีการค้าทั้งในฐานะผู้นำเข้าและผู้ให้เช่า
การนำสินค้าประเภทการค้า 1 ชนิด 1 แห่งบัญชีอัตราภาษีการค้าที่มิใช่เป็นของใช้ส่วนตัวซึ่งใช้กันตามปกติและตามสมควร เข้ามาในราชอาณาจักร โดยมิใช่นำมาขายหรือผลิตเพื่อขายประมวลรัษฎากรมาตรา 79 ทวิ ให้ถือว่าเป็นการขายสินค้า และให้ถือมูลค่าของสินค้าดังกล่าวเป็นรายรับ และให้ถือว่าผู้ที่นำสินค้านั้นเข้าในราชอาณาจักรเป็นผู้ประกอบการค้า มีหน้าที่เสียภาษีการค้าตามมาตรา 78 ตามบัญชีอัตราภาษีการค้าประเภทการค้า 1 ชนิด 1
ฟิล์มภาพยนตร์ที่ถ่ายทำแล้วซึ่งโจทก์นำเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อให้เช่าฉายเสร็จแล้วส่งกลับไปนอกราชอาณาจักรนั้น เป็นสินค้าในประเภทการค้า 1 ชนิด 1(ก) แห่งบัญชีอัตราภาษีการค้า ที่มิใช่เป็นของใช้ส่วนตัวซึ่งใช้กันตามปกติและตามสมควร ทั้งมิใช่นำมาขายหรือผลิตเพื่อขาย จึงถือว่าโจทก์ผู้ที่นำฟิล์มภาพยนตร์เข้ามาในราชอาณาจักรเป็นผู้ประกอบการค้าได้ขายฟิล์มภาพยนตร์ และให้ถือมูลค่าของฟิล์มภาพยนตร์นั้นเป็นรายรับตามประมวลรัษฎากรมาตรา 79 ทวิ แม้โจทก์จะประกอบการค้าประเภทการค้า 5 การให้เช่าทรัพย์สินที่มิใช่อสังหาริมทรัพย์และได้เสียภาษีการค้าในประเภทดังกล่าวถูกต้องแล้ว แต่ตามประมวลรัษฎากรซึ่งใช้บังคับขณะเกิดกรณีพิพาท ไม่มีบทยกเว้นให้โจทก์นำฟิล์มภาพยนตร์ที่ถ่ายทำแล้วเข้าในราชอาณาจักรเพื่อให้เช่าฉายได้โดยไม่ต้องเสียภาษีการค้าในประเภทการค้า 1 การขายของชนิด 1(ก) โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้าในฐานะผู้นำเข้า ประเภทการค้า 1 ชนิด 1(ก) อีกด้วย
เมื่อโจทก์เป็นผู้ประกอบการค้าในขณะเดียวกัน 2 ประเภทคือประเภทการค้า 1 ชนิด 1(ก) และประเภทการค้า 5 โจทก์ก็มีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้าทั้งสองประเภท และไม่เป็นการซ้ำซ้อนกัน หากแต่เป็นการเสียภาษีแต่ละประเภทการค้าที่โจทก์ได้กระทำในฐานะผู้ประกอบการค้าให้ครบถ้วนตามประมวลรัษฎากร
(วรรค 2 วินิจฉัย โดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 17-18/2516)
ฟิล์มภาพยนตร์ที่ถ่ายทำแล้วซึ่งโจทก์นำเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อให้เช่าฉายเสร็จแล้วส่งกลับไปนอกราชอาณาจักรนั้น เป็นสินค้าในประเภทการค้า 1 ชนิด 1(ก) แห่งบัญชีอัตราภาษีการค้า ที่มิใช่เป็นของใช้ส่วนตัวซึ่งใช้กันตามปกติและตามสมควร ทั้งมิใช่นำมาขายหรือผลิตเพื่อขาย จึงถือว่าโจทก์ผู้ที่นำฟิล์มภาพยนตร์เข้ามาในราชอาณาจักรเป็นผู้ประกอบการค้าได้ขายฟิล์มภาพยนตร์ และให้ถือมูลค่าของฟิล์มภาพยนตร์นั้นเป็นรายรับตามประมวลรัษฎากรมาตรา 79 ทวิ แม้โจทก์จะประกอบการค้าประเภทการค้า 5 การให้เช่าทรัพย์สินที่มิใช่อสังหาริมทรัพย์และได้เสียภาษีการค้าในประเภทดังกล่าวถูกต้องแล้ว แต่ตามประมวลรัษฎากรซึ่งใช้บังคับขณะเกิดกรณีพิพาท ไม่มีบทยกเว้นให้โจทก์นำฟิล์มภาพยนตร์ที่ถ่ายทำแล้วเข้าในราชอาณาจักรเพื่อให้เช่าฉายได้โดยไม่ต้องเสียภาษีการค้าในประเภทการค้า 1 การขายของชนิด 1(ก) โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้าในฐานะผู้นำเข้า ประเภทการค้า 1 ชนิด 1(ก) อีกด้วย
เมื่อโจทก์เป็นผู้ประกอบการค้าในขณะเดียวกัน 2 ประเภทคือประเภทการค้า 1 ชนิด 1(ก) และประเภทการค้า 5 โจทก์ก็มีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้าทั้งสองประเภท และไม่เป็นการซ้ำซ้อนกัน หากแต่เป็นการเสียภาษีแต่ละประเภทการค้าที่โจทก์ได้กระทำในฐานะผู้ประกอบการค้าให้ครบถ้วนตามประมวลรัษฎากร
(วรรค 2 วินิจฉัย โดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 17-18/2516)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1817-1818/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำเข้าฟิล์มเพื่อเช่าฉาย ถือเป็นการขายสินค้า ต้องเสียภาษีการค้าทั้งในฐานะผู้นำเข้าและผู้ให้เช่า
การนำสินค้าประเภทการค้า 1 ชนิด 1 แห่งบัญชีอัตราภาษีการค้าที่มิใช่เป็นของใช้ส่วนตัวซึ่งใช้กันตามปกติและตามสมควร เข้ามาในราชอาณาจักร โดยมิใช่นำมาขายหรือผลิตเพื่อขายประมวลรัษฎากร มาตรา 79 ทวิ ให้ถือว่าเป็นการขายสินค้า และให้ถือมูลค่าของสินค้าดังกล่าวเป็นรายรับ และให้ถือว่าผู้ที่นำสินค้านั้นเข้าในราชอาณาจักรเป็นผู้ประกอบการค้า มีหน้าที่เสียภาษีการค้าตามมาตรา 78 ตามบัญชีอัตราภาษีการค้าประเภทการค้า 1 ชนิด 1
ฟิล์มภาพยนตร์ที่ถ่ายทำแล้วซึ่งโจทก์นำเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อให้เช่าฉายเสร็จแล้วส่งกลับไปนอกราชอาณาจักรนั้น เป็นสินค้าในประเภทการค้า 1 ชนิด 1(ก) แห่งบัญชีอัตราภาษีการค้าที่มิใช่เป็นของใช้ส่วนตัวซึ่งใช้กันตามปกติและตามสมควร ทั้งมิใช่นำมาขายหรือผลิตเพื่อขาย จึงถือว่าโจทก์ผู้ที่นำฟิล์มภาพยนตร์เข้ามาในราชอาณาจักรเป็นผู้ประกอบการค้าได้ขายฟิล์มภาพยนตร์ และให้ถือมูลค่าของฟิล์มภาพยนตร์นั้นเป็นรายรับตามประมวลรัษฎากร มาตรา 79 ทวิ แม้โจทก์จะประกอบการค้าประเภทการค้า 5 การให้เช่าทรัพย์สินที่มิใช่อสังหาริมทรัพย์และได้เสียภาษีการค้าในประเภทดังกล่าวถูกต้องแล้ว แต่ตามประมวลรัษฎากรซึ่งใช้บังคับขณะเกิดกรณีพิพาท ไม่มีบทยกเว้นให้โจทก์นำฟิล์มภาพยนตร์ที่ถ่ายทำแล้วเข้าในราชอาณาจักรเพื่อให้เช่าฉายได้โดยไม่ต้องเสียภาษีการค้าในประเภทการค้า 1 การขายของชนิด 1(ก) โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้าในฐานะผู้นำเข้า ประเภทการค้า 1 ชนิด 1(ก) อีกด้วย
เมื่อโจทก์เป็นผู้ประกอบการค้าในขณะเดียวกัน 2 ประเภทคือ ประเภทการค้า 1 ชนิด 1(ก) และประเภทการค้า 5 โจทก์ก็มีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้าทั้งสองประเภท และไม่เป็นการซ้ำซ้อนกัน หากแต่เป็นการเสียภาษีแต่ละประเภทการค้าที่โจทก์ได้กระทำในฐานะผู้ประกอบการค้าให้ครบถ้วนตามประมวลรัษฎากร
(วรรคสองวินิจฉัย โดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 17-18/2516)
ฟิล์มภาพยนตร์ที่ถ่ายทำแล้วซึ่งโจทก์นำเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อให้เช่าฉายเสร็จแล้วส่งกลับไปนอกราชอาณาจักรนั้น เป็นสินค้าในประเภทการค้า 1 ชนิด 1(ก) แห่งบัญชีอัตราภาษีการค้าที่มิใช่เป็นของใช้ส่วนตัวซึ่งใช้กันตามปกติและตามสมควร ทั้งมิใช่นำมาขายหรือผลิตเพื่อขาย จึงถือว่าโจทก์ผู้ที่นำฟิล์มภาพยนตร์เข้ามาในราชอาณาจักรเป็นผู้ประกอบการค้าได้ขายฟิล์มภาพยนตร์ และให้ถือมูลค่าของฟิล์มภาพยนตร์นั้นเป็นรายรับตามประมวลรัษฎากร มาตรา 79 ทวิ แม้โจทก์จะประกอบการค้าประเภทการค้า 5 การให้เช่าทรัพย์สินที่มิใช่อสังหาริมทรัพย์และได้เสียภาษีการค้าในประเภทดังกล่าวถูกต้องแล้ว แต่ตามประมวลรัษฎากรซึ่งใช้บังคับขณะเกิดกรณีพิพาท ไม่มีบทยกเว้นให้โจทก์นำฟิล์มภาพยนตร์ที่ถ่ายทำแล้วเข้าในราชอาณาจักรเพื่อให้เช่าฉายได้โดยไม่ต้องเสียภาษีการค้าในประเภทการค้า 1 การขายของชนิด 1(ก) โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้าในฐานะผู้นำเข้า ประเภทการค้า 1 ชนิด 1(ก) อีกด้วย
เมื่อโจทก์เป็นผู้ประกอบการค้าในขณะเดียวกัน 2 ประเภทคือ ประเภทการค้า 1 ชนิด 1(ก) และประเภทการค้า 5 โจทก์ก็มีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้าทั้งสองประเภท และไม่เป็นการซ้ำซ้อนกัน หากแต่เป็นการเสียภาษีแต่ละประเภทการค้าที่โจทก์ได้กระทำในฐานะผู้ประกอบการค้าให้ครบถ้วนตามประมวลรัษฎากร
(วรรคสองวินิจฉัย โดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 17-18/2516)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1561/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ไม้แปรรูปประกอบล้อเกวียนยังไม่เป็นเครื่องใช้ ไม่อยู่ในข้อยกเว้นตามกฎหมายป่าไม้
จำเลยมีไม้หวงห้ามทำเป็นซี่ล้อ ดุมล้อ คันชัก และฝักขามสำหรับประกอบเป็นล้อเกวียนและเกวียนเพื่อจำหน่าย เมื่อยังมิได้ประกอบเป็นล้อเกวียนหรือเกวียน จึงไม่อยู่ในสภาพเป็นเครื่องใช้คงถือว่าเป็นไม้แปรรูปตามพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2503มาตรา 4
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1561/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ไม้แปรรูปเพื่อทำเกวียนยังไม่ถือเป็นเครื่องใช้ การมีไม้หวงห้ามโดยไม่ได้รับอนุญาตจึงมีความผิดตามกฎหมาย
จำเลยมีไม้หวงห้ามทำเป็นซี่ล้อ ดุมล้อคันชักและฝักขามสำหรับประกอบเป็นล้อเกวียนและเกวียนเพื่อจำหน่าย เมื่อยังมิได้ประกอบเป็นล้อเกวียนหรือเกวียน จึงไม่อยู่ในสภาพเป็นเครื่องใช้ คงถือว่าเป็นไม้แปรรูปตามพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2503 มาตรา 4
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1505/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาการฝากเงิน: ศาลพิจารณาตัวเลขและตัวหนังสือในเอกสารเพื่อพิสูจน์จำนวนเงินที่แท้จริง
ในกรณีที่ตัวเลขกับตัวหนังสือในเอกสารแตกต่างกันถ้าเป็นเรื่องที่ศาลมิอาจหยั่งทราบเจตนาอันแท้จริงได้จึงให้รับฟังความจริงตามตัวอักษรเป็นประมาณตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 12แต่ถ้าเป็นเรื่องที่อาจนำสืบความจริงให้ปรากฏแก่ศาลได้จะยกเอาประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 12มาบังคับไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1505/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความขัดแย้งตัวเลข-ตัวอักษรในเอกสารฝากเงิน ศาลพิจารณาหลักฐานเพื่อพิสูจน์เจตนาที่แท้จริงของผู้ฝาก
ในกรณีที่ตัวเลขกับตัวหนังสือในเอกสารแตกต่างกัน ถ้าเป็นเรื่องที่ศาลมิอาจหยั่งทราบเจตนาอันแท้จริงได้ จึงให้รับฟังความจริงตามตัวอักษรเป็นประมาณ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 12 แต่ถ้าเป็นเรื่องที่อาจนำสืบความจริงให้ปรากฏแก่ศาลได้ จะยกเอาประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 12 มาบังคับไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1504/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิติดตามเอาทรัพย์คืนจากผู้ครอบครองโดยมิชอบ และการโอนสิทธิเรียกร้องส่งผลเป็นการโอนกรรมสิทธิ์
เจ้าของทรัพย์มีสิทธิติดตามเอาทรัพย์คืนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336เครื่องปรับอากาศได้ถูกนำไปติดตั้งใช้ประโยชน์ในบ้านเช่าโดยผู้เช่านำไปติดตั้งไว้ เมื่อผู้เช่าย้ายไปอยู่ที่อื่น โดยไม่ได้ขนย้ายเอาเครื่องปรับอากาศนั้นไปด้วย เครื่องปรับอากาศนั้นย่อมตกอยู่ในความครอบครองของบุคคลผู้เป็นเจ้าของบ้าน เจ้าของเครื่องปรับอากาศย่อมจะเรียกร้องเอาคืนจากเจ้าของบ้านหลังนั้นได้ เมื่อเจ้าของบ้านตายบ้านเป็นมรดกตกทอดแก่จำเลยซึ่งเป็นทายาท เจ้าของเครื่องปรับอากาศย่อมใช้สิทธิเรียกเอาคืนจากจำเลยได้ การที่ทายาทของผู้ตายได้ตกลงตั้งสำนักงานจัดผลประโยชน์ในทรัพย์มรดกขึ้นเพื่อประโยชน์ในระหว่างทายาทด้วยกันเอง หามีผลลบล้างหน้าที่ของจำเลยที่มีต่อบุคคลภายนอกในฐานะเป็นเจ้าของร่วมในทรัพย์นั้นไม่
การที่เจ้าของทรัพย์โอนสิทธิที่จะเรียกร้องเอาเครื่องปรับอากาศรายนี้แก่โจทก์มีผลเป็นการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์นั้นต่อกันโดยตรงหาใช่เป็นการโอนหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 306 ไม่โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเรียกร้องเอาทรัพย์ดังกล่าวจากจำเลยได้โดยไม่ต้องมีการบอกกล่าวแจ้งการโอน
สิทธิเรียกร้องเอาคืนซึ่งตัวทรัพย์สินนั้น โจทก์จะเจาะจงเรียกเอาแต่ราคาของทรัพย์ โดยที่ไม่ปรากฏว่าจำเลยไม่อาจที่จะคืนทรัพย์นั้นได้ด้วยเหตุใด หาได้ไม่ แม้โจทก์จะเรียกเอาแต่ราคาทรัพย์ ก็มีผลเหมือนกับเรียกเอาทรัพย์ ศาลมีอำนาจที่จะพิพากษาให้จำเลยคืนทรัพย์เสียก่อนได้ ไม่เป็นการเกินคำขอ
การที่เจ้าของทรัพย์โอนสิทธิที่จะเรียกร้องเอาเครื่องปรับอากาศรายนี้แก่โจทก์มีผลเป็นการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์นั้นต่อกันโดยตรงหาใช่เป็นการโอนหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 306 ไม่โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเรียกร้องเอาทรัพย์ดังกล่าวจากจำเลยได้โดยไม่ต้องมีการบอกกล่าวแจ้งการโอน
สิทธิเรียกร้องเอาคืนซึ่งตัวทรัพย์สินนั้น โจทก์จะเจาะจงเรียกเอาแต่ราคาของทรัพย์ โดยที่ไม่ปรากฏว่าจำเลยไม่อาจที่จะคืนทรัพย์นั้นได้ด้วยเหตุใด หาได้ไม่ แม้โจทก์จะเรียกเอาแต่ราคาทรัพย์ ก็มีผลเหมือนกับเรียกเอาทรัพย์ ศาลมีอำนาจที่จะพิพากษาให้จำเลยคืนทรัพย์เสียก่อนได้ ไม่เป็นการเกินคำขอ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1504/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิติดตามทรัพย์คืนจากผู้ครอบครองโดยไม่ชอบ และการโอนสิทธิเรียกร้องที่ทำให้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์โอนไปด้วย
เจ้าของทรัพย์มีสิทธิติดตามเอาทรัพย์คืนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336เครื่องปรับอากาศได้ถูกนำไปติดตั้งใช้ประโยชน์ในบ้านเช่าโดยผู้เช่านำไปติดตั้งไว้ เมื่อผู้เช่าย้ายไปอยู่ที่อื่น โดยไม่ได้ขนย้ายเอาเครื่องปรับอากาศนั้นไปด้วยเครื่องปรับอากาศนั้นย่อมตกอยู่ในความครอบครองของบุคคลผู้เป็นเจ้าของบ้าน เจ้าของเครื่องปรับอากาศย่อมจะเรียกร้องเอาคืนจากเจ้าของบ้านหลังนั้นได้ เมื่อเจ้าของบ้านตายบ้านเป็นมรดกตกทอดแก่จำเลยซึ่งเป็นทายาท เจ้าของเครื่องปรับอากาศย่อมใช้สิทธิเรียกเอาคืนจากจำเลยได้ การที่ทายาทของผู้ตายได้ตกลงตั้งสำนักงานจัดผลประโยชน์ในทรัพย์มรดกขึ้นเพื่อประโยชน์ในระหว่างทายาทด้วยกันเอง หามีผลลบล้างหน้าที่ของจำเลยที่มีต่อบุคคลภายนอกในฐานะเป็นเจ้าของร่วมในทรัพย์นั้นไม่
การที่เจ้าของทรัพย์โอนสิทธิที่จะเรียกร้องเอาเครื่องปรับอากาศรายนี้แก่โจทก์มีผลเป็นการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์นั้นต่อกันโดยตรง หาใช่เป็นการโอนหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 306 ไม่ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเรียกร้องเอาทรัพย์ดังกล่าวจากจำเลยได้โดยไม่ต้องมีการบอกกล่าวแจ้งการโอน
สิทธิเรียกร้องเอาคืนซึ่งตัวทรัพย์สินนั้น โจทก์จะเจาะจงเรียกเอาแต่ราคาของทรัพย์ โดยที่ไม่ปรากฏว่าจำเลยไม่อาจที่จะคืนทรัพย์นั้นได้ด้วยเหตุใด หาได้ไม่ แม้โจทก์จะเรียกเอาแต่ราคาทรัพย์ ก็มีผลเหมือนกับเรียกเอาทรัพย์ ศาลมีอำนาจที่จะพิพากษาให้จำเลยคืนทรัพย์เสียก่อนได้ ไม่เป็นการเกินคำขอ
การที่เจ้าของทรัพย์โอนสิทธิที่จะเรียกร้องเอาเครื่องปรับอากาศรายนี้แก่โจทก์มีผลเป็นการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์นั้นต่อกันโดยตรง หาใช่เป็นการโอนหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 306 ไม่ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเรียกร้องเอาทรัพย์ดังกล่าวจากจำเลยได้โดยไม่ต้องมีการบอกกล่าวแจ้งการโอน
สิทธิเรียกร้องเอาคืนซึ่งตัวทรัพย์สินนั้น โจทก์จะเจาะจงเรียกเอาแต่ราคาของทรัพย์ โดยที่ไม่ปรากฏว่าจำเลยไม่อาจที่จะคืนทรัพย์นั้นได้ด้วยเหตุใด หาได้ไม่ แม้โจทก์จะเรียกเอาแต่ราคาทรัพย์ ก็มีผลเหมือนกับเรียกเอาทรัพย์ ศาลมีอำนาจที่จะพิพากษาให้จำเลยคืนทรัพย์เสียก่อนได้ ไม่เป็นการเกินคำขอ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1422/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับประกันชีวิต: สุขภาพ ณ ขณะทำสัญญาสำคัญกว่าประวัติการปฏิเสธ
บริษัทจำเลยไม่ถือว่าการที่ผู้ตายเคยถูกปฏิเสธการรับประกันชีวิตมาก่อนเป็นข้อสำคัญ ข้อสำคัญอยู่ที่ว่าขณะผู้ตายขอประกันชีวิตครั้งที่เกิดเหตุเรื่องนี้สุขภาพของผู้ตายสมบูรณ์ดีหรือไม่ ฉะนั้นเมื่อนายแพทย์ของบริษัทจำเลยตรวจสุขภาพผู้ตายและเสนอเรื่องให้บริษัทจำเลย จนบริษัทจำเลยพิจารณาอนุมัติให้ผู้ตายประกันชีวิตจึงแสดงว่าผู้ตายมีสุขภาพสมบูรณ์ บริษัทจำเลยจะมาปฏิเสธการจ่ายเงินโดยอ้างว่าผู้ตายแจ้งเท็จว่าไม่เคยได้รับปฏิเสธในการขอเอาประกันชีวิตกับบริษัทจำเลยมาก่อนไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1422/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประกันชีวิต การแจ้งเท็จเกี่ยวกับประวัติการขอประกัน การพิจารณาสุขภาพของผู้เอาประกัน
บริษัทจำเลยไม่ถือว่าการที่ผู้ตายเคยถูกปฏิเสธการรับประกันชีวิตมาก่อนเป็นข้อสำคัญ ข้อสำคัญอยู่ที่ว่าขณะผู้ตายขอประกันชีวิตครั้งที่เกิดเหตุเรื่องนี้สุขภาพของผู้ตายสมบูรณ์ดีหรือไม่ ฉะนั้น เมื่อนายแพทย์ของบริษัทจำเลยตรวจสุขภาพผู้ตายและเสนอเรื่องให้บริษัทจำเลย จนบริษัทจำเลยพิจารณาอนุมัติให้ผู้ตายประกันชีวิต จึงแสดงว่าผู้ตายมีสุขภาพสมบูรณ์ บริษัทจำเลยจะมาปฏิเสธการจ่ายเงินโดยอ้างว่าผู้ตายแจ้งเท็จว่า ไม่เคยได้รับปฏิเสธในการขอเอาประกันชีวิตกับบริษัทจำเลยมาก่อนไม่ได้