คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
พิชัย รชตะนันทน์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 438 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 88/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ศาลฎีกาตัดสินประเด็นการวินิจฉัยนอกฟ้อง และการงดสืบพยานที่ไม่ชอบ รวมถึงหน้าที่การนำสืบของคู่ความ
ข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนซึ่งเป็นข้อยกเว้นให้ศาลยกขึ้นวินิจฉัยชี้ขาดตัดสินคดีไปได้โดยไม่ต้องมีคู่ความฝ่ายใดกล่าวอ้างนั้น จะต้องเป็นข้อกฎหมายที่ได้มาจากข้อเท็จจริงในการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบเมื่อคดีไม่มีประเด็นโต้เถียงกันว่าหนี้ที่โจทก์ฟ้องเป็นหนี้รายเดียวกับในคดีเดิม ย่อมไม่มีข้อเท็จจริงที่จะให้วินิจฉัยว่าเป็นหนี้รายเดียวกันและระยะเวลาบังคับคดีได้สิ้นสุดลงแล้วแม้จะเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนก็ตาม หากศาลหยิบยกข้อเท็จจริงในคดีอื่นมาวินิจฉัยแล้วมีคำพิพากษาไป ย่อมเป็นการชี้ขาดตัดสินนอกฟ้องนอกประเด็นต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142
คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาศาลชั้นต้นสั่งวันที่ 14 และนัดฟังคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีวันที่ 18เดือนเดียวกัน คู่ความที่ไม่เห็นด้วยมีโอกาสพอที่จะโต้แย้งคำสั่งนั้นได้ แต่ไม่โต้แย้งไว้ ย่อมไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนั้น
ผู้ร้องร้องขัดทรัพย์ว่าผู้ร้องมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ถูกยึดหนึ่งในสาม ผู้ร้องจึงมีหน้าที่นำสืบก่อน เมื่อไม่มีการสืบพยานข้อเท็จจริงย่อมฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 88/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ศาลฎีกาตัดสินคดีบังคับคดี: การวินิจฉัยนอกฟ้องต้องมีประเด็นข้อพิพาท & การงดสืบพยานต้องโต้แย้งทันที
ข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ซึ่งเป็นข้อยกเว้นให้ศาลยกขึ้นวินิจฉัยชี้ขาดตัดสินคดีไปได้โดยไม่ต้องมีคู่ความฝ่ายใดกล่าวอ้างนั้น จะต้องเป็นข้อกฎหมายที่ได้มาจากข้อเท็จจริงในการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบเมื่อคดีไม่มีประเด็นโต้เถียงกันว่าหนี้ที่โจทก์ฟ้องเป็นหนี้รายเดียวกับในคดีเดิม ย่อมไม่มีข้อเท็จจริงที่จะให้วินิจฉัยว่าเป็นหนี้รายเดียวกันและระยะเวลาบังคับคดีได้สิ้นสุดลงแล้วแม้จะเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนก็ตาม หากศาลหยิบยกข้อเท็จจริงในคดีอื่นมาวินิจฉัยแล้วมีคำพิพากษาไป ย่อมเป็นการชี้ขาดตัดสินนอกฟ้องนอกประเด็น ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142
คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาศาลชั้นต้นสั่งวันที่ 14 และนัดฟังคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีวันที่ 18 เดือนเดียวกัน คู่ความที่ไม่เห็นด้วยมี โอกาสพอที่จะโต้แย้งคำสั่งนั้นได้ แต่ไม่โต้แย้งไว้ ย่อมไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนั้น
ผู้ร้องร้องขัดทรัพย์ว่าผู้ร้องมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ถูกยึดหนึ่งในสาม ผู้ร้องจึงมีหน้าที่นำสืบก่อน เมื่อไม่มีการสืบพยาน ข้อเท็จจริงย่อมฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 59/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องค่าเสียหายจากความผิดทางอาญา: ใช้ตามอายุความอาญา ไม่ใช่ละเมิด
จำเลยกระทำให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาท ทำให้ทรัพย์ของโจทก์เสียหายเป็นมูลความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 225ซึ่งมีอายุความฟ้องร้อง 10 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 95(3) สิทธิของผู้เสียหายที่จะฟ้องเรียกค่าเสียหายต้องถืออายุความฟ้องทางอาญามาใช้บังคับ หาใช่ถืออายุความ 1 ปีฐานละเมิดไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 41/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หนี้ภาษีและเงินเพิ่มในคดีล้มละลาย: สิทธิเรียกร้องและการลำดับการชำระหนี้
"เงินเพิ่ม" ประมวลรัษฎากร มาตรา 89 ตรี ให้ถือว่าเป็นเงินภาษี และ ถือว่าได้เกิดขึ้นแล้วพร้อมกับหนี้ภาษีการค้า เมื่อกรมสรรพากรมีสิทธิได้รับชำระหนี้ภาษีการค้าก็ย่อมมีสิทธิได้รับชำระเงินเพิ่มด้วย แม้ว่ามูลหนี้ภาษีการค้าจะเกิดขึ้นก่อนผู้ประกอบการค้าถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ และเจ้าพนักงานประเมินจะมิได้แจ้งการประเมินไปยังผู้ประกอบการค้าก็ตาม (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่1826/2511)
ห้างจำเลยและผู้เป็นหุ้นส่วนประเภทไม่จำกัดความรับผิดถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์และพิพากษาให้ล้มละลาย กรมสรรพากรยื่นคำขอรับชำระหนี้ค่าภาษีการค้าซึ่งห้างจำเลยค้างชำระในฐานะหนี้บุริมสิทธิ (ลำดับ 6) ศาลชั้นต้นสั่งให้ได้รับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของผู้เป็นหุ้นส่วนเท่านั้น เพราะกรมสรรพากรมิได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของห้างจำเลยภายในกำหนด กรมสรรพากรมิได้อุทธรณ์โต้แย้งการที่กรมสรรพากรจะมีสิทธิได้รับชำระหนี้ในลำดับใด ต้องถือวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ผู้เป็นหุ้นส่วนเป็นเกณฑ์พิจารณา จะถือเอาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ห้างจำเลย ซึ่งศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้กรมสรรพากรได้รับชำระหนี้เป็นยุติไปแล้วมาเป็นเกณฑ์หาได้ไม่ เมื่อปรากฏว่าหนี้ค่าภาษีการค้าที่ขอรับชำระหนี้ ถึงกำหนดชำระเกินกว่าหกเดือนก่อนมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ผู้เป็นหุ้นส่วนกรมสรรพากรย่อมไม่มีสิทธิได้รับชำระหนี้ดังกล่าวจากกองทรัพย์สินของผู้เป็นหุ้นส่วนในลำดับ 6 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ.2483 มาตรา 130 คงมีสิทธิได้รับชำระหนี้ในฐานะหนี้อื่นๆ ตามลำดับ 8 เท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 41/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หนี้ภาษีและการล้มละลาย: สิทธิเรียกร้องชำระหนี้เมื่อผู้ประกอบการล้มละลาย พิจารณาจากกำหนดชำระหนี้และคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์
"เงินเพิ่ม" ประมวลรัษฎากร มาตรา 89 ตรี ให้ถือว่าเป็นเงินภาษีและ ถือว่าได้เกิดขึ้นแล้วพร้อมกับหนี้ภาษีการค้า เมื่อกรมสรรพากรมีสิทธิได้รับชำระหนี้ภาษีการค้าก็ย่อมมีสิทธิได้รับชำระเงินเพิ่มด้วยแม้ว่ามูลหนี้ภาษีการค้าจะเกิดขึ้นก่อนผู้ประกอบการค้าถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ และเจ้าพนักงานประเมินจะมิได้แจ้งการประเมินไปยังผู้ประกอบการค้าก็ตาม (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่1826/2511)
ห้างจำเลยและผู้เป็นหุ้นส่วนประเภทไม่จำกัดความรับผิด ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์และพิพากษาให้ล้มละลาย กรมสรรพากรยื่นคำขอรับชำระหนี้ค่าภาษีการค้าซึ่งห้างจำเลยค้างชำระในฐานะหนี้บุริมสิทธิ(ลำดับ 6) ศาลชั้นต้นสั่งให้ได้รับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของผู้เป็นหุ้นส่วนเท่านั้น เพราะกรมสรรพากรมิได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของห้างจำเลยภายในกำหนด กรมสรรพากรมิได้อุทธรณ์โต้แย้ง การที่กรมสรรพากรจะมีสิทธิได้รับชำระหนี้ในลำดับใด ต้องถือวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ผู้เป็นหุ้นส่วนเป็นเกณฑ์พิจารณา จะถือเอาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ห้างจำเลยซึ่งศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้กรมสรรพากรได้รับชำระหนี้เป็นยุติไปแล้วมาเป็นเกณฑ์หาได้ไม่ เมื่อปรากฏว่าหนี้ค่าภาษีการค้าที่ขอรับชำระหนี้ถึงกำหนดชำระเกินกว่าหกเดือนก่อนมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ผู้เป็นหุ้นส่วนกรมสรรพากรย่อมไม่มีสิทธิได้รับชำระหนี้ดังกล่าวจากกองทรัพย์สินของผู้เป็นหุ้นส่วนในลำดับ 6 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ.2483มาตรา 130 คงมีสิทธิได้รับชำระหนี้ในฐานะหนี้อื่นๆ ตามลำดับ 8 เท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ แจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน: ฟ้องขาดองค์ประกอบความผิด หากเจ้าพนักงานนั้นไม่มีหน้าที่สอบสวนวินัย
ฟ้องหาว่าจำเลยแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่สอบสวนทางวินัย โดยเจตนาให้โจทก์ต้องถูกลงโทษทางวินัยแต่ระบุฟ้องว่าจำเลยแจ้งต่อ ส. ปลัดจังหวัด เจ้าพนักงานฝ่ายปกครองไม่ปรากฏว่า ส. เป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่สอบสวนโจทก์ทางวินัยแต่อย่างใด ฟ้องโจทก์จึงขาดสารสำคัญแห่งความผิดอันเป็นองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 137

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดแจ้งความเท็จต้องระบุเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่สอบสวนชัดเจน หากฟ้องไม่ชัดเจนถือเป็นฟ้องไม่ถูกต้อง
ฟ้องหาว่าจำเลยแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่สอบสวนทางวินัย โดยเจตนาให้โจทก์ต้องถูกลงโทษทางวินัยแต่ระบุฟ้องว่าจำเลยแจ้งต่อ ส. ปลัดจังหวัดเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองไม่ปรากฏว่า ส. เป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่สอบสวนโจทก์ทางวินัยแต่อย่างใด ฟ้องโจทก์จึงขาดสารสำคัญแห่งความผิดอันเป็นองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 137

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2822/2515

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแสดงจดหมายหมิ่นประมาทต่อบุคคลที่สาม มีเจตนาใส่ความ ถือเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326
การที่จำเลยแสดงข้อความในจดหมายที่ได้รับจากผู้อื่นให้บุคคลที่สามทราบโดยรู้อยู่ว่าจดหมายนั้นมีข้อความหมิ่นประมาทผู้เสียหาย นับว่าจำเลยได้ใส่ความผู้เสียหาย แล้วไม่ต่างอะไรกับที่จำเลยได้กล่าวด้วยถ้อยคำวาจา และเมื่อบุคคลที่สามเข้าใจข้อความในจดหมายนั้นแล้วการกระทำของจำเลยก็ครบองค์ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 จำเลยจะได้กล่าวยืนยันข้อความนั้นว่าเป็นความจริงหรือไม่ ไม่เป็นข้อสำคัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2809-2810/2515 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบอกเลิกสัญญาจะซื้อขายที่ดิน: ต้องบอกกล่าวให้ชำระหนี้ก่อน หากไม่ชำระจึงบอกเลิกได้ และคำสั่งศาลระหว่างพิจารณาต้องโต้แย้งทันที
ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตให้โจทก์แก้ฟ้องได้และสั่งงดสืบพยานแล้วนัดฟังคำพิพากษาคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นคำสั่งในระหว่างพิจารณา ก่อนศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีหากจำเลยเห็นว่าไม่ถูกต้องก็ชอบที่จะโต้แย้งไว้เพื่อจะได้อุทธรณ์คำสั่งนั้นต่อไป เมื่อจำเลยมิได้โต้แย้งไว้ย่อมไม่มีสิทธิอุทธรณ์ในปัญหาดังกล่าว
ตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินระหว่างโจทก์จำเลยมิได้ระบุชัดแจ้งว่าหากผู้ซื้อผิดนัดไม่นำเงินที่เหลือมาชำระให้แก่ผู้ขายตามกำหนดสัญญาจะซื้อขายเป็นอันเลิกกันทันทีแม้จะได้กำหนดเวลาการชำระหนี้ค่าที่ดินที่ค้างไว้แน่นอนแล้วก็ตาม แต่วัตถุประสงค์แห่งสัญญานั้นว่าโดยสภาพหรือโดยเจตนาที่คู่สัญญาแสดงไว้ มิใช่ว่าจะเป็นผลสำเร็จได้ก็แต่ด้วยการชำระหนี้ ณ เวลาที่กำหนดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 388 สัญญาจะซื้อขายดังกล่าวจึงต้องบังคับตามมาตรา 387กล่าวคือ จำเลยผู้ขายจะต้องบอกกล่าวให้โจทก์ผู้ซื้อชำระหนี้ภายในระยะเวลาพอสมควรก่อน ถ้าโจทก์ไม่ชำระหนี้ภายในระยะเวลาดังกล่าวนั้นจำเลยจึงจะบอกเลิกสัญญาเสียได้ หากยังมิได้ปฏิบัติเช่นนั้น จำเลยก็ไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2809-2810/2515

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบอกเลิกสัญญาจะซื้อขายที่ดิน: การบอกกล่าวและการปฏิบัติตามมาตรา 387 และผลของการไม่โต้แย้งคำสั่งศาล
ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตให้โจทก์แก้ฟ้องได้และสั่งงดสืบพยานแล้วนัดฟังคำพิพากษาคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นคำสั่งในระหว่างพิจารณา ก่อนศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีหากจำเลยเห็นว่าไม่ถูกต้องก็ชอบที่จะโต้แย้งไว้เพื่อจะได้อุทธรณ์คำสั่งนั้นต่อไป เมื่อจำเลยมิได้โต้แย้งไว้ย่อมไม่มีสิทธิอุทธรณ์ในปัญหาดังกล่าว
ตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินระหว่างโจทก์จำเลยมิได้ระบุชัดแจ้งว่าหากผู้ซื้อผิดนัดไม่นำเงินที่เหลือมาชำระให้แก่ผู้ขายตามกำหนดสัญญาจะซื้อขายเป็นอันเลิกกันทันทีแม้จะได้กำหนดเวลาการชำระหนี้ค่าที่ดินที่ค้างไว้แน่นอนแล้วก็ตาม แต่วัตถุประสงค์แห่งสัญญานั้นว่าโดยสภาพหรือโดยเจตนาที่คู่สัญญาแสดงไว้ มิใช่ว่าจะเป็นผลสำเร็จได้ก็แต่ด้วยการชำระหนี้ ณเวลาที่กำหนดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 388 สัญญาจะซื้อขายดังกล่าวจึงต้องบังคับตามมาตรา 387 กล่าวคือ จำเลยผู้ขายจะต้องบอกกล่าวให้โจทก์ผู้ซื้อชำระหนี้ภายในระยะเวลาพอสมควรก่อน ถ้าโจทก์ไม่ชำระหนี้ภายในระยะเวลาดังกล่าวนั้นจำเลยจึงจะบอกเลิกสัญญาเสียได้ หากยังมิได้ปฏิบัติเช่นนั้นจำเลยก็ไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญา
of 44