พบผลลัพธ์ทั้งหมด 438 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2378/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการอุทธรณ์ในศาลแขวง: คดีไม่มีมูลอาญา ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงไม่ได้
โจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลแขวง ข้อหายักยอกทรัพย์ ศาลแขวงไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่า คดีโจทก์ไม่มีมูลความผิดทางอาญาพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ กรณีเช่นนี้คู่ความต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงฯ พ.ศ.2499 มาตรา 22 และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงฯ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2503 มาตรา 10 แม้โจทก์จะได้อุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงมาก็ไม่ทำให้โจทก์มีอำนาจฎีกาต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2378/2515 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการอุทธรณ์และฎีกาในคดีอาญาที่ศาลแขวงพิพากษายกฟ้องเนื่องจากไม่มีมูล
โจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลแขวง ข้อหายักยอกทรัพย์ ศาลแขวง ไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่า คดีโจทก์ไม่มีมูลความผิดทางอาญา พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ กรณีเช่นนี้คู่ความต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ ในปัญหาข้อเท็จจริง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงฯ พ.ศ.๒๔๙๙ มาตรา ๒๒ และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงฯ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๐๓ มาตรา ๑๐ แม้โจทก์จะได้อุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงมา ก็ไม่ทำให้โจทก์มีอำนาจฎีกาต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2276/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิครอบครองที่ดินพิพาท: การล้อมรั้วเพื่อรักษาสิทธิเดิมระหว่างข้อพิพาท ไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน
การเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินของรัฐอันผู้กระทำจะมีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9,108 นั้น ก็ต่อเมื่อบุคคลนั้นมิได้มีสิทธิครอบครองหรือมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1ที่ 2 เป็นผู้มีสิทธิครอบครองอยู่ก่อน แล้วเกิดข้อพิพาทกันขึ้นระหว่างจำเลยที่ 1 ที่ 2 กับสุขาภิบาล ว่าสิทธิครอบครองของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ในที่พิพาทนี้ยังอยู่แก่จำเลยหรือว่าตกเป็นของสุขาภิบาลไปเสียแล้ว การที่จำเลยเข้าล้อมรั้วเพื่อครอบครองที่พิพาทในระหว่างที่เกิดโต้แย้งสิทธิกันอยู่เช่นนี้ จึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9,108
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2251/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประมาททำให้ถึงแก่ความตาย แต่มีส่วนร่วมของผู้อื่นและมีการถอนฟ้อง
จำเลยกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ ก. ตาย แต่เหตุก็มิได้เกิดจากผลแห่งการกระทำของจำเลยแต่ฝ่ายเดียวบิดาของ ก. ก็มีส่วนร่วมก่อให้เกิดผลนี้ด้วย ประกอบกับบิดาของ ก. ไม่ติดใจเอาเรื่องราวจำเลย คดีมีเหตุสมควรรอการลงโทษจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2245/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เอกสารทางราชการที่ออกตามหน้าที่ แม้ข้อความไม่ตรงกับความจริง ไม่เป็นเอกสารปลอม
จำเลยที่ 4 เป็นนายทะเบียนตำบล มีหน้าที่ออกมรณบัตรในกรณีที่มีผู้ถึงแก่ความตายจำเลยที่ 4 ได้ออกมรณบัตรให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีข้อความแสดงว่า นาย ท.ราษฎรในตำบลนั้น ได้ถึงแก่ความตายแล้ว ซึ่งเป็นความเท็จ ความจริงนาย ท. ยังมีชีวิตอยู่ ดังนี้เอกสารที่จำเลยที่ 4 ออกนั้น ได้ออกให้ตามหน้าที่ที่เป็นนายทะเบียน จึงเป็นเอกสารอันแท้จริงของจำเลยที่ 4 แม้ข้อความในเอกสารจะไม่ตรงต่อความจริง ก็ไม่ทำให้เอกสารนั้นกลายเป็นเอกสารปลอม จำเลยที่ 4 จึงยังไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 161
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2245/2515 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เอกสารทางราชการที่ออกตามหน้าที่ แม้ข้อความไม่ตรงกับความจริง ไม่ถือเป็นเอกสารปลอม
จำเลยที่ 4 เป็นนายทะเบียนตำบล มีหน้าที่ออกมรณบัตรในกรณีที่มีผู้ถึงแก่ความตายจำเลยที่ 4 ได้ออกมรณบัตรให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีข้อความแสดงว่า นาย ท.ราษฎรในตำบลนั้น ได้ถึงแก่ความตายแล้ว ซึ่งเป็นความเท็จความจริงนาย ท. ยังมีชีวิตอยู่ ดังนี้ เอกสารที่จำเลยที่ 4ออกนั้น ได้ออกให้ตามหน้าที่ที่เป็นนายทะเบียนจึงเป็นเอกสารอันแท้จริงของจำเลยที่ 4 แม้ข้อความในเอกสารจะไม่ตรงต่อความจริง ก็ไม่ทำให้เอกสารนั้นกลายเป็นเอกสารปลอม จำเลยที่ 4 จึงยังไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 161
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2199/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ที่สาธารณะริมคลอง: สิทธิการเช่าและการครอบครอง
คันคลองสาธารณะซึ่งน้ำท่วมถึงทุกปีในฤดูน้ำ เป็นที่ชายตลิ่งอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภททรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1304(2) ผู้ใดหามีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองไม่
สาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1304(2) นั้น แม้จำเลยจะทำสัญญาเช่ากับโจทก์ โจทก์ก็ไม่มีสิทธิให้เช่า และฟ้องเรียกค่าเช่าจากจำเลยระหว่างโจทก์จำเลย เมื่อจำเลยเป็นฝ่ายครอบครองอยู่ โจทก์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยได้
(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1532/2509 และ 880/2511)
สาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1304(2) นั้น แม้จำเลยจะทำสัญญาเช่ากับโจทก์ โจทก์ก็ไม่มีสิทธิให้เช่า และฟ้องเรียกค่าเช่าจากจำเลยระหว่างโจทก์จำเลย เมื่อจำเลยเป็นฝ่ายครอบครองอยู่ โจทก์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยได้
(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1532/2509 และ 880/2511)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2066/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลักทรัพย์ vs. ยักยอกทรัพย์: ลูกจ้างสั่งซื้อน้ำมันแล้วนำไปขายเอง
จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นลูกจ้างของโรงแรมโจทก์ร่วมทำหน้าที่เป็นช่างไฟฟ้าควบคุมเครื่องยนต์นำสตีมสำหรับทำน้ำร้อน และเครื่องซักผ้า และได้รับมอบหมายให้สั่งซื้อน้ำมันดีเซลมาใช้กับเครื่องยนต์ครั้งละ 6,000 ลิตร โดยบริษัทผู้ขายน้ำมันจะบรรทุกน้ำมันมาถ่ายลงถังที่โรงแรมโจทก์ร่วม และจำเลยที่ 1 หรือที่ 2 เป็นผู้เซ็นรับในใบสั่งน้ำมัน คราวเกิดเหตุจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นคนขับรถส่งน้ำมันของบริษัทผู้ขายได้บรรทุกน้ำมันมาส่งให้โรงแรมโจทก์ร่วมตามที่จำเลยที่ 2 สั่งซื้อ จำเลยที่ 1 เป็นผู้เซ็นรับน้ำมัน และโจทก์ร่วมก็ได้จ่ายค่าน้ำมันไปแล้ว จำเลยทั้งสามได้ร่วมกันเอาน้ำมันดังกล่าวไปขายเสียไม่ได้ถ่ายน้ำมันลงเก็บในถังไว้ใช้กับเครื่องยนต์ ดังนี้ เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ ไม่ใช่ยักยอก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2041/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาทุจริตในการยึดทรัพย์เพื่อชำระหนี้: การกระทำโดยไม่มีเจตนาร้ายจึงไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์
น. ค้างชำระค่าเช่านาจำเลยอยู่ 29,400 บาท จำเลยเคยทวง น. ก็ยังไม่ชำระให้ จำเลยเคยขอให้ผู้ใหญ่บ้านไปยึดทรัพย์ของ น. ให้ ผู้ใหญ่บ้านก็ไม่ยอมไปวันเกิดเหตุจำเลยกับพวกไปถามหา น. ที่บ้าน คนเฝ้าบ้านของ น. บอกว่าไม่อยู่ จำเลยเข้าตรวจค้นในเรือนไม่พบ จำเลยกับพวกจึงแก้เอากระบือของ น. กับเกวียนของม. ซึ่งจำเลยเข้าใจว่าเป็นของ น. ไป รวมราคา 7,500 บาท ดังนี้ เห็นได้ว่าเป็นการเอาทรัพย์ของ น. และม. ไปเพื่อหักใช้หนี้กัน และทรัพย์นั้นก็ไม่เกินกว่าจำนวนหนี้ ถือว่าจำเลยไม่มีเจตนาทุจริต ไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1963/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการปล่อยตัวนักโทษตามพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษ: ศาลจังหวัดนนทบุรีมีอำนาจเหนือศาลทหารกรุงเทพ
จำเลย (ที่ 1) ถูกศาลทหารกรุงเทพ (ศาลอาญา) ตัดสินให้ประหารชีวิตเมื่อ พ.ศ.2503 แต่จำเลยได้รับพระราชทานอภัยโทษ 2 ครั้งตามพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ.2504 และ พ.ศ. 2506 ลดโทษลงเป็นจำคุก 20 ปี นับแต่วันที่ 20 พฤศจิกายน 2502 จำเลยจึงเป็นนักโทษเด็ดขาด ถูกจำคุกไว้ที่เรือนจำกลางบางขวาง ครั้นต่อมาได้มี พระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ. 2514 ออกใช้บังคับ ซึ่งผู้ร้องผู้เป็นภริยาจำเลยเห็นว่า ตามความในมาตรา 5(จ)
จำเลยอยู่ในเกณฑ์ที่จะได้รับพระราชทานอภัยโทษ แต่ก็ยังมิได้รับการพิจารณาสั่งปล่อย ผู้ร้องจึงได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลปล่อยจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 90 โดยถือว่าจำเลยถูกควบคุมโดยผิดกฎหมาย การยื่นคำร้องดังกล่าวนั้นต้องยื่นต่อศาลจังหวัดนนทบุรีตามความในมาตรา 4 และมาตรา 9 แห่งพระราชกฤษฎีกาฉบับดังกล่าว ซึ่งให้อำนาจแก่ศาลแห่งท้องที่ที่ผู้ซึ่งจะได้รับพระราชทานอภัยโทษอยู่ในเขตมีอำนาจออกหมายสั่งปล่อย หาใช่ศาลทหารกรุงเทพ(ศาลอาญา) ไม่ เพราะมิใช่เป็นการกล่าวอ้างว่าถูกจำคุก ผิดจากคำพิพากษาของศาลทหารกรุงเทพ (ศาลอาญา)
จำเลยอยู่ในเกณฑ์ที่จะได้รับพระราชทานอภัยโทษ แต่ก็ยังมิได้รับการพิจารณาสั่งปล่อย ผู้ร้องจึงได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลปล่อยจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 90 โดยถือว่าจำเลยถูกควบคุมโดยผิดกฎหมาย การยื่นคำร้องดังกล่าวนั้นต้องยื่นต่อศาลจังหวัดนนทบุรีตามความในมาตรา 4 และมาตรา 9 แห่งพระราชกฤษฎีกาฉบับดังกล่าว ซึ่งให้อำนาจแก่ศาลแห่งท้องที่ที่ผู้ซึ่งจะได้รับพระราชทานอภัยโทษอยู่ในเขตมีอำนาจออกหมายสั่งปล่อย หาใช่ศาลทหารกรุงเทพ(ศาลอาญา) ไม่ เพราะมิใช่เป็นการกล่าวอ้างว่าถูกจำคุก ผิดจากคำพิพากษาของศาลทหารกรุงเทพ (ศาลอาญา)