พบผลลัพธ์ทั้งหมด 438 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 765/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจการจัดการทรัพย์สินพระมหากษัตริย์: การเปลี่ยนชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์จากพระปรมาภิไธยเป็นสำนักงานทรัพย์สินฯ
พระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ.2479มาตรา 4 ได้แบ่งทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์เป็น 3 ประเภทคือทรัพย์สินส่วนพระองค์ทรัพย์สินส่วนสาธารณสมบัติของแผ่นดินและทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ มาตรา 5 บัญญัติว่าทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ (เว้นเครื่องอุปโภคบริโภค) ให้อยู่ในความดูแลรักษาและจัดหาประโยชน์ของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เมื่อที่ดินมีตราจองในคดีนี้ยังอยู่ในพระปรมาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวแต่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ผู้ร้องอ้างว่าเป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ อยู่ในความดูแลของผู้ร้องแล้วจึงมีปัญหาว่าที่ดินตามตราจองนี้เป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์หรือไม่ การวินิจฉัยปัญหานี้เป็นอำนาจของศาลที่จะวินิจฉัย เจ้าพนักงานที่ดินไม่มีอำนาจเปลี่ยนนามผู้ถือกรรมสิทธิ์ในตราจองมาเป็นนามผู้ร้องได้ผู้ร้องจึงมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนและมีคำสั่งเปลี่ยนนามผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินตราจองจากพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ มาเป็นนามของผู้ร้องถือกรรมสิทธิ์ เพื่อผู้ร้องจะได้ดำเนินการขอเปลี่ยนจากตราจองเป็นโฉนดต่อไปได้
ทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ไม่ใช่ทรัพย์สินของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ผู้ร้องการที่ผู้ร้องขอให้ลงชื่อผู้ร้องถือกรรมสิทธิ์นั้น เป็นการขอถือกรรมสิทธิ์แทนพระมหากษัตริย์เพื่อประโยชน์ในการจัดการทรัพย์สิน จึงไม่ใช่การจดทะเบียนสิทธิการได้มาซึ่งที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 78 เจ้าพนักงานที่ดินจะอาศัยบทกฎหมายดังกล่าวจดทะเบียนลงชื่อผู้ร้องหาได้ไม่
ทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ไม่ใช่ทรัพย์สินของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ผู้ร้องการที่ผู้ร้องขอให้ลงชื่อผู้ร้องถือกรรมสิทธิ์นั้น เป็นการขอถือกรรมสิทธิ์แทนพระมหากษัตริย์เพื่อประโยชน์ในการจัดการทรัพย์สิน จึงไม่ใช่การจดทะเบียนสิทธิการได้มาซึ่งที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 78 เจ้าพนักงานที่ดินจะอาศัยบทกฎหมายดังกล่าวจดทะเบียนลงชื่อผู้ร้องหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 755/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
โกงเจ้าหนี้: 'หนี้' ไม่จำกัดเฉพาะเงิน, เจตนาไม่ชำระหนี้สำคัญ, ข้อพิพาทสัญญาไม่ใช่ความผิดอาญา
คำว่า "หนี้" ที่บัญญัติไว้ในตอนต้นของมาตรา 350 แห่งประมวลกฎหมายอาญา มิได้หมายถึงเฉพาะหนี้เงินเท่านั้น แต่ยังรวมถึงหนี้อื่น ๆ ด้วย
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ทำสัญญาขายที่ดินมีโฉนดให้แก่โจทก์ โจทก์เข้าครอบครองที่ดินนั้นและชำระราคาครบถ้วนแล้ว เหลือแต่การโอนโฉนด โจทก์ย่อมได้ชื่อว่าอยู่ในฐานะอันจะจดทะเบียนสิทธิได้ก่อน โจทก์จึงเป็นเจ้าหนี้แน่นอนของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ซึ่งจำเลยทั้งสองมีหนี้ที่จะต้องโอนที่ดินให้โจทก์จำเลยที่ 1 ที่ 2 กลับโอนขายที่ดินนั้นให้จำเลยที่ 3 ไปเสีย โดยจำเลยทั้งสามทราบอยู่แล้วว่าโจทก์กำลังจะฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2 แต่ได้ความว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นผู้มีทรัพย์สินมากพอที่จะชำระหนี้ค่าเสียหายให้โจทก์ได้ แม้หนี้สินอื่นที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นหนี้โจทก์อยู่เป็นจำนวนมาก จำเลยก็ชำระให้โดยไม่บิดพลิ้ว การที่จำเลยทั้งสองไม่ยอมโอนที่ดินดังกล่าวให้โจทก์นั้น เป็นเพราะโจทก์กับจำเลยแปลความในสัญญากันคนละทาง มิใช่เพราะมีเจตนาที่จะไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ จึงเป็นเรื่องผิดสัญญาในทางแพ่ง ไม่เป็นความผิดทางอาญาฐานโกงเจ้าหนี้ และจำเลยที่ 3 ผู้รับซื้อที่ดินนั้นไว้ก็ย่อมไม่มีความผิดทางอาญาดุจกัน
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 13/2517 และครั้งที่ 2/2518)
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ทำสัญญาขายที่ดินมีโฉนดให้แก่โจทก์ โจทก์เข้าครอบครองที่ดินนั้นและชำระราคาครบถ้วนแล้ว เหลือแต่การโอนโฉนด โจทก์ย่อมได้ชื่อว่าอยู่ในฐานะอันจะจดทะเบียนสิทธิได้ก่อน โจทก์จึงเป็นเจ้าหนี้แน่นอนของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ซึ่งจำเลยทั้งสองมีหนี้ที่จะต้องโอนที่ดินให้โจทก์จำเลยที่ 1 ที่ 2 กลับโอนขายที่ดินนั้นให้จำเลยที่ 3 ไปเสีย โดยจำเลยทั้งสามทราบอยู่แล้วว่าโจทก์กำลังจะฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2 แต่ได้ความว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นผู้มีทรัพย์สินมากพอที่จะชำระหนี้ค่าเสียหายให้โจทก์ได้ แม้หนี้สินอื่นที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นหนี้โจทก์อยู่เป็นจำนวนมาก จำเลยก็ชำระให้โดยไม่บิดพลิ้ว การที่จำเลยทั้งสองไม่ยอมโอนที่ดินดังกล่าวให้โจทก์นั้น เป็นเพราะโจทก์กับจำเลยแปลความในสัญญากันคนละทาง มิใช่เพราะมีเจตนาที่จะไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ จึงเป็นเรื่องผิดสัญญาในทางแพ่ง ไม่เป็นความผิดทางอาญาฐานโกงเจ้าหนี้ และจำเลยที่ 3 ผู้รับซื้อที่ดินนั้นไว้ก็ย่อมไม่มีความผิดทางอาญาดุจกัน
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 13/2517 และครั้งที่ 2/2518)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 755/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่เป็นทรัพย์สินของพระมหากษัตริย์ ผู้ร้องมีสิทธิขอคำสั่งศาลเพื่อดำเนินการจัดการทรัพย์สิน
คำว่า 'หนี้' ที่บัญญัติไว้ในตอนต้นของมาตรา 350 แห่งประมวลกฎหมายอาญา มิได้หมายถึงเฉพาะหนี้เงินเท่านั้นแต่ยังรวมถึงหนี้อื่นๆ ด้วย
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ทำสัญญาขายที่ดินมีโฉนดให้แก่โจทก์โจทก์เข้าครอบครองที่ดินนั้นและชำระราคาครบถ้วนแล้ว เหลือแต่การโอนโฉนด โจทก์ย่อมได้ชื่อว่าอยู่ในฐานะอันจะจดทะเบียนสิทธิได้ก่อน โจทก์จึงเป็นเจ้าหนี้แน่นอนของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ซึ่งจำเลยทั้งสองมีหนี้ที่จะต้องโอนที่ดินให้โจทก์ จำเลยที่ 1 ที่ 2 กลับโอนขายที่ดินนั้นให้จำเลยที่ 3 ไปเสีย โดยจำเลยทั้งสามทราบอยู่แล้วว่า โจทก์กำลังจะฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2 แต่ได้ความว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นผู้มีทรัพย์สินมากพอที่จะชำระหนี้ค่าเสียหายให้โจทก์ได้ แม้หนี้สินอื่นที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นหนี้โจทก์อยู่เป็นจำนวนมาก จำเลยก็ชำระให้โดยไม่บิดพลิ้ว การที่จำเลยทั้งสองไม่ยอมโอนที่ดินดังกล่าวให้โจทก์นั้น เป็นเพราะโจทก์กับจำเลยแปลความในสัญญากันคนละทาง มิใช่เพราะมีเจตนาที่จะไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ จึงเป็นเรื่องผิดสัญญาในทางแพ่ง ไม่เป็นความผิดทางอาญาฐานโกงเจ้าหนี้ และจำเลยที่ 3 ผู้รับซื้อที่ดินนั้นไว้ ก็ย่อมไม่มีความผิดทางอาญาดุจกัน (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 13/2517 และครั้งที่ 2/2518)
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ทำสัญญาขายที่ดินมีโฉนดให้แก่โจทก์โจทก์เข้าครอบครองที่ดินนั้นและชำระราคาครบถ้วนแล้ว เหลือแต่การโอนโฉนด โจทก์ย่อมได้ชื่อว่าอยู่ในฐานะอันจะจดทะเบียนสิทธิได้ก่อน โจทก์จึงเป็นเจ้าหนี้แน่นอนของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ซึ่งจำเลยทั้งสองมีหนี้ที่จะต้องโอนที่ดินให้โจทก์ จำเลยที่ 1 ที่ 2 กลับโอนขายที่ดินนั้นให้จำเลยที่ 3 ไปเสีย โดยจำเลยทั้งสามทราบอยู่แล้วว่า โจทก์กำลังจะฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2 แต่ได้ความว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นผู้มีทรัพย์สินมากพอที่จะชำระหนี้ค่าเสียหายให้โจทก์ได้ แม้หนี้สินอื่นที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นหนี้โจทก์อยู่เป็นจำนวนมาก จำเลยก็ชำระให้โดยไม่บิดพลิ้ว การที่จำเลยทั้งสองไม่ยอมโอนที่ดินดังกล่าวให้โจทก์นั้น เป็นเพราะโจทก์กับจำเลยแปลความในสัญญากันคนละทาง มิใช่เพราะมีเจตนาที่จะไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ จึงเป็นเรื่องผิดสัญญาในทางแพ่ง ไม่เป็นความผิดทางอาญาฐานโกงเจ้าหนี้ และจำเลยที่ 3 ผู้รับซื้อที่ดินนั้นไว้ ก็ย่อมไม่มีความผิดทางอาญาดุจกัน (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 13/2517 และครั้งที่ 2/2518)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 651/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีตามคำพิพากษา แม้มีการทำยอมนอกศาล แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตาม ศาลยังคงบังคับคดีได้
ศาลพิพากษาให้จำเลยคืนรถยนต์กับใช้ค่าเสียหาย 3,000 บาทระหว่างอุทธรณ์โจทก์จำเลยร้องขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาตามยอมที่โจทก์จำเลยนำมายื่นต่อศาลชั้นต้นเพื่อส่งไปศาลอุทธรณ์ทำยอมแต่จำเลยไม่ไปศาลและโจทก์ไม่ประสงค์ทำยอมตามที่ขอไว้ศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีถึงที่สุดแล้วจำเลยต้องทำตามคำบังคับ เรื่องสัญญายอมความเป็นเรื่องนอกศาลจำเลยอ้างให้งดบังคับคดีไม่ได้ โจทก์รับต่อศาลว่าได้รับรถคืนแล้ว หนี้ประการนี้จึงระงับไป แต่หนี้ใช้ค่าเสียหายตามคำพิพากษายังต้องบังคับต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 620/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบโต๊ะบิลเลียดไฟฟ้าที่เป็นอุปกรณ์ใช้ในการเล่นพนันสล๊อทแมชีน
จำเลยให้การรับสารภาพตลอดข้อหา ซึ่งบรรยายว่าของกลางคือโต๊ะเครื่องเล่นไฟฟ้าจักรกลสปริง (บิลเลียดไฟฟ้า) อันเป็นอุปกรณ์ใช้ในการเล่นพนันสล๊อทแมชีน จับได้ในขณะเล่นพนันจึงต้องริบของกลางนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 590/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความ: สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายขาดไร้อุปการะ
นายจ้างของผู้ทำละเมิดตกลงกับโจทก์ซึ่งเป็นบิดาของผู้ถูกละเมิดยอมใช้ค่าเสียหาย 3,000 บาท โจทก์ยอมรับว่าจะไม่เรียกร้องค่าเสียหายใดๆ อีก ดังนี้ เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์เรียกค่าขาดไร้อุปการะอีกไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 575/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้เช่าซื้อในกรณีรถยนต์ถูกลัก และผลกระทบจากข้อสัญญา
ข้อสัญญาว่าผู้เช่าซื้อต้องรับผิดแม้ในเหตุสุดวิสัยหมายความรวมถึงรถยนต์ที่เช่าซื้อถูกลักไปด้วยศาลกำหนดให้ผู้เช่าซื้อใช้ราคารถตามที่กำหนดในสัญญาหักด้วยเงินค่าเช่าซื้อที่ได้ชำระแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 566/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาค้ำประกันที่ไม่มีอากรแสตมป์ใช้บังคับไม่ได้ แม้โจทก์เป็นหน่วยงานราชการ
แม้โจทก์จะเป็นกรมในรัฐบาล ก็ไม่มีกฎหมายให้ได้รับการยกเว้นไม่ต้องปิดอากรแสตมป์ในหนังสือสัญญาค้ำประกัน หนังสือสัญญาค้ำประกันที่โจทก์อ้างไม่ติดอากรแสตมป์ ใช้เป็นหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้ตามประมวลรัษฎากรมาตรา 118 โจทก์จึงบังคับจำเลยให้ต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันดังกล่าวไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 566/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือสัญญาค้ำประกันที่ไม่มีอากรแสตมป์ใช้เป็นหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้ แม้โจทก์เป็นหน่วยงานราชการ
แม้โจทก์จะเป็นกรมในรัฐบาล ก็ไม่มีกฎหมายให้ได้รับการยกเว้นไม่ต้องปิดอากรแสตมป์ในหนังสือสัญญาค้ำประกัน หนังสือสัญญาค้ำประกันที่โจทก์อ้างไม่ได้ติดอากรแสตมป์ใช้เป็นหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 โจทก์จึงบังคับจำเลยให้ต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันดังกล่าวไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 565/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งคำบังคับชอบด้วยกฎหมาย แม้โจทก์ย้ายที่อยู่ แต่ยังใช้ที่อยู่เดิมในฟ้องและชั้นพิจารณา
ศาลพิพากษาให้โจทก์ใช้เงินแก่จำเลยและออกคำบังคับส่งให้โจทก์ทราบ ในการส่งคำบังคับจำเลยได้นำเจ้าพนักงานเดินหมายส่งคำบังคับให้โจทก์ที่บ้านเลขที่773/12 อันเป็นที่อยู่ที่โจทก์ระบุไว้ในคำฟ้องของโจทก์และโจทก์ได้ใช้ที่อยู่ดังกล่าวตลอดมา โดยมี พ. อายุเกิน 20 ปี อยู่ที่บ้านดังกล่าวเต็มใจรับคำบังคับไว้แทนและไม่ปรากฏว่า พ. รับคำบังคับไว้แทนโจทก์โดยหลงผิดดังนี้นับว่าได้มีการส่งคำบังคับแก่โจทก์โดยชอบแล้วแม้โจทก์จะได้ย้ายไปอยู่บ้านเลขที่ 733/7 นานแล้วแต่เมื่อปรากฏว่าโจทก์เคยอยู่ที่บ้านเลขที่ 773/12 อันเป็นที่อยู่ของโจทก์ตามฟ้องก่อนโจทก์ฟ้องคดี และเมื่อฟ้องคดีและตลอดมาในชั้นพิจารณา โจทก์ก็ใช้ที่อยู่ที่บ้านเลขที่ 773/12 ไม่เคยแถลงต่อศาลว่าได้ย้ายไปอยู่บ้านเลขที่ 733/7 แต่อย่างใด พฤติการณ์ดังกล่าวจึงถือได้ว่าโจทก์ได้ใช้บ้านเลขที่ 773/12 เป็นที่อยู่ของโจทก์อีกแห่งหนึ่งด้วย การส่งคำบังคับให้โจทก์จึงชอบแล้ว