พบผลลัพธ์ทั้งหมด 521 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1276/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองไม้แปรรูปที่ยังไม่เป็นเครื่องใช้สำเร็จรูป มีความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้
ไม้ของกลางเป็นไม้สักแผ่นเล็ก ๆ รวม 95 ชิ้น ตัดเป็นรูปคล้ายค้างคาวและปลา ตรงกลางขุดเซาะเป็นแอ่ง ตัดและขุดเป็นรูปหยาบ ๆ ยังไม่เป็นรูปสัตว์ และดูไม่ออกว่าทำเป็นภาชนะใส่อะไร ไม่ได้ตกแต่งตามรอยตัด ไม่ลบเหลี่ยม มีเสี้ยนและรอยสิ่ว รอยมีด ไม่ขัดทาน้ำมัน ลักษณะดังนี้ถือได้ว่ายังเป็นไม้แปรรูปอยู่ ยังไม่เป็นภาชนะใส่อาหารตั้งบนโตกอันจะเป็นเครื่องใช้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1229/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สำคัญผิดในคุณสมบัติทรัพย์ สัญญาจะซื้อขายโมฆียะ เลิกสัญญาคืนเงิน
จำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินให้แก่โจทก์ มีข้อความในสัญญาว่าที่ดินไม่มีภาระติดพันใดๆ เลย ซึ่งจำเลยรู้ดีว่าที่ดินนี้ติดจำนองไว้แก่ผู้อื่นและปกปิดความจริงข้อนี้ และมีพฤติการณ์ที่แสดงว่าหากโจทก์รู้ความจริงข้อนี้ก็คงจะไม่ทำสัญญากับจำเลยเป็นแน่ ย่อมถือว่าโจทก์สำคัญผิดในคุณสมบัติของทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่งสัญญาจะซื้อขายซึ่งตามปกติย่อมนับว่าเป็นสาระสำคัญสัญญาดังกล่าวจึงเป็นโมฆียะ
เมื่อโจทก์ทราบความจริงแล้วได้ไปร้องทุกข์ เจ้าพนักงานตำรวจไกล่เกลี่ยจนตกลงกันว่าจำเลยยินยอมจะคืนเงิน 800,000 บาท ให้แก่โจทก์ ดังนี้ ฟังได้ว่าโจทก์จำเลยได้ตกลงเลิกสัญญากันแล้ว โจทก์และจำเลยย่อมต้องคืนสู่ฐานะเดิม จำเลยจึงต้องคืนเงิน 800,000 บาท นั้นให้แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยนับแต่วันที่ได้รับเงินไว้ แต่เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยเสียดอกเบี้ยนับแต่วันบอกล้างโมฆียะกรรม โจทก์มิได้อุทธรณ์ข้อนี้ จึงเป็นอันยุติไปตามนั้น
เมื่อโจทก์ทราบความจริงแล้วได้ไปร้องทุกข์ เจ้าพนักงานตำรวจไกล่เกลี่ยจนตกลงกันว่าจำเลยยินยอมจะคืนเงิน 800,000 บาท ให้แก่โจทก์ ดังนี้ ฟังได้ว่าโจทก์จำเลยได้ตกลงเลิกสัญญากันแล้ว โจทก์และจำเลยย่อมต้องคืนสู่ฐานะเดิม จำเลยจึงต้องคืนเงิน 800,000 บาท นั้นให้แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยนับแต่วันที่ได้รับเงินไว้ แต่เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยเสียดอกเบี้ยนับแต่วันบอกล้างโมฆียะกรรม โจทก์มิได้อุทธรณ์ข้อนี้ จึงเป็นอันยุติไปตามนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1203/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หมิ่นประมาททางหนังสือพิมพ์: การใส่ความเสียหายต้องความรับผิดของผู้เขียนและบรรณาธิการ
บริษัทโจทก์ที่ 1 เป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์รายวันแนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์มีโจทก์ที่ 2 เป็นผู้อำนวยการ จำเลยที่ 2 เป็นห้วหน้ากองบรรณาธิการ จำเลยที่ 3 เป็นบรรณาธิการข่าวในประเทศ หนังสือพิมพ์ฉบับนี้มีเงินสวัสดิการช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ในกองบรรณาธิการรวมหนึ่งล้านเก้าแสนแปดหมื่นเจ็ดพัน บาทเศษ และบริษัทโจทก์ยังไม่ได้แบ่งรายได้ค่าโฆษณาเข้าสมทบอีก 1,247,402 บาท 40 สตางค์ จำเลยที่ 2, 3 กับเจ้าหน้าที่ในกองบรรณาธิการหลายสิบคนเข้าชื่อกันมีหนังสือถึงโจทก์ที่ 2 ให้จ่ายเงินจำนวนดังกล่าวเข้าสมทบเงินสวัสดิการ โจทก์ไม่ยอมจ่าย เพราะเกรงว่าจำเลยที่ 2 จะเอาไปจ่ายให้เฉพาะผู้ที่ออกจากงานพร้อมกับจำเลยที่ 2 ซึ่งมีเหตุที่จะอ้างเช่นนั้นได้ และต่อมาก็ปรากฏว่าเงินสวัสดิการหนึ่งล้านเก้าแสนบาทเศษที่อยู่ที่จำเลยที่ 2 นั้น จำเลยที่ 2 ได้จ่ายให้ผู้ที่ออกจากงานพร้อมกับจำเลยที่ 2 จนหมดสิ้น จึงไม่ใช่เรื่องโจทก์บิดพลิ้วไม่ยอมจ่ายเงิน ฉะนั้นการที่จำเลยที่ 2 เขียนข้อความลงในหน้าหนังสือพิมพ์บางกอกเดลิไทม์ จำหน่ายโฆษณาแก่ประชาชนทั่วราชอาณาจักรกล่าวหาว่าโจทก์โกงแม้กระทั่งเงินสวัสดิการของออฟฟิสบอยและคนถู-บ้านก็ดี โจทก์มีเหลี่ยมโกงและทำความระยำก็ดี ตลอดจนเปลี่ยนนามสกุลโจทก์ที่ 2 เป็นเบี้ยตระกูล ซึ่งคำว่าเบี้ยวนี้ จำเลยที่ 2 ก็ยอมรับว่าหมายถึงฉ้อโกง ดังนี้ก็ดี หาเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตเพื่อป้องกันสวนได้เสียของตน หรือเป็นการแจ้งข่าวด้วยความเป็นธรรมไม่ แต่เป็นเรื่องจำเลยที่ 2 มุ่งใส่ความโจทก์ทั้งสองให้ได้รับความเสียหาย จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้เขียนและบรรณาธิการจึงมีความผิดฐานหมิ่นประมาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 ประกอบด้วยมาตรา 326
ได้ความเพียงว่าจำเลยที่ 2 ผู้เป็นประธานกรรมการของบริษัทจำเลยที่ 1 ได้หมิ่นประมาทโจทก์เพราะมีสาเหตุกันเป็นส่วนตัว ข้อเท็จจริงไม่พอฟังว่ากระทำไปในฐานะประธานกรรมการบริษัทจำเลยที่ 1 บริษัทจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดด้วย
ได้ความเพียงว่าจำเลยที่ 2 ผู้เป็นประธานกรรมการของบริษัทจำเลยที่ 1 ได้หมิ่นประมาทโจทก์เพราะมีสาเหตุกันเป็นส่วนตัว ข้อเท็จจริงไม่พอฟังว่ากระทำไปในฐานะประธานกรรมการบริษัทจำเลยที่ 1 บริษัทจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1203/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หมิ่นประมาททางหนังสือพิมพ์: การใส่ความให้เสียหายโดยมีเจตนาเฉพาะตัว ไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย
บริษัทโจทก์ที่ 1 เป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์รายวันแนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์มีโจทก์ที่ 2 เป็นผู้อำนวยการ จำเลยที่ 2 เป็นหัวหน้ากองบรรณาธิการจำเลยที่ 3 เป็นบรรณาธิการข่าวในประเทศหนังสือพิมพ์ฉบับนี้มีเงินสวัสดิการช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ในกองบรรณาธิการรวมหนึ่งล้านเก้าแสนแปดหมื่นเจ็ดพันบาทเศษ และบริษัทโจทก์ยังไม่ได้แบ่งรายได้ค่าโฆษณาเข้าสมทบอีก 1,247,402 บาท 40 สตางค์ จำเลยที่ 2,3 กับเจ้าหน้าที่ในกองบรรณาธิการหลายสิบคนเข้าชื่อกันมีหนังสือถึงโจทก์ที่ 2 ให้จ่ายเงินจำนวนดังกล่าวเข้าสมทบเงินสวัสดิการ โจทก์ไม่ยอมจ่าย เพราะเกรงว่าจำเลยที่ 2 จะเอาไปจ่ายให้เฉพาะผู้ที่ออกจากงานพร้อมกับจำเลยที่ 2 ซึ่งมีเหตุที่จะอ้างเช่นนั้นได้และต่อมาก็ปรากฏว่าเงินสวัสดิการหนึ่งล้านเก้าแสนบาทเศษที่อยู่ที่จำเลยที่ 2 นั้น จำเลยที่ 2 ได้จ่ายให้ผู้ที่ออกจากงานพร้อมกับจำเลยที่ 2 จนหมดสิ้น จึงไม่ใช่เรื่องโจทก์บิดพลิ้วไม่ยอมจ่ายเงินฉะนั้นการที่จำเลยที่ 2 เขียนข้อความลงในหน้าหนังสือพิมพ์บางกอกเดลิไทม์ จำหน่ายโฆษณาแก่ประชาชนทั่วราชอาณาจักรกล่าวหาว่าโจทก์โกงแม้กระทั่งเงินสวัสดิการของออฟฟิสบอยและคนถูบ้านก็ดี โจทก์มีเหลี่ยมโกงและทำความระยำก็ดีตลอดจนเปลี่ยนนามสกุลโจทก์ที่ 2 เป็นเบี้ยวตระกูล ซึ่งคำว่าเบี้ยวนี้ จำเลยที่ 2 ก็ยอมรับว่าหมายถึงฉ้อโกง ดังนี้ก็ดี หาเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตเพื่อป้องกันส่วนได้เสียของตน หรือเป็นการแจ้งข่าวด้วยความเป็นธรรมไม่ แต่เป็นเรื่องจำเลยที่ 2 มุ่งใส่ความโจทก์ทั้งสองให้ได้รับความเสียหายจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้เขียนและบรรณาธิการจึงมีความผิดฐานหมิ่นประมาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 ประกอบด้วยมาตรา 326
ได้ความเพียงว่าจำเลยที่ 2 ผู้เป็นประธานกรรมการของบริษัทจำเลยที่ 1 ได้หมิ่นประมาทโจทก์เพราะมีสาเหตุกันเป็นส่วนตัว ข้อเท็จจริงยังไม่พอฟังว่ากระทำไปในฐานะประธานกรรมการบริษัทจำเลยที่ 1 บริษัทจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดด้วย
ได้ความเพียงว่าจำเลยที่ 2 ผู้เป็นประธานกรรมการของบริษัทจำเลยที่ 1 ได้หมิ่นประมาทโจทก์เพราะมีสาเหตุกันเป็นส่วนตัว ข้อเท็จจริงยังไม่พอฟังว่ากระทำไปในฐานะประธานกรรมการบริษัทจำเลยที่ 1 บริษัทจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1124/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบกางเกงที่เตรียมติดเครื่องหมายการค้าปลอม แม้ยังไม่ได้ติด ก็ถือเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำผิดได้
กางเกงขายาวของกลางที่เจ้าพนักงานยึดได้พร้อมกางเกงขายาวที่ติดเครื่องหมายการค้าปลอม และแผ่นป้ายเครื่องหมายการค้าปลอมแม้จะยังไม่ได้ติดเครื่องหมายการค้าปลอม ก็ถือได้ว่าเป็นกางเกงที่เตรียมรอติดเครื่องหมายการค้าปลอม จึงเป็นของที่จำเลยมีไว้ด้วยเจตนาเพื่อใช้ในการกระทำความผิด พึงริบได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1124/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบกางเกงที่เตรียมไว้เพื่อติดเครื่องหมายการค้าปลอม แม้ยังไม่ได้ติดก็ถือเป็นทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำผิดได้
กางเกงขายาวของกลางที่เจ้าพนักงานยึดได้พร้อมกางเกงขายาวที่ติดเครื่องหมายการค้าปลอม และแผ่นป้ายเครื่องหมายการค้าปลอม แม้จะยังไม่ได้ติดเครื่องหมายการค้าปลอม ก็ถือได้ว่าเป็นกางเกงที่เตรียมรอติดเครื่องหมายการค้าปลอม จึงเป็นของที่จำเลยมีไว้ด้วยเจตนาเพื่อใช้ในการกระทำความผิด พึงริบได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1067/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์หนี้ในคดีล้มละลาย: เจ้าหนี้ต้องแสดงหลักฐานต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ขอพิสูจน์หนี้ในคดีล้มละลายแล้วไม่นำพยานหลักฐานมาแสดงต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในการสอบสวนคำขอรับชำระหนี้ คดีรับฟังไม่ได้ว่าเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์เป็นเจ้าหนี้อยู่จริงตามที่ขอรับชำระเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ชอบที่จะยกคำขอนั้น
ค่าฤชาธรรมเนียมที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เสียไปในการดำเนินกระบวนพิจารณาต่อศาล ศาลให้หักเอาจากเงินที่รวบรวมได้ในคดีล้มละลาย ถ้าไม่มีพอก็ให้เอาจากเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ตาม พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา155
ค่าฤชาธรรมเนียมที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เสียไปในการดำเนินกระบวนพิจารณาต่อศาล ศาลให้หักเอาจากเงินที่รวบรวมได้ในคดีล้มละลาย ถ้าไม่มีพอก็ให้เอาจากเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ตาม พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา155
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1031/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ละเมิด ผู้รับประกันภัยค้ำจุน: อำนาจศาลและหลักฐานกรมธรรม์
คดีละเมิด ผู้ทำละเมิดกับผู้รับประกันภัยค้ำจุนต้องรับผิดในมูลความแห่งคดีซึ่งแบ่งแยกกันไม่ได้ จำเลยที่ 3 มีภูมิลำเนาในเขตอำนาจศาลแพ่ง โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามต่อศาลแพ่งได้
กรมธรรม์ประกันภัยมีต้นฉบับอยู่ที่ขนส่งจังหวัด 1 ฉบับไม่ใช่ต้นฉบับสูญหายซึ่งจะสืบพยานบุคคลแทนได้
กรมธรรม์ประกันภัยมีต้นฉบับอยู่ที่ขนส่งจังหวัด 1 ฉบับไม่ใช่ต้นฉบับสูญหายซึ่งจะสืบพยานบุคคลแทนได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1018/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับของแทนแล้วผูกมัดผู้ซื้อ แม้ราคาเกิน 500 บาท
ผู้ที่จำเลยแสดงออกว่าเป็นตัวแทนลงชื่อรับของที่จำเลยซื้อจากโจทก์ไว้แล้ว แม้ราคาเกินกว่า 500 บาท โจทก์ก็ฟ้องบังคับจำเลยให้ใช้ราคาได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 998-1003/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้ขับรถโดยสารไม่ใช่ผู้ประกอบการ ไม่ผิดตาม พ.ร.บ.ขนส่ง
ผู้ขับรถยนต์โดยสารประจำทางซึ่งเป็นลูกจ้างของผู้รับใบอนุญาตประกอบการขนส่ง ไม่ใช่ผู้ประกอบการขนส่งประจำทาง ไม่มีความผิดตาม พระราชบัญญัติขนส่ง พ.ศ.2497 มาตรา 10,59 ในการประกอบการขนส่งโดยไม่ได้รับอนุญาต