คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ประพจน์ ถิระวัฒน์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 589 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2082/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประมาทในการขับรถแซง ทำให้เกิดอุบัติเหตุและบาดเจ็บแก่ผู้อื่น ศาลพิจารณาความรับผิดทางอาญา
การที่โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยขับรถโดยประมาท เป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจและทรัพย์สินของโจทก์ร่วมและบุคคลอื่นนั้นความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกฯ โจทก์ร่วมไม่ใช่ผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดฐานนี้โดยตรง จึงไม่ใช่ผู้เสียหายตามกฎหมาย และไม่มีสิทธิอุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดตามพระราชบัญญัติดังกล่าวได้ ส่วนความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายแก่กายหรือจิตใจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 390 โจทก์ร่วมเป็นผู้เสียหายมีสิทธิจะอุทธรณ์ฎีกาตามลำพังได้
ปัญหาที่ว่า ตามข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นฟังมา จะถือว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 390 หรือไม่นั้นเป็นปัญหาข้อกฎหมาย
การที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย โดยเห็นว่าเป็นปัญหาข้อเท็จจริงนั้น ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายนั้นไปทีเดียว โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 208(2) ประกอบด้วยมาตรา 225
จำเลยขับรถยนต์แซงรถบรรทุกหินซึ่งจอดอยู่ที่ขอบถนนด้านซ้ายในเส้นทางของรถจำเลย ล้ำเข้าไปในเส้นทางของรถโจทก์ร่วมที่กำลังสวนทางมา และตรงที่เกิดเหตุมีเส้นแบ่งแนวจราจรเป็นเส้นทึบคู่ห้ามขับรถคร่อมไปตามเส้นหรือล้ำออกนอกเส้นทางไปทางขวา เพื่อป้องกันอันตราย เป็นเหตุให้รถทั้งสองคันชนกันในเส้นทางของรถโจทก์ร่วม โดยจำเลยมิได้ใช้ความระมัดระวังให้เพียงพอกับวิสัยและพฤติการณ์โดยมองไปข้างหน้าว่ามียานพาหนะอื่นใดสวนทางมาหรือไม่หรือหากมองไม่เห็น เพราะมีส่วนโค้งของถนนหรือสะพานบังอยู่ก็ชอบที่จะชะลอรถให้ช้าลงเมื่อเห็นว่าปลอดภัยดีแล้วจึงค่อยแซงรถที่จอดอยู่ขึ้นไป ดังนี้นับว่าเป็นความประมาทของจำเลยหาใช่อุบัติเหตุไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2046/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาอุทิศที่ดินเป็นทางสาธารณประโยชน์ แม้ยกเลิกคำขอแบ่งแยกภายหลัง ก็ไม่ทำให้ที่ดินกลับเป็นเอกชนได้
การที่จำเลยยื่นคำขอแบ่งแยกโฉนดที่ดินซอยพิพาทซึ่งมีผู้ใช้สัญจรไปมาอยู่แล้วให้เป็นทางสาธารณประโยชน์ และเคยทำบันทึกตกลงยกถนนซอยพิพาทให้แก่สุขาภิบาล แสดงว่าจำเลยได้แสดงเจตนาอุทิศซอยพิพาทให้เป็นทางสาธารณประโยชน์แล้วย่อมมีผลทำให้ถนนซอยพิพาทตกเป็นทางสาธารณประโยชน์โดยทันที แม้จำเลยยื่นคำขอต่อเจ้าพนักงานที่ดิน ขอยกเลิกคำขอจดทะเบียนแบ่งแยกเป็นทางสาธารณประโยชน์ที่ยื่นไว้แต่เดิมก็ดี หรือจำเลยบอกเลิกการยกให้ถนนซอยพิพาทต่อสุขาภิบาลก็ดี หาทำให้ถนนซอยพิพาทซึ่งได้กลายสภาพเป็นทางสาธารณประโยชน์ไปแล้ว เปลี่ยนสภาพกลับคืนมาเป็นทางเอกชนได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2046/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแสดงเจตนาอุทิศที่ดินให้เป็นทางสาธารณประโยชน์ แม้ต่อมาจะยกเลิกคำขอ แต่ที่ดินก็ยังคงเป็นทางสาธารณประโยชน์
การที่จำเลยยื่นคำขอแบ่งแยกโฉนดที่ดินซอยพิพาทซึ่งมีผู้ใช้สัญจรไปมาอยู่แล้วให้เป็นทางสาธารณประโยชน์และเคยทำบันทึกตกลงยกถนนซอยพิพาทให้แก่สุขาภิบาลแสดงว่าจำเลยได้แสดงเจตนาอุทิศซอยพิพาทให้เป็นทางสาธารณประโยชน์แล้วย่อมมีผลทำให้ถนนซอยพิพาทตกเป็นทางสาธารณประโยชน์โดยทันที แม้จำเลยยื่นคำขอต่อเจ้าพนักงานที่ดิน ขอยกเลิกคำขอจดทะเบียนแบ่งแยกเป็นทางสาธารณประโยชน์ที่ยื่นไว้แต่เดิมก็ดี หรือจำเลยบอกเลิกการยกให้ถนนซอยพิพาทต่อสุขาภิบาลก็ดี หาทำให้ถนนซอยพิพาทซึ่งได้กลายสภาพเป็นทางสาธารณประโยชน์ไปแล้วเปลี่ยนสภาพกลับคืนมาเป็นทางเอกชนได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1996/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประกันภัยครอบคลุมความเสียหายจากชิงทรัพย์ขณะเดินทาง
โจทก์นำรถยนต์เอาประกันวินาศภัยไว้กับจำเลยตามสัญญากรมธรรม์ประกันภัยระบุไว้ว่า "การสูญหรือเสียหายแก่ยานพาหนะที่ระบุไว้ในตารางแห่งกรมธรรม์นี้รวมทั้งเครื่องอุปกรณ์ในระหว่างที่ยังติดประจำอยู่อันเกิดจาก (ก) ไฟไหม้ ฯลฯ หรือลักทรัพย์หรือ (ข) การกลั่นแกล้งหรือ (ค) ระหว่างเดินทางโดยทางถนน รถไฟ ฯลฯ" เมื่อรถยนต์ของโจทก์ถูกคนร้ายชิงเอาไปขณะเดินทางโดยทางถนนจึงเป็นกรณีที่โจทก์สูญเสียยานพาหนะที่เอาประกันภัยไว้ในความผิดฐานชิงทรัพย์ ซึ่งมีการกระทำที่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์อยู่ในตัวถือได้ว่าโจทก์ต้องสูญเสียรถ เพราะมีการลักรถนั้นไป กรณีต้องตามเงื่อนไขในสัญญากรมธรรม์ประกันภัย จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1996/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ประกันภัยรถยนต์: ความคุ้มครองกรณีชิงทรัพย์ระหว่างการเดินทาง
โจทก์นำรถยนต์เอาประกันวินาศภัยไว้กับจำเลย ตามสัญญากรมธรรม์ประกันภัยระบุไว้ว่า "การสูญหรือเสียหายแก่ยานพาหนะที่ระบุไว้ในตารางแห่งกรมธรรม์นี้รวมทั้งเครื่องอุปกรณ์ในระหว่างที่ยังติดประจำอยู่อันเกิดจาก(ก)ไฟไหม้ฯลฯหรือลักทรัพย์หรือ(ข) การกลั่นแกล้งหรือ (ค) ระหว่างเดินทางโดยทางถนน รถไฟ ฯลฯ" เมื่อรถยนต์ของโจทก์ถูกคนร้ายชิงเอาไปขณะเดินทางโดยทางถนนจึงเป็นกรณีที่โจทก์สูญเสียยานพาหนะที่เอาประกันภัยไว้ในความผิดฐานชิงทรัพย์ ซึ่งมีการกระทำที่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์อยู่ในตัวถือได้ว่าโจทก์ต้องสูญเสียรถ เพราะมีการลักรถนั้นไป กรณีต้องตามเงื่อนไขในสัญญากรมธรรม์ประกันภัย จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1905/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีเช่าเมื่อมีการโอนสิทธิ - การมอบหมายอำนาจจัดการและฟ้องร้อง
จำเลยทำสัญญาเช่าโพรงตึกจากโจทก์ แม้ต่อมาปรากฏว่าอำนาจการดูแลจัดการที่ดินและโพรงตึกพิพาทได้โอนไปอยู่สำนักงานจัดการทรัพย์สินส่วนพระองค์. แต่สำนักงานดังกล่าวได้มีหนังสือมอบหมายให้โจทก์มีหน้าที่จัดการหรือฟ้องร้องให้จำเลยออกไปจากโพรงตึกจนกว่าจะเสร็จคดี จึงจะรับมอบที่ดินและโพรงตึกคืนมา โจทก์ในฐานะผู้มีอำนาจให้จำเลยเช่ามาแต่เดิม และในขณะฟ้องยังไม่ได้ส่งโพรงตึกคืนแก่สำนักงานดังกล่าว ทั้งยังได้รับมอบอำนาจให้มีอำนาจจัดการฟ้องร้องจำเลยได้ จึงมีอำนาจฟ้อง (ขับไล่และเรียกค่าเสียหาย)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1905/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องสัญญาเช่า: โอนสิทธิการจัดการแล้วแต่ยังได้รับมอบอำนาจฟ้องได้
จำเลยทำสัญญาเช่าโพรงตึกจากโจทก์ แม้ต่อมาปรากฏว่าอำนาจการดูแลจัดการที่ดินและโพรงตึกพิพาทได้โอนไปอยู่สำนักงานจัดการทรัพย์สินส่วนพระองค์ แต่สำนักงานดังกล่าวได้มีหนังสือมอบหมายให้โจทก์มีหน้าที่จัดการหรือฟ้องร้องให้จำเลยออกไปจากโพรงตึกจนกว่าจะเสร็จคดี จึงจะรับมอบที่ดินและโพรงตึกคืนมาโจทก์ในฐานะผู้มีอำนาจให้จำเลยเช่ามาแต่เดิม และในขณะฟ้องยังไม่ได้ส่งโพรงตึกคืนแก่สำนักงานดังกล่าว ทั้งยังได้รับมอบอำนาจให้มีอำนาจจัดการฟ้องร้องจำเลยได้ จึงมีอำนาจฟ้อง (ขับไล่และเรียกค่าเสียหาย)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1831-1838/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิครอบครองที่ดินแจ้งการครอบครองไม่ใช่เงื่อนไขการเสียสิทธิ การครอบครองก่อนกฎหมายใช้บังคับมีผล
พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 มาตรา 5บัญญัติให้ผู้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินแจ้งการครอบครองไว้ เพื่อที่รัฐจะทราบว่าผู้ใดมีสิทธิครอบครองในที่นั้นๆ ไม่ใช่ว่าถ้าไม่แจ้งการครอบครองแล้ว ผู้ครอบครองที่ดินจะเสียไปซึ่งสิทธิการครอบครองที่มีอยู่ก่อนนั้นไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1831-1838/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิครอบครองที่ดิน: การแจ้งการครอบครองไม่ใช่เงื่อนไขการสูญเสียสิทธิเดิม
พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 มาตรา 5 บัญญัติให้ผู้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินแจ้งการครอบครองไว้เพื่อที่รัฐจะทราบว่าผู้ใดมีสิทธิครอบครองในที่นั้น ๆ ไม่ใช่ว่าถ้าไม่แจ้งการครอบครองแล้ว ผู้ครอบครองที่ดินจะเสียไปซึ่งสิทธิการครอบครองที่มีอยู่ก่อนนั้นไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1671/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอนุญาตเดินรถทับซ้อนกันทางหลวงจังหวัด ไม่ถือเป็นการละเมิดสิทธิสัมปทาน
โจทก์ได้รับอนุญาตจากกรมการขนส่งให้ทำการขนส่งเดินรถยนต์โดยสารประจำทางตามพระราชบัญญัติการขนส่งพ.ศ.2497 ในเส้นทางสายที่ 1343 จากชัยภูมิ - ห้วยชันต่อมาจำเลยได้รับอนุญาตจากทางจังหวัดชัยภูมิให้เดินรถยนต์โดยสารในเส้นทางสายชัยภูมิ - หนองบัวแดง ทับเส้นทางเดินรถยนต์ประจำทางของโจทก์ตั้งแต่ตัวเมืองจังหวัดชัยภูมิถึงทางแยกหน่วยขยายพันธุ์พืชชัยภูมิ เป็นระยะทาง 6 กิโลเมตร รองอธิบดีกรมการขนส่งยืนยันว่าเส้นทางที่อนุญาตให้ผู้รับสัมปทานเดินรถยนต์ประจำทางนั้นอาจจะทับกันเป็นบางตอนหรือทับกันตลอดสายก็ได้. เส้นทางที่โจทก์จำเลยเดินรถยนต์ประจำทางทับกันบางตอนจึงเป็นทางร่วม ต่างมีสิทธิที่จะเดินทางเดียวกันได้. เมื่อทางจังหวัดตั้งกรรมการพิจารณาเรื่องราวให้สัมปทานเดินรถยนต์ประจำทางสายชัยภูมิ - หนองบัวแดงโจทก์เองก็ยื่นเรื่องราวขออนุญาตพร้อมกับจำเลยและบริษัทอื่น แต่คณะกรรมการพิจารณาอนุญาตให้จำเลยผู้เดียวเป็นผู้ได้รับสัมปทาน ทั้งเส้นทางสายนี้ก็เป็นทางหลวงจังหวัด อยู่ในความควบคุมดูแลของจังหวัดชัยภูมิ มิใช่ทางที่กรมการขนส่งประกาศเป็นเส้นทางของกรมการขนส่ง ดังนั้น เมื่อจำเลยได้รับอนุญาตจากทางจังหวัดชัยภูมิให้เดินรถยนต์ประจำทางในเส้นทางสายนี้ได้ แม้จะทับเส้นทางซึ่งโจทก์ได้รับอนุญาตเป็นบางตอน ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการแข่งขันกับโจทก์การที่จำเลยนำรถยนต์โดยสารเข้าวิ่งรับส่งคนโดยสารตามที่ได้รับอนุญาตจึงไม่เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์
of 59