คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สรรเสริญ ไกรจิตติ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 253 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 237/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผู้สนับสนุนการปล้นทรัพย์: ความรับผิดแม้ไม่ได้ร่วมกระทำความผิดโดยตรง
จำเลยที่ 1 วางแผนอยู่ที่บ้านให้จำเลยอื่นไปทำการปล้นทรัพย์ แล้วต่อมาจำเลยอื่นได้ไปทำการปล้นทรัพย์ตามแผนดังกล่าว โดยจำเลยที่ 1 ไม่ได้ไปร่วมทำการ ในการปล้นทรัพย์ด้วยเช่นนี้ ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1เป็นตัวการในการกระทำผิดฐานปล้นทรัพย์ แม้จะถือว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นการก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิด แต่เมื่อฟ้องโจทก์มิได้บรรยายว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ก่อให้จำเลยอื่นกระทำผิด หากกล่าวแต่เพียงว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยอื่นกระทำการปล้นทรัพย์ ย่อมลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานเป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นกระทำผิดไม่ได้ แต่การที่จำเลยที่ 1 วางแผนในการปล้นทรัพย์และออกเงินให้จำเลยอื่นไปใช้จ่ายเป็นค่าเช่าแก่เจ้าของทรัพย์อันเป็นส่วนหนึ่งของแผนการในการปล้น ตลอดจนไปชี้บ้านเจ้าทรัพย์ให้แก่พวกที่จะไปทำการปล้น ย่อมได้ชื่อว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดนั้น ซึ่งแม้โจทก์จะมิได้กล่าวถึงความข้อนี้มาในฟ้อง ศาลก็ลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์รายนี้ได้
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 39/2515)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 237/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสนับสนุนการกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ แม้ไม่ได้ลงมือเอง ศาลลงโทษฐานเป็นผู้สนับสนุนได้
จำเลยที่ 1 วางแผนอยู่ที่บ้านให้จำเลยอื่นไปทำการปล้นทรัพย์แล้วต่อมาจำเลยอื่นได้ไปทำการปล้นทรัพย์ตามแผนดังกล่าวโดยจำเลยที่ 1 ไม่ได้ไปร่วมทำการ ในการปล้นทรัพย์ด้วยเช่นนี้ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1เป็นตัวการในการกระทำผิดฐานปล้นทรัพย์แม้จะถือว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นการก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดแต่เมื่อฟ้องโจทก์มิได้บรรยายว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ก่อให้จำเลยอื่นกระทำผิด หากกล่าวแต่เพียงว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยอื่นกระทำการปล้นทรัพย์ ย่อมลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานเป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นกระทำผิดไม่ได้ แต่การที่จำเลยที่ 1 วางแผนในการปล้นทรัพย์และออกเงินให้จำเลยอื่นไปใช้จ่ายเป็นค่าเช่าแก่เจ้าของทรัพย์อันเป็นส่วนหนึ่งของแผนการในการปล้น ตลอดจนไปชี้บ้านเจ้าทรัพย์ให้แก่พวกที่จะไปทำการปล้น ย่อมได้ชื่อว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดนั้น ซึ่งแม้โจทก์จะมิได้กล่าวถึงความข้อนี้มาในฟ้องศาลก็ลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์รายนี้ได้
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 39/2515)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 196/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อเท็จจริงในคดีแพ่งต้องสอดคล้องกับคำพิพากษาคดีอาญาที่ถึงที่สุดในมูลคดีเดียวกัน
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยแนะนำให้โจทก์ลงชื่อในสัญญาเช่าในฐานะผู้ให้เช่าแล้วมอบให้จำเลยไปเพื่อจะได้จัดการให้นายสวงษ์เป็นผู้เช่า แต่จำเลยกลับนำไปกรอกข้อความว่าจำเลยเป็นผู้เช่าเสียเอง จึงขอให้ศาลเพิกถอนสัญญาเช่าดังกล่าวปรากฏว่าโจทก์ได้นำมูลคดีเรื่องเดียวกันนี้ไปฟ้องจำเลยในทางอาญาในข้อหายักยอกลายมือชื่อ บุกรุกทำให้เสียทรัพย์ ซึ่งศาลอาญาและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่าโจทก์จำเลยได้ทำสัญญาเช่าฉบับพิพาทต่อกันไว้จริง มิใช่จำเลยนำสัญญาไปกรอกเอาเองดังโจทก์กล่าวหา และคดีอาญาดังกล่าวได้ถึงที่สุดแล้ว ดังนี้ในการพิจารณาคดีส่วนแพ่ง ต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา.ฟ้องโจทก์ในคดีแพ่งซึ่งอ้างข้อหาอย่างเดียวกับคดีอาญาดังกล่าวจึงย่อมตกไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 196/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อเท็จจริงในคดีแพ่งต้องสอดคล้องกับคำพิพากษาคดีอาญาที่ถึงที่สุดแล้วในมูลคดีเดียวกัน
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยแนะนำให้โจทก์ลงชื่อในสัญญาเช่า ในฐานะผู้ให้เช่าแล้วมอบให้จำเลยไปเพื่อจะได้จัดการให้นายสวงษ์เป็นผู้เช่า แต่จำเลยกลับนำไปกรอกข้อความว่าจำเลยเป็นผู้เช่าเสียเอง จึงขอให้ศาลเพิกถอนสัญญาเช่าดังกล่าว ปรากฏว่าโจทก์ได้นำมูลคดีเรื่องเดียวกันนี้ไปฟ้องจำเลยในทางอาญาในข้อหายักยอกลายมือชื่อ บุกรุกทำให้เสียทรัพย์ ซึ่งศาลอาญาและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่าโจทก์จำเลยได้ทำสัญญาเช่าฉบับพิพาทต่อกันไว้จริง มิใช่จำเลยนำสัญญาไปกรอกเอาเองดังโจทก์กล่าวหา และคดีอาญาดังกล่าวได้ถึงที่สุดแล้ว ดังนี้ ในการพิจารณาคดีส่วนแพ่ง ต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา.ฟ้องโจทก์ในคดีแพ่งซึ่งอ้างข้อหาอย่างเดียวกับคดีอาญาดังกล่าวจึงย่อมตกไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2820/2515

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแปลงหนี้เดิมเป็นหนี้เงินกู้ สัญญากู้สมบูรณ์ การพิสูจน์การชำระหนี้ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ
การกู้ยืมเงินกันนั้น ผู้กู้อาจยอมรับเอาสิ่งของหรือทรัพย์สินอื่นแทนจำนวนเงินหรืออาจนำหนี้สินอย่างอื่นมาแปลงเป็นหนี้เงินกู้ก็ได้ หาจำต้องมีการรับเงินกันเสมอไปไม่
จำเลยรับว่าได้ทำสัญญากู้เงินให้โจทก์ไว้ โดยจำนวนเงินในสัญญากู้เป็นหนี้ค่าเครื่องทำไฟซึ่งจำเลยค้างชำระโจทก์อยู่ แม้จำเลยมิได้กู้เงินโจทก์ โจทก์จำเลยก็มีมูลหนี้ต่อกัน จำเลยมิได้ต่อสู้ว่ามูลหนี้นั้นไม่สมบูรณ์เพราะเหตุใดเมื่อมูลหนี้เดิมสมบูรณ์อยู่แล้วย่อมไม่มีประเด็นที่จำเลยจะนำสืบหักล้างเอกสารสัญญากู้ได้
โจทก์จำเลยเอาหนี้ค่าเครื่องทำไฟมาทำเป็นสัญญากู้สัญญากู้นั้นย่อมสมบูรณ์บังคับกันได้และผูกพันอย่างหนี้เงินกู้ เมื่อการกู้ยืมมีหลักฐานเป็นหนังสือ การนำสืบถึงการใช้เงิน ก็ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือหรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้ว หรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคสอง จำเลยจะขอสืบพยานบุคคลว่าได้ชำระเงินให้โจทก์แล้วหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2820/2515 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแปลงหนี้ค่าสินค้าเป็นหนี้เงินกู้ และหลักฐานการชำระหนี้ตามสัญญากู้
การกู้ยืมเงินกันนั้น ผู้กู้อาจยอมรับเอาสิ่งของหรือทรัพย์สินอื่นแทนจำนวนเงินหรืออาจนำหนี้สินอย่างอื่นมาแปลงเป็นหนี้เงินกู้ก็ได้ หาจำต้องมีการรับเงินกันเสมอไปไม่
จำเลยรับว่าได้ทำสัญญากู้เงินให้โจทก์ไว้ โดยจำนวนเงินในสัญญากู้เป็นหนี้ค่าเครื่องทำไฟซึ่งจำเลยค้างชำระโจทก์อยู่แม้จำเลยมิได้กู้เงินโจทก์ โจทก์จำเลยก็มีมูลหนี้ต่อกันจำเลยมิได้ต่อสู้ว่ามูลหนี้นั้นไม่สมบูรณ์เพราะเหตุใด เมื่อมูลหนี้เดิมสมบูรณ์อยู่แล้วย่อมไม่มีประเด็นที่จำเลยจะนำสืบหักล้างเอกสารสัญญากู้ได้
โจทก์จำเลยเอาหนี้ค่าเครื่องทำไฟมาทำเป็นสัญญากู้ สัญญากู้นั้นย่อมสมบูรณ์บังคับกันได้และผูกพันอย่างหนี้เงินกู้ เมื่อการกู้ยืมมีหลักฐานเป็นหนังสือ การนำสืบถึงการใช้เงินก็ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือหรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้ว หรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคสองจำเลยจะขอสืบพยานบุคคลว่าได้ชำระเงินให้โจทก์แล้วหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2811-2818/2515

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรวมสำนวนคดีและอำนาจฟ้องขับไล่เมื่อสัญญาเช่าสิ้นสุด
ศาลชั้นต้นสั่งให้รวมการพิจารณาคดีทั้ง 11 สำนวนเข้าด้วยกันจำเลยแต่ละคนในทุกสำนวนต่างก็อ้างตนเองเป็นพยาน โดยรวมอยู่ในบัญชีระบุพยานฉบับเดียวกัน แสดงว่าจำเลยในคดีหนึ่งมิได้เป็นพยานเฉพาะคดีของตนเองเท่านั้น แต่ต่างเป็นพยานซึ่งกันและกันในทุกคดี จึงต้องห้ามไม่ให้เบิกความต่อหน้าจำเลยอื่นที่จะเบิกความเป็นพยานในภายหลัง
โจทก์ทำสัญญาเช่าที่ดินกับกองมรดกของ ส. ครบกำหนดเวลาเช่าในสิ้นเดือนมีนาคม 2511 ต่อมาโจทก์ทำสัญญาเช่าต่อ เริ่มนับแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2511 เป็นต้นไป จึงมีช่วงว่างอยู่ 3 เดือน แต่โจทก์ยังครอบครองทรัพย์ที่เช่าอยู่ในระหว่าง 3 เดือนนั้น ถือได้ว่าคู่สัญญาได้ทำสัญญาใหม่ต่อไปไม่มีกำหนดเวลา จำเลยอยู่ในห้องพิพาทโดยอาศัยสัญญาที่ทำไว้กับโจทก์ ดังนี้ เมื่อสัญญาเช่าช่วงที่พวกจำเลยทำไว้กับโจทก์สิ้นสุดลง โจทก์ก็มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2753/2515

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคัดค้านการขายทอดตลาดต้องยื่นภายใน 8 วันนับแต่วันที่ทราบเหตุ หากพ้นกำหนด สิทธิคัดค้านสิ้นสุด
เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยออกขายทอดตลาด มีผู้ให้ราคาสูงสุด เจ้าพนักงานบังคับคดีเสนอศาล ศาลอนุญาตให้ขายได้ จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งขายทอดตลาดใหม่อ้างว่าโจทก์กับพวกสมรู้กันประมูลซื้อทรัพย์โดยไม่สุจริต และเจ้าพนักงานบังคับคดีทำการขายทอดตลาดโดยไม่ถูกต้อง ซึ่งเป็นการกล่าวอ้างว่าการบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนกฎหมาย คำร้องเช่นนี้จะต้องยื่นต่อศาลไม่ช้ากว่าแปดวันนับแต่วันได้ทราบถึงการกระทำนั้นๆ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 และ 296 หากมิได้ยื่นภายในกำหนดดังกล่าว จำเลยย่อมไม่มีสิทธิคัดค้านการขายทอดตลาดนั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2753/2515 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคัดค้านการขายทอดตลาดต้องยื่นภายใน 8 วันนับแต่วันทราบการกระทำที่ไม่ชอบ มิเช่นนั้นเสียสิทธิ
เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยออกขายทอดตลาดมีผู้ให้ราคาสูงสุด เจ้าพนักงานบังคับคดีเสนอศาล ศาลอนุญาตให้ขายได้ จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งขายทอดตลาดใหม่อ้างว่าโจทก์กับพวกสมรู้กันประมูลซื้อทรัพย์โดยไม่สุจริต และเจ้าพนักงานบังคับคดีทำการขายทอดตลาดโดยไม่ถูกต้อง ซึ่งเป็นการกล่าวอ้างว่าการบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนกฎหมาย คำร้องเช่นนี้จะต้องยื่นต่อศาลไม่ช้ากว่าแปดวันนับแต่วันได้ทราบถึงการกระทำนั้นๆ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 27 และ 296 หากมิได้ยื่นภายในกำหนดดังกล่าวจำเลยย่อมไม่มีสิทธิคัดค้านการขายทอดตลาดนั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2720/2515

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงให้ศาลตรวจสภาพที่ดินเพื่อตัดสินคดี การยอมแพ้ตามข้อตกลงมีผลผูกพัน
คู่ความตกลงกันขอให้ศาลไปดูสภาพที่พิพาทที่ดินของ ค.ที่ดินของจำเลยที่ 2 และที่ดินรอบๆ ประกอบกัน ถ้าศาล เห็นว่าที่พิพาทและที่ซึ่งโจทก์ว่าเป็นของ ค. และของจำเลยที่ 2 มีลักษณะเป็นสวนยางแปลงเดียวกัน โจทก์ยอมแพ้ ถ้าศาลเห็นว่าเป็นคนละแปลงโจทก์ชนะ มีลักษณะเหมือนกับคำท้าของคู่ความว่า จะยอมแพ้ชนะกันอย่างไร เท่ากับว่าถ้าศาลมีความเห็นอย่างหนึ่งอย่างใด ดังที่ได้ตกลงกันไว้ คู่ความก็ยอมให้แพ้ ชนะ กันตามความเห็นของศาล เมื่อศาลไปตรวจดูแล้วเห็นว่า เป็นสวนยางแปลงเดียวกัน โจทก์ก็ต้องแพ้โจทก์จะฎีกาเถียงข้อเท็จจริงในการที่ศาลไปดูสภาพที่ดินว่าควรจะเป็นคนละแปลง ฟังไม่ขึ้น
of 26