พบผลลัพธ์ทั้งหมด 253 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 598/2515 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประกันชีวิตโดยมิได้รับอนุญาต: กิจการฌาปนกิจสงเคราะห์เข้าข่ายประกันชีวิต จำเลยมีความผิด
การที่สมาคมพุทธศาสนิกชนวัดไผ่ตันได้เปิดกิจการฌาปนกิจสงเคราะห์ โดยบริษัทนฤมิตธนาคม จำกัดเป็นผู้ดำเนินงานแทน โดยมีข้อตกลงว่าสมาคมจะใช้เงินสงเคราะห์ให้แก่ผู้รับประโยชน์เมื่อบุคคลผู้เป็นสมาชิกถึงแก่กรรม ตามจำนวนและเงื่อนไขการจ่ายเงินที่กำหนดไว้ในระเบียบการฌาปนกิจสงเคราะห์ ส่วนสมาชิกก็ผูกพันต้องส่งเงินสงเคราะห์ให้แก่สมาคมตามระเบียบ การดังกล่าวนั้น เช่นนี้ ย่อมเข้าลักษณะเป็นสัญญาประกันชีวิต อันถือได้ว่ากิจการของสมาคมพุทธศาสนิกชนวัดไผ่ตันดังกล่าวเป็นการรับประกันชีวิตโดยสมาคมกระทำการเป็นผู้รับประกันภัยการดำเนินกิจการดังกล่าวนี้ต้องได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันชีวิตจากรัฐมนตรี มิฉะนั้นย่อมเป็นการฝ่าฝืนและมีโทษตามพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ. 2510 มาตรา 12, 74และเมื่อจำเลยกระทำการแนะนำชักชวนเพื่อให้บุคคลเข้าเป็นสมาชิกซึ่งก็เท่ากับเป็นการกระทำเพื่อให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันชีวิตกับสมาคมดังกล่าว ย่อมเป็นการฝ่าฝืนและมีโทษตามมาตรา 72, 95
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 598/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประกันชีวิตโดยมิได้รับอนุญาต: ฌาปนกิจสงเคราะห์เข้าข่ายประกันชีวิต จำเลยมีความผิด
การที่สมาคมพุทธศาสนิกชนวัดไผ่ตันได้เปิดกิจการฌาปนกิจสงเคราะห์ โดยบริษัทนฤมิตธนาคม จำกัด เป็นผู้ดำเนินงานแทน โดยมีข้อตกลงว่าสมาคมจะใช้เงินสงเคราะห์ให้แก่ผู้รับประโยชน์เมื่อบุคคลผู้เป็นสมาชิกถึงแก่กรรม ตามจำนวนและเงื่อนไขการจ่ายเงินที่กำหนดไว้ในระเบียบการฌาปนกิจสงเคราะห์ ส่วนสมาชิกก็ผูกพันต้องส่งเงินสงเคราะห์ให้แก่สมาคมตามระเบียบ การดังกล่าวนั้น เช่นนี้ ย่อมเข้าลักษณะเป็นสัญญาประกันชีวิต อันถือได้ว่ากิจการของสมาคมพุทธศาสนิกชนวัดไผ่ตันดังกล่าวเป็นการรับประกันชีวิตโดยสมาคมกระทำการเป็นผู้รับประกันภัยการดำเนินกิจการดังกล่าวนี้ต้องได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันชีวิตจากรัฐมนตรี มิฉะนั้นย่อมเป็นการฝ่าฝืนและมีโทษตามพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ. 2510 มาตรา 12, 74 และเมื่อจำเลยกระทำการแนะนำชักชวนเพื่อให้บุคคลเข้าเป็นสมาชิกซึ่งก็เท่ากับเป็นการกระทำเพื่อให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันชีวิตกับสมาคมดังกล่าว ย่อมเป็นการฝ่าฝืนและมีโทษตามมาตรา 72, 95
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 533/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความมีผลผูกพันเฉพาะคู่ความ ผู้เยาว์มีสิทธิทำนิติกรรมได้ตามกฎหมาย
ผู้ร้องเคยเป็นโจทก์ฟ้องขอแบ่งทรัพย์จากผู้คัดค้าน แล้วทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันต่อหน้าศาล โดยผู้คัดค้านยอมยกที่ดินให้แก่ผู้ร้องและบุตรผู้เยาว์ และผู้ร้องให้สัญญาว่าจะไม่นำที่ดินส่วนของบุตรผู้เยาว์ไปจำหน่ายจ่ายโอนหรือจำนองทั้งนี้จนกว่าบุตรผู้เยาว์จะบรรลุนิติภาวะ สัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมในคดีดังกล่าวแล้วย่อมมีผลผูกพันเฉพาะคู่ความในกระบวนพิจารณา บุตรผู้เยาว์ผู้ได้รับการให้ที่ดินเป็นบุคคลนอกคดี และสัญญาประนีประนอมยอมความก็มิได้มีเงื่อนไขห้ามบุตรผู้เยาว์มิให้จำหน่ายจ่ายโอนที่ดินส่วนของตนบุตรผู้เยาว์โดยผู้ปกครองย่อมมีอำนาจร้องขอต่อศาล ขออนุญาตทำนิติกรรมขายที่ดินของผู้เยาว์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 533/2515 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลผูกพันสัญญาประนีประนอมและความสามารถในการทำนิติกรรมของผู้เยาว์
ผู้ร้องเคยเป็นโจทก์ฟ้องขอแบ่งทรัพย์จากผู้คัดค้าน แล้วทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันต่อหน้าศาล โดยผู้คัดค้านยอมยกที่ดินให้แก่ผู้ร้องและบุตรผู้เยาว์ และผู้ร้องให้สัญญาว่าจะไม่นำที่ดินส่วนของบุตรผู้เยาว์ไปจำหน่ายจ่ายโอนหรือจำนองทั้งนี้จนกว่าบุตรผู้เยาว์จะบรรลุนิติภาวะ สัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมในคดีดังกล่าวแล้วย่อมมีผลผูกพันเฉพาะคู่ความในกระบวนพิจารณา บุตรผู้เยาว์ผู้ได้รับการให้ที่ดินเป็นบุคคลนอกคดี และสัญญาประนีประนอมยอมความก็มิได้มีเงื่อนไขห้ามบุตรผู้เยาว์มิให้จำหน่ายจ่ายโอนที่ดินส่วนของตนบุตรผู้เยาว์โดยผู้ปกครองย่อมมีอำนาจร้องขอต่อศาล ขออนุญาตทำนิติกรรมขายที่ดินของผู้เยาว์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 411/2515 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลื่อนคดีเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม: เหตุผลและความจำเป็นในการพิจารณาคดีต่อเนื่อง
การที่โจทก์มิได้เตรียมพยานมาศาลในวันนัดสืบพยานเพราะโจทก์ประสงค์จะมาขอถอนฟ้อง ครั้นเมื่อศาลไม่อนุญาตให้ถอนฟ้องก็เกิดความจำเป็นต้องสืบพยานในวันนั้น เช่นนี้แม้ว่าทนายโจทก์จะลืมยื่นบัญชีระบุพยาน แต่เมื่อมิได้มีพฤติการณ์แสดงว่าโจทก์เจตนาจงใจและมิได้ทำให้จำเลยเสียเปรียบ สมควรที่จะอนุญาตให้เลื่อนคดีได้
คดีเสร็จการพิจารณาและอยู่ระหว่างนัดฟังคำพิพากษา โจทก์ขอดำเนินคดีต่อไปและขอถอนทนายเพราะมีความเห็นในการดำเนินคดีไม่ตรงกัน ประกอบทั้งโจทก์ป่วยไม่ทราบการดำเนินคดีซึ่งบกพร่องของทนายมาก่อน เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมย่อมเป็นการสมควรที่จะให้เลื่อนการพิจารณาคดีต่อไปอีกได้
คดีเสร็จการพิจารณาและอยู่ระหว่างนัดฟังคำพิพากษา โจทก์ขอดำเนินคดีต่อไปและขอถอนทนายเพราะมีความเห็นในการดำเนินคดีไม่ตรงกัน ประกอบทั้งโจทก์ป่วยไม่ทราบการดำเนินคดีซึ่งบกพร่องของทนายมาก่อน เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมย่อมเป็นการสมควรที่จะให้เลื่อนการพิจารณาคดีต่อไปอีกได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 411/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลื่อนคดีเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม แม้ทนายโจทก์ละเลยหน้าที่และโจทก์ถอนทนาย
การที่โจทก์มิได้เตรียมพยานมาศาลในวันนัดสืบพยานเพราะโจทก์ประสงค์จะมาขอถอนฟ้อง ครั้นเมื่อศาลไม่อนุญาตให้ถอนฟ้องก็เกิดความจำเป็นต้องสืบพยานในวันนั้น เช่นนี้แม้ว่าทนายโจทก์จะลืมยื่นบัญชีระบุพยาน แต่เมื่อมิได้มีพฤติการณ์แสดงว่าโจทก์เจตนาจงใจและมิได้ทำให้จำเลยเสียเปรียบ สมควรที่จะอนุญาตให้เลื่อนคดีได้
คดีเสร็จการพิจารณาและอยู่ระหว่างนัดฟังคำพิพากษาโจทก์ขอดำเนินคดีต่อไปและขอถอนทนายเพราะมีความเห็นในการดำเนินคดีไม่ตรงกัน ประกอบทั้งโจทก์ป่วยไม่ทราบการดำเนินคดีซึ่งบกพร่องของทนายมาก่อน เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมย่อมเป็นการสมควรที่จะให้เลื่อนการพิจารณาคดีต่อไปอีกได้
คดีเสร็จการพิจารณาและอยู่ระหว่างนัดฟังคำพิพากษาโจทก์ขอดำเนินคดีต่อไปและขอถอนทนายเพราะมีความเห็นในการดำเนินคดีไม่ตรงกัน ประกอบทั้งโจทก์ป่วยไม่ทราบการดำเนินคดีซึ่งบกพร่องของทนายมาก่อน เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมย่อมเป็นการสมควรที่จะให้เลื่อนการพิจารณาคดีต่อไปอีกได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 292/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับสารภาพของจำเลยที่ศาลใช้พิจารณาบวกโทษคดีก่อนเข้ากับคดีหลังได้ หากเนื้อหาการรับสารภาพสอดคล้องกับฟ้อง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยหลายข้อหา กับขอให้นำโทษที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนมาบวกเข้ากับโทษในคดีนี้ด้วยจำเลยรับสารภาพ เฉพาะข้อเคยต้องโทษนั้น จำเลยรับว่าเคยต้องโทษและพ้นโทษตามฟ้องจริง ที่จำเลยรับว่าเคยต้องโทษและพ้นโทษตามฟ้องจริงนั้น หมายความว่า จำเลยเคยต้องคำพิพากษาให้ลงโทษและรอไว้ตามฟ้องนั่นเอง ถือได้ว่าจำเลยรับในข้อเท็จจริงที่โจทก์บรรยายฟ้องแล้ว ศาลจึงบวกโทษของจำเลยที่รอไว้เข้ากับโทษในคดีนี้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 263/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
บันดาลโทสะจากการถูกข่มเหงน้ำใจ: การพิจารณาโทษจำคุกคดีฆ่าผู้อื่น
ผู้ตายเคยลวนลามภรรยาจำเลยมาแล้วครั้งหนึ่ง วันเกิดเหตุจำเลยกลับจากเก็บถั่วขึ้นไปห้างไร่ของจำเลย เห็นผู้ตายกำลังกอดรั้งตัวภรรยาจำเลยอยู่ จำเลยเกิดโทสะพอจำเลยร้องว่าผู้ตาย ผู้ตายก็ผละออกกระโดดหนีลงจากห้างไร่จำเลยคว้าได้ปืนยาวที่พิงไว้ข้างฝาลงบันไดตามไปยิงผู้ตายที่พื้นดิน ซึ่งขณะนั้นเดินออกไปห่างจากห้างไร่ 3 วากระสุนปืนถูกผู้ตายถึงแก่ความตาย ดังนี้ การกระทำของจำเลยเป็นการฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ด้วยความบันดาลโทสะ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 209/2515 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานรับของโจรต้องเกิดหลังการลักทรัพย์ ฟ้องระบุเหตุการณ์ก่อนจึงไม่เป็นความผิด
โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2511 จำเลยบังอาจเข้าไปลักทรัพย์ในเคหะสถานของผู้เสียหาย และเอาทรัพย์ตามรายการในฟ้องไป หรือมิฉะนั้นเมื่อระหว่างวันที่ 23 มิถุนายน 2511 ถึงวันที่ 29 มิถุนายน 2511 เวลากลางวัน จำเลยก็บังอาจร่วมกันรับทรัพย์ดังกล่าวตามฟ้องไว้โดยรู้ว่าเป็นของที่คนร้ายได้มาโดยการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ เช่นนี้ ฟ้องของโจทก์จึงกล่าวหาว่าจำเลยกระทำผิดฐานรับของโจร ในขณะที่การกระทำผิดฐานลักทรัพย์ยังไม่เกิดขึ้น การกระทำของจำเลยตามที่บรรยายมาในฟ้องจึงไม่เป็นความผิดฐานรับของโจร แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพก็จะลงโทษจำเลยในข้อหานี้ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 209/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานรับของโจรต้องเกิดหลังการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ฟ้องที่บรรยายเหตุการณ์สลับลำดับไม่เป็นความผิด
โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2511จำเลยบังอาจเข้าไปลักทรัพย์ในเคหะสถานของผู้เสียหาย และเอาทรัพย์ตามรายการในฟ้องไป หรือมิฉะนั้นเมื่อระหว่างวันที่23 มิถุนายน 2511 ถึงวันที่ 29 มิถุนายน 2511 เวลากลางวัน จำเลยก็บังอาจร่วมกันรับทรัพย์ดังกล่าวตามฟ้องไว้โดยรู้ว่าเป็นของที่คนร้ายได้มาโดยการกระทำผิดฐานลักทรัพย์เช่นนี้ ฟ้องของโจทก์จึงกล่าวหาว่าจำเลยกระทำผิดฐานรับของโจรในขณะที่การกระทำผิดฐานลักทรัพย์ยังไม่เกิดขึ้น การกระทำของจำเลยตามที่บรรยายมาในฟ้อง จึงไม่เป็นความผิดฐานรับของโจรแม้จำเลยจะให้การรับสารภาพก็จะลงโทษจำเลยในข้อหานี้ไม่ได้