คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.พ.พ. ม. 491

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 377 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 959/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายตามข้อตกลงในคดีก่อน แม้ยังไม่ถึงกำหนดฟ้องบังคับได้ และประเด็นการรับมรดกที่ยกขึ้นใหม่
นาพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 มีชื่อในโฉนดเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์เองมิใช่มีชื่อในฐานะเป็นผู้ซื้อแทนโจทก์ โจทก์หามีสิทธิที่จะขอให้เพิกถอนการโอน และการขายฝากนาพิพาทที่จำเลยกระทำต่อกันได้ไม่
ในคดีหมายเลขแดงที่ 202/2504 โจทก์จำเลยตกลงกันว่าให้ถือเอาผลแห่งคำพิพากษาคดีนี้เป็นข้อแพ้ชนะกัน คือ ถ้าโจทก์ในคดีนี้ (จำเลยในคดีหมายเลขแดงที่ 202/2504) แพ้ จะไม่เกี่ยวข้องกับที่พิพาท และยินยอมใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยที่ 2 ในคดีนี้ (โจทก์ในคดีหมายเลขแดงที่ 202/2504) เป็นรายปี ๆ ละ 900 บาทนับแต่ พ.ศ. 2504 เป็นต้นไป จนกว่าโจทก์จะออกจากที่ดิน แต่ถ้าจำเลยที่ 2 เป็นฝ่ายแพ้คดี ก็ไม่ติดใจเอาค่าเสียหายดังกล่าวและไม่เกี่ยวข้องกับที่ดินอีกต่อไป ผลที่สุดจำเลยที่ 1 ถอนฟ้องคดีนั้นแล้วมาฟ้องแย้งในคดีนี้ว่าโจทก์บุกรุกที่พิพาทซึ่งตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2 ผู้รับซื้อฝากจากจำเลยที่ 1 เรียกค่าเสียหายจากโจทก์ปีละ 900 บาท ตั้งแต่ พ.ศ. 2504 ดังนี้ เมื่อจำเลยที่ 2 มีมูลที่จะฟ้องแย้งได้ จำเลยที่ 2 ก็มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากโจทก์มาในฟ้องแย้งได้โดยไม่ต้องอาศัยข้อตกลงในคดีหมายเลขแดงที่ 202/2504 และเป็นที่เห็นได้ว่า การที่จำเลยที่ 2 อ้างถึงข้อตกลงนั้น ก็เพื่อแสดงว่าโจทก์ได้เคยรับรองว่าจำเลยที่ 2 จะคิดค่าเสียหายได้ตามจำนวนที่ปรากฏในข้อตกลงนั้น ศาลจะได้ถือเป็นหลักวินิจฉัยกำหนดค่าเสียหายในคดีนี้ให้แก่จำเลยที่ 2 โดยไม่ต้องนำสืบกันอีกชั้นหนึ่ง จำเลยที่ 2 ไม่ได้ขอให้บังคับตามข้อตกลงนั้นโดยตรง โจทก์จึงไม่มีเหตุที่จะอ้างได้ว่าจำเลยที่ 2 ไม่มีสิทธิที่จะฟ้องแย้งเรียกร้องค่าเสียหายในคดีนี้เพราะเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้ในคดีก่อนยังไม่สำเร็จ
โจทก์เพิ่งมากล่าวอ้างในชั้นอุทธรณ์ฎีกาว่านาพิพาทเป็นมรดกของนายอินบิดาโจทก์มีสิทธิได้รับส่วนแบ่ง เป็นคนละประเด็นกันกับที่กล่าวในฟ้อง ศาลฎีกาวินิจฉัยให้ไม่ได้
โจทก์เพิ่งจะยกขึ้นกล่าวในชั้นฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีนี้ขัดกับคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ 233/2505 ทั้งอ้างข้อเท็จจริงมาไม่ตรงกับความเป็นจริงเพราะในคดีหมายเลขแดงที่ 233/2505 นั้นปรากฏว่า จำเลยที่ 3 กับพวกซึ่งเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์ในคดีนี้ได้ถอนฟ้องข้อหาเกี่ยวกับนาพิพาทเสีย โจทก์(จำเลยในคดีหมายเลขแดงที่ 233/2505) ชนะในประเด็นอื่นซึ่งไม่เกี่ยวกับนาพิพาท ฎีกาโจทก์ข้อนี้หาเป็นสาระแก่คดีไม่
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 5-6/2509)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 959/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากข้อตกลงในคดีก่อน การเพิกถอนการโอนทรัพย์สิน และการรับมรดก
นาพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 มีชื่อในโฉนดเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์เอง มิใช่มีชื่อในฐานะเป็นผู้ซื้อแทนโจทก์ โจทก์หามีสิทธิที่จะขอให้เพิกถอนการโอนและการขายฝากนาพิพาทที่จำเลยกระทำต่อกันได้ไม่
ในคดีหมายเลขแดงที่ 202/2504 โจทก์จำเลยตกลงกันว่าให้ถือเอาผลแห่งคำพิพากษาคดีนี้เป็นข้อแพ้ชนะกัน คือ ถ้าโจทก์ในคดีนี้(จำเลยในคดีหมายเลขแดงที่ 202/2504)แพ้จะไม่เกี่ยวข้องกับที่พิพาท และยินยอมใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยที่ 2 ในคดีนี้ (โจทก์ในคดีหมายเลขแดงที่ 202/2504) เป็นรายปีๆ ละ900 บาทนับแต่ พ.ศ.2504 เป็นต้นไป จนกว่าโจทก์จะออกจากที่ดิน แต่ถ้าจำเลยที่ 2 เป็นฝ่ายแพ้คดี ก็ไม่ติดใจเอาค่าเสียหายดังกล่าวและไม่เกี่ยวข้องกับที่ดินอีกต่อไป ผลที่สุดจำเลยที่ 1 ถอนฟ้องคดีนั้นแล้วมาฟ้องแย้งในคดีนี้ว่าโจทก์บุกรุกที่พิพาทซึ่งตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2 ผู้รับซื้อฝากจากจำเลยที่ 1 เรียกค่าเสียหายจากโจทก์ปีละ 900 บาทตั้งแต่ พ.ศ.2504 ดังนี้ เมื่อจำเลยที่ 2 มีมูลที่จะฟ้องแย้งได้ จำเลยที่ 2 ก็มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากโจทก์มาในฟ้องแย้งได้ โดยไม่ต้องอาศัยข้อตกลงในคดีหมายเลขแดงที่ 202/2504 และเป็นที่เห็นได้ว่าการที่จำเลยที่ 2 อ้างถึงข้อตกลงนั้น ก็เพื่อแสดงว่าโจทก์ได้เคยรับรองว่าจำเลยที่ 2 จะคิดค่าเสียหายได้ตามจำนวนที่ปรากฏในข้อตกลงนั้น ศาลจะได้ถือเป็นหลักวินิจฉัยกำหนดค่าเสียหายในคดีนี้ให้แก่จำเลยที่ 2 โดยไม่ต้องนำสืบกันอีกชั้นหนึ่ง จำเลยที่ 2 ไม่ได้ขอให้บังคับตามข้อตกลงนั้นโดยตรง โจทก์จึงไม่มีเหตุที่จะอ้างได้ว่าจำเลยที่ 2 ไม่มีสิทธิที่จะฟ้องแย้งเรียกร้องค่าเสียหายในคดีนี้ เพราะเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้ในคดีก่อนยังไม่สำเร็จ
โจทก์เพิ่งมากล่าวอ้างในชั้นอุทธรณ์ฎีกาว่านาพิพาทเป็นมรดกของนายอินบิดาโจทก์มีสิทธิได้รับส่วนแบ่ง เป็นคนละประเด็นกันกับที่กล่าวในฟ้อง ศาลฎีกาวินิจฉัยให้ไม่ได้
โจทก์เพิ่งจะยกขึ้นกล่าวในชั้นฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีนี้ขัดกับคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ 233/2505 ทั้งอ้างข้อเท็จจริงมาไม่ตรงกับความเป็นจริง เพราะในคดีหมายเลขแดงที่ 233/2505 นั้นปรากฏว่า จำเลยที่ 3 กับพวกซึ่งเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์คดีนี้ได้ถอนฟ้องข้อหาเกี่ยวกับนาพิพาทเสีย โจทก์ (จำเลยในคดีหมายเลขแดงที่ 233/2505) ชนะในประเด็นอื่นซึ่งไม่เกี่ยวกับนาพิพาท ฎีกาโจทก์ข้อนี้หาเป็นสาระแก่คดีไม่(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 5-6/2509)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 748/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีตามคำพิพากษาศาลเกี่ยวกับการไถ่ถอนการขายฝาก และการเกิดหนี้ตามคำพิพากษา
คดีที่ศาลพิพากษาให้โจทก์มีสิทธิไถ่ถอนการขายฝากได้นั้น ศาลบังคับให้ปฏิบัติตามคำพิพากษาภายใน 15 วัน ย่อมเป็นการบังคับทั้งโจทก์และจำเลย แต่เมื่อพ้นระยะเวลา 15 วันตามคำบังคับจะถือว่าเป็นอันหมดสิทธิไถ่ถอนยังไม่ได้ เพราะคำพิพากษามิได้กล่าวไว้เช่นนั้น เมื่อโจทก์ไม่ปฏิบัติตามคำบังคับ จำเลยย่อมมีสิทธิที่จะขอให้ดำเนินการบังคับคดีให้โจทก์ปฏิบัติตามคำพิพากษาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 271
เมื่อศาลได้มีคำพิพากษาแล้วย่อมเกิดเป็นหนี้ตามคำพิพากษาขึ้น โจทก์จำเลยจะต้องปฏิบัติตามคำพิพากษานั้น โดยโจทก์จำเลยต่างก็กลายสภาพเป็นเจ้าหนี้หรือลูกหนี้ตามคำพิพากษา อันจะบังคับกันได้ภายในกำหนด 10 ปี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 271 หาใช่เป็นการขยายระยะเวลาไถ่ถอนไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 748/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีตามคำพิพากษาไถ่ถอนการขายฝาก: อายุความและการปฏิบัติตามคำบังคับ
คดีที่ศาลพิพากษาให้โจทก์มีสิทธิไถ่ถอนการขายฝากได้นั้นศาลบังคับให้ปฏิบัติตามคำพิพากษาภายใน 15 วัน ย่อมเป็นการบังคับทั้งโจทก์และจำเลย แต่เมื่อพ้นระยะเวลา 15 วันตามคำบังคับจะถือว่าเป็นอันหมดสิทธิไถ่ถอนยังไม่ได้เพราะคำพิพากษามิได้กล่าวไว้เช่นนั้นเมื่อโจทก์ไม่ปฏิบัติตามคำบังคับ จำเลยย่อมมีสิทธิที่จะขอให้ดำเนินการบังคับคดีให้โจทก์ปฏิบัติตามคำพิพากษาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271
เมื่อศาลได้มีคำพิพากษาแล้วย่อมเกิดเป็นหนี้ตามคำพิพากษาขึ้นโจทก์จำเลยจะต้องปฏิบัติตามคำพิพากษานั้น โดยโจทก์จำเลยต่างก็กลายสภาพเป็นเจ้าหนี้หรือลูกหนี้ตามคำพิพากษา อันจะบังคับกันได้ภายในกำหนด 10 ปีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 หาใช่เป็นการขยายระยะเวลาไถ่ถอนไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 514/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไถ่ถอนการขายฝากผิดนัด นำสู่การหลุดกรรมสิทธิ์ และการจำหน่ายคดี
คดีที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรับไถ่ถอนการขายฝาก และศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยรับไถ่การขายฝาก โดยให้นำเงินสินไถ่มาวางศาลเพื่อชำระแก่จำเลยภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันพิพากษา เมื่อจำเลยฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ แต่ต่อมาได้ยื่นคำแถลงว่าโจทก์ผิดนัดไม่นำเงินสินไถ่มาวางศาลภายในกำหนดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ดังนี้ คดีย่อมไม่มีประโยชน์ที่จะพิจารณาฎีกาของจำเลยต่อไป เพราะทรัพย์ที่ขายฝากหลุดเป็นกรรมสิทธิ์แก่จำเลย โจทก์หมดสิทธิที่จะไถ่ถอนคืนแล้ว ศาลฎีกาจึงให้จำหน่ายคดี คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาของจำเลย 3 ใน 4 พร้อมด้วยค่าตัดสินและค่าคำบังคับ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 514/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไถ่ถอนการขายฝาก: ผลของการไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ทำให้สิทธิไถ่ถอนสิ้นสุด
คดีที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรับไถ่ถอนการขายฝาก และศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยรับไถ่การขายฝาก โดยให้นำเงินสินไถ่มาวางศาลเพื่อชำระแก่จำเลยภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันพิพากษา เมื่อจำเลยฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ แต่ต่อมาได้ยื่นคำแถลงว่าโจทก์ผิดนัดไม่นำเงินสินไถ่มาวางศาลภายในกำหนดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ดังนี้ คดีย่อมไม่มีประโยชน์ที่จะพิจารณาฎีกาของจำเลยต่อไป เพราะทรัพย์ที่ขายฝากหลุดเป็นกรรมสิทธิ์แก่จำเลย โจทก์หมดสิทธิที่จะไถ่ถอนคืนแล้ว ศาลฎีกาจึงให้จำหน่ายคดี คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาของจำเลย 3 ใน 4 พร้อมด้วยคาตัดสินและค่าคำบังคับ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 451-452/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบอำนาจตัวแทน – นิติกรรมนอกขอบ – ความเชื่อโดยสุจริต – ความผูกพันต่อบุคคลภายนอก
การที่เจ้าของที่ดินลงลายพิมพ์นิ้วมือในใบมอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 ไปขอหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินโดยมิได้กรอกข้อความแล้วจำเลยที่ 1 ไปจัดการกรอกข้อความเติมไปด้วยว่าให้มีอำนาจทำนิติกรรมขายฝากได้ด้วยและนำที่ดินไปขายฝากให้แก่จำเลยที่ 2 นั้น ถือว่าเป็นการทำนอกเหนือขอบอำนาจของตัวการตามปกติจึงไม่ผูกพันตัวการตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 823 เว้นแต่ทางปฏิบัติของตัวการทำให้บุคคลภายนอกมีมูลเหตุอันสมควรจะเชื่อว่าการนั้นอยู่ในขอบอำนาจของตัวแทนหรือตัวการให้สัตยาบัน จึงจะผูกพันตัวการตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 822 และ 823
เมื่อจำเลยที่ 2 ผู้ซื้อฝากที่ดินมิได้หลงเชื่อใบมอบอำนาจหากเชื่อตัวบุคคลอื่นซึ่งแสดงตนเป็นโจทก์จึงได้รับซื้อฝากที่พิพาทนั้นถือว่าโจทก์มิได้ทำให้จำเลยที่ 2 หลงเชื่อนิติกรรมขายฝากจึงไม่ผูกพันโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 451-452/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตอำนาจตัวแทนและการผูกพันตามสัญญา: การขายฝากเกินอำนาจมอบหมาย
การที่เจ้าของที่ดินลงลายพิมพ์นิ้วมือในใบมอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 ไปขอหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินโดยมิได้กรอกข้อความ แล้วจำเลยที่ 1 ไปจัดการกรอกข้อความเติมไปด้วยว่าให้มีอำนาจทำนิติกรรมขายฝากได้ด้วย และนำที่ดินไปขายฝากให้แก่จำเลยที่ 2 นั้น ถือว่าเป็นการทำนอกเหนือขอบอำนาจของตัวการ ตามปกติจึงไม่ผูกพันตัวการตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 823 เว้นแต่ทางปฏิบัติของตัวการทำให้บุคคลภายนอกมีมูลเหตุอันสมควรจะเชื่อว่าการนั้นอยู่ในขอบอำนาจของตัวแทน หรือตัวการให้สัตยาบัน จึงจะผูกพันตัวการตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 822 และ 823
เมื่อจำเลยที่ 2 ผู้ซื้อฝากที่ดินมิได้หลงเชื่อใบมอบอำนาจ หากเชื่อตัวบุคคลอื่นซึ่งแสดงตนเป็นโจทก์ จึงได้รับซื้อฝากที่พิพาทนั้น ถือว่าโจทก์มิได้ทำให้จำเลยที่ 2 หลงเชื่อ นิติกรรมขายฝากจึงไม่ผูกพันโจทก์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 428/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแย่งการครอบครองและการขาดอายุความฟ้องร้อง สิทธิการครอบครองตกเป็นของจำเลย
จำเลยขายฝากที่พิพาทไว้กับโจทก์ แต่ไม่ไถ่คืนภายในกำหนด จำเลยเช่าที่พิพาทจากโจทก์ จำเลยย่อมได้ชื่อว่ายึดถือครอบครองที่พิพาทในนามของโจทก์อยู่ในฐานะเป็นผู้แทนโจทก์
โจทก์ให้คนไปเก็บค่าเช่าที่พิพาทจากจำเลยในเดือนมกราคม2505 จำเลยไม่ให้ อ้างว่าไถ่นาคืนจากโจทก์แล้วเห็นได้ว่าจำเลยได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์แล้ว การยึดถือครอบครองที่พิพาทได้เปลี่ยนลักษณะจากการยึดถือครอบครองแทนเป็นยึดถือครอบครองเพื่อตนเองเป็นปรปักษ์ต่อโจทก์เข้าลักษณะแย่งการครอบครอง
โจทก์ทราบว่าจำเลยแย่งการครอบครองที่พิพาทเมื่อเดือนมกราคม 2505 โจทก์มาฟ้องจำเลยเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2506 เป็นเวลาเกิน 1 ปีแล้ว โจทก์ย่อมหมดสิทธิที่จะฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองได้ ที่พิพาทตกเป็นสิทธิของจำเลยแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะเรียกเอาคืนได้
จำเลยให้การต่อสู้ว่าที่พิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า จำเลยครอบครองเกิน 1 ปีแล้ว ฟ้องของโจทก์ขาดอายุความเช่นนี้ ถือได้ว่าจำเลยได้อ้างสิทธิครอบครองขึ้นเป็นข้อต่อสู้แล้วแม้จะถือว่าข้อต่อสู้ของจำเลยไม่ชัดแจ้งในเรื่องแย่งการครอบครองแต่โจทก์ก็ไม่มีสิทธิอันใดที่จะอ้างอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาขึ้นฟ้องร้องเรียกเอาที่พิพาทคืนจากจำเลยได้โดยสิทธิครอบครองของโจทก์ได้หลุดมือไปอยู่กับจำเลยแล้วสิทธิจะฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองจากจำเลยก็สูญเสียไปหมดแล้วศาลก็ชอบที่จะพิพากษายกฟ้องโจทก์เสียได้ แม้จำเลยจะมิได้กล่าวอ้างขึ้น เพราะเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่มีอำนาจที่จะฟ้องได้โดยชอบด้วยกฎหมาย (อ้างฎีกาที่ 1646/2505)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 428/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์และการเปลี่ยนแปลงฐานะจากผู้ครอบครองแทนเป็นผู้ครอบครองเพื่อตนเอง ทำให้สิทธิครอบครองเดิมสิ้นสุด
จำเลยขายฝากที่พิพาทไว้กับโจทก์ แต่ไม่ไถ่คืนภายในกำหนด จำเลยเช่าที่พิพาทจากโจทก์ จำเลยย่อมได้ชื่อว่ายึดถือครอบครองที่พิพาทในนามของโจทก์อยู่ในฐานะเป็นผู้แทนโจทก์
โจทก์ให้คนไปเก็บค่าเช่าที่พิพาทจากจำเลยในเดือนมกราคม 2505 จำเลยไม่ให้ อ้างว่าไถ่นาคืนจากโจทก์แล้ว เห็นได้ว่าจำเลยได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์แล้ว การยึดถือครอบครองที่พิพาทได้เปลี่ยนลักษณะจากการยึดถือครอบครองแทน เป็นยึดถือครอบครองเพื่อตนเองเป็นปรปักษ์ต่อโจทก์ เข้าลักษณะแย่งการครอบครอง
โจทก์ทราบว่าจำเลยแย่งการครอบครองที่พิพาทเมื่อเดือนมกราคม 2505 โจทก์มาฟ้องจำเลยเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2506 เป็นเวลาเกิน 1 ปีแล้ว โจทก์ย่อมหมดสิทธิที่จะฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองได้ ที่พิพาทตกเป็นสิทธิของจำเลยแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะเรียกเอาคืนได้
จำเลยให้การต่อสู้ว่าที่พิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าจำเลยครอบครองเกิน 1 ปีแล้ว ฟ้องของโจทก์ขาดอายุความ เช่นนี้ ถือได้ว่าจำเลยได้อ้างสิทธิครอบครองขึ้นเป็นข้อต่อสู้แล้ว แม้จะถือว่าข้อต่อสู้ของจำเลยไม่ชัดแจ้งในเรื่องแย่งการครอบครอง แต่โจทก์ก็ไม่มีสิทธิอันใดที่จะอ้างอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาขึ้นฟ้องร้องเรียกเอาที่พิพาทคืนจากจำเลยได้ โดยสิทธิครอบครองของโจทก์ได้หลุดมือไปอยู่กับจำเลยแล้ว สิทธิจะฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองจากจำเลยก็สูญเสียไปหมดแล้ว ศาลก็ชอบที่จะพิพากษายกฟ้องโจทก์เสียได้ แม้จำเลยจะมิได้กล่าวอ้างขึ้น เพราะเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่มีอำนาจที่จะฟ้องได้โดยชอบด้วยกฎหมาย(อ้างฎีกาที่ 1646/2505).
of 38