คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
เสถียร ลิมปิษเฐียร

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 250 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1909/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ประมาทเลินเล่อจากการบรรทุกของไม่ปลอดภัย ทำให้เกิดอุบัติเหตุจนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ
จำเลยขับรถยนต์บรรทุกเสาไฟฟ้าโดยใช้ล้อพ่วง เมื่อล้อรถพ่วงหลุดทำให้เสาตกลงมาขวางถนน จนกระทั่งค่ำแล้วจำเลยก็ไม่ได้จัดให้มีโคมไฟหรือเครื่องสัญญาณอย่างอื่น เพื่อให้ผู้ใช้ถนนเห็นเสาที่ขวางถนนอยู่นั้น เป็นเหตุให้รถที่แล่นมาชนเสา มีคนตายและบาดเจ็บ ถือได้ว่าจำเลยกระทำโดยประมาท และผลเสียหายเกิดขึ้นจากการที่จำเลยงดเว้นการที่จักต้องกระทำเพื่อป้องกันผลนั้นได้แต่หากระทำไม่ จำเลยจึงมีความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1909/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ประมาทเลินเล่อจากการบรรทุกเสาไฟฟ้าแล้วปล่อยให้ตกขวางถนน จนเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิตและบาดเจ็บ
จำเลยขับรถยนต์บรรทุกเสาไฟฟ้าโดยใช้ล้อพ่วง เมื่อล้อรถพ่วงหลุดทำให้เสาตกลงมาขวางถนน จนกระทั่งค่ำแล้วจำเลยก็ไม่ได้จัดให้มีโคมไฟหรือเครื่องสัญญาณอย่างอื่น เพื่อให้ผู้ใช้ถนนเห็นเสาที่ขวางถนนอยู่นั้น เป็นเหตุให้รถที่แล่นมาชนเสา มีคนตายและบาดเจ็บ ถือได้ว่าจำเลยกระทำโดยประมาท และผลเสียหายเกิดขึ้นจากการที่จำเลยงดเว้นการที่จักต้องกระทำเพื่อป้องกันผลนั้นได้แต่หากระทำไม่ จำเลยจึงมีความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1848/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาลมีผลผูกพันจำเลย แม้เกินคำขอในฟ้อง ค่าทนายตกลงกันได้
สัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาลและศาลพิพากษาตามยอมนั้นมิใช่เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทอย่างคดีธรรมดาที่ต้องสืบพยานกันจึงไม่ตกอยู่ในบังคับแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142ซึ่งห้ามมิให้พิพากษาเกินคำขอหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง การที่คู่ความตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาลตามมาตรา 138 คงบังคับไว้แต่เพียงต้องตกลงกันในประเด็นแห่งคดี ซึ่งรวมถึงที่เกี่ยวเนื่องกับประเด็นด้วย ถ้านอกประเด็น ศาลก็ไม่มีหน้าที่ทำยอมให้ และเมื่อปรากฏชัดว่า ข้อตกลงตามสัญญาประนีประนอมยอมความไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายหรือเห็นว่าชอบด้วยกฎหมายแล้ว. ก็ต้องพิพากษาคดีให้เสร็จไปตามยอมนั้น ไม่มีหน้าที่ต้องย้อนไปดูว่าเกินคำขอในฟ้องหรือไม่
ส่วนที่ทนายจำเลยตกลงยอมให้ค่าทนายโจทก์ 3,000 บาทเมื่อทนายจำเลยมีอำนาจทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับฝ่ายโจทก์ได้ตามใบแต่งทนายจำเลย. จำเลยจะมาปฏิเสธไม่ยอมรับผิดชอบไม่ได้และกรณีเช่นนี้คู่ความจะตกลงค่าทนายความมากน้อยเท่าใดก็ได้เพราะเป็นเรื่องตกลงกันให้จำเลยรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมอันได้แก่ค่าทนายความด้วย ไม่จำต้องถือตามบัญชีอัตราค่าทนายความตามตาราง 6 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เพราะมิใช่เรื่องที่ศาลกำหนดค่าทนายความให้ฝ่ายแพ้ใช้แทน ข้อตกลงเกี่ยวกับค่าทนายความนี้ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 163 แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1848/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาลมีผลผูกพัน ไม่ต้องติดข้อจำกัดคำขอในฟ้อง ค่าทนายตกลงกันได้
สัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาลและศาลพิพากษาตามยอมนั้นมิใช่เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทอย่างคดีธรรมดาที่ต้องสืบพยานกันจึงไม่ตกอยู่ในบังคับแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142ซึ่งห้ามมิให้พิพากษาเกินคำขอหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง การที่คู่ความตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาลตามมาตรา 138คงบังคับไว้แต่เพียงต้องตกลงกันในประเด็นแห่งคดี ซึ่งรวมถึงที่เกี่ยวเนื่องกับประเด็นด้วย ถ้านอกประเด็น ศาลก็ไม่มีหน้าที่ทำยอมให้ และเมื่อปรากฏชัดว่า ข้อตกลงตามสัญญาประนีประนอมยอมความไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย หรือเห็นว่าชอบด้วยกฎหมายแล้ว. ก็ต้องพิพากษาคดีให้เสร็จไปตามยอมนั้น ไม่มีหน้าที่ต้องย้อนไปดูว่าเกินคำขอในฟ้องหรือไม่
ส่วนที่ทนายจำเลยตกลงยอมให้ค่าทนายโจทก์ 3,000 บาทเมื่อทนายจำเลยมีอำนาจทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับฝ่ายโจทก์ได้ตามใบแต่งทนายจำเลย. จำเลยจะมาปฏิเสธไม่ยอมรับผิดชอบไม่ได้และกรณีเช่นนี้คู่ความจะตกลงค่าทนายความมากน้อยเท่าใดก็ได้เพราะเป็นเรื่องตกลงกันให้จำเลยรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมอันได้แก่ค่าทนายความด้วย ไม่จำต้องถือตามบัญชีอัตราค่าทนายความตามตาราง 6 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เพราะมิใช่เรื่องที่ศาลกำหนดค่าทนายความให้ฝ่ายแพ้ใช้แทน ข้อตกลงเกี่ยวกับค่าทนายความนี้ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 163 แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1824/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิด พ.ร.บ.ประกันชีวิต: การชักชวนทำประกันกับสมาคมที่ไม่ได้รับอนุญาต
ตามพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ. 2510 มาตรา 7 วรรคแรกจะเห็นได้ว่าสมาคมใด ๆ จะประกอบธุรกิจประกันชีวิตไม่ได้เลยและตามมาตรา 72 แสดงว่ากฎหมายอนุญาตให้ชักชวนแนะนำให้ผู้อื่นทำสัญญาประกันชีวิตกับบริษัทจำกัดที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันชีวิตแล้วได้ แต่จะชักชวนแนะนำให้ไปทำสัญญาประกันชีวิตกับบุคคลใดซึ่งรวมถึงสมาคมด้วยไม่ได้ โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยชักชวนแนะนำให้บุคคลอื่นทำสัญญาประกันชีวิตกับสมาคมส่งเสริมกสิกรแม้จะมิได้บรรยายว่า สมาคมดังกล่าวไม่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันชีวิต แต่กลับไปกล่าวว่าจำเลยไม่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันชีวิตตามกฎหมาย ดังนี้ ก็เป็นฟ้องที่สมบูรณ์
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 20/2516)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1824/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดตาม พ.ร.บ.ประกันชีวิต: การชักชวนทำประกันกับสมาคมที่ไม่ได้รับอนุญาต
ตามพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ. 2510 มาตรา 7 วรรคแรกจะเห็นได้ว่าสมาคมใด ๆ จะประกอบธุรกิจประกันชีวิตไม่ได้เลยและตามมาตรา 72 แสดงว่ากฎหมายอนุญาตให้ชักชวนแนะนำให้ผู้อื่นทำสัญญาประกันชีวิตกับบริษัทจำกัดที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันชีวิตแล้วได้ แต่จะชักชวนแนะนำให้ไปทำสัญญาประกันชีวิตกับบุคคลใดซึ่งรวมถึงสมาคมด้วยไม่ได้ โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยชักชวนแนะนำให้บุคคลอื่นทำสัญญาประกันชีวิตกับสมาคมส่งเสริมกสิกรแม้จะมิได้บรรยายว่า สมาคมดังกล่าวไม่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันชีวิต แต่กลับไปกล่าวว่าจำเลยไม่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันชีวิตตามกฎหมาย ดังนี้ ก็เป็นฟ้องที่สมบูรณ์
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 20/2516)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1821/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงตรวจสอบที่ดินมรดกก่อนโอน การปฏิบัติตามข้อตกลงและผลกระทบต่อการฟ้องร้อง
คู่ความตกลงกันว่า จำเลยยินดีโอนห้องแถวพร้อมกับที่ดิน 2 ห้องที่เหลือตามพินัยกรรมดังโจทก์ฟ้องให้โจทก์ ในเมื่อโจทก์นำเจ้าพนักงานที่ดินไปสำรวจแล้วให้เจ้าพนักงานที่ดินแยกออกมาว่าห้องทั้งสองอยู่ที่ใด ถ้าหากเจ้าพนักงานที่ดินตรวจแล้วว่าที่ดินและห้องแถวตามพินัยกรรมไม่มีอยู่เลย โจทก์ก็ยินดีถอนฟ้องแต่ถ้าปรากฏว่ามีเหลืออยู่เป็นจำนวนมากกว่า 2 ห้อง โจทก์ยอมรับเพียง 2 ห้อง จำเลยยินดีโอนให้โจทก์ การตรวจสอบนี้ให้ถือเอาพินัยกรรมตามฟ้องและตราจองเลขที่ 5 เป็นหลัก ดังนี้เมื่อปรากฏว่าเจ้าพนักงานที่ดินได้ตรวจสอบแล้วได้ความว่าห้องแถวดังกล่าวอยู่ในตราจองเลขที่ 2172 โดยเจ้าพนักงานที่ดินได้ตรวจสอบรูปแผนที่ในพินัยกรรมแล้ว แสดงว่าที่ดินพร้อมด้วยห้องแถวที่โจทก์มีสิทธิได้รับตามพินัยกรรม คือ ที่ดินตราจองเลขที่ดังกล่าว จำเลยต้องโอนให้โจทก์ตามข้อตกลง และเมื่อปรากฏว่าเจ้าพนักงานที่ดินตรวจพบแล้วก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องตรวจสอบที่ดินมรดกรายนี้ทั้งหมดต่อไปอีก
ข้อตกลงของโจทก์จำเลยเช่นว่านี้ไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138 และไม่เป็นการที่ศาลพิพากษานอกฟ้องนอกประเด็นตามมาตรา 142 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งด้วย
ปัญหาเรื่องข้อตกลงขัดต่อ มาตรา 138 หรือไม่ และศาลพิพากษานอกฟ้องนอกประเด็นหรือไม่ เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน
วันนัดสืบพยานประเด็นโจทก์ จำเลยที่ 2 และทนายจำเลยที่ 2 มิได้ไปศาลตามนัด แต่ศาลได้สืบพยานไปโดยมิได้มี การสั่งว่าจำเลยที่ 2 ขาดนัดพิจารณานั้น เมื่อจำเลยที่ 2 มิได้อุทธรณ์ฎีกาจำเลยที่ 1 จะฎีกาแทนไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1821/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงนอกศาลเกี่ยวกับการโอนมรดกและการตรวจสอบทรัพย์สิน ไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
คู่ความตกลงกันว่า จำเลยยินดีโอนห้องแถวพร้อมกับที่ดิน2 ห้องที่เหลือตามพินัยกรรมดังโจทก์ฟ้องให้โจทก์ ในเมื่อโจทก์นำเจ้าพนักงานที่ดินไปสำรวจแล้วให้เจ้าพนักงานที่ดินแยกออกมาว่าห้องทั้งสองอยู่ที่ใด ถ้าหากเจ้าพนักงานที่ดินตรวจแล้วว่าที่ดินและห้องแถวตามพินัยกรรมไม่มีอยู่เลย โจทก์ก็ยินดีถอนฟ้องแต่ถ้าปรากฏว่ามีเหลืออยู่เป็นจำนวนมากกว่า 2 ห้อง โจทก์ยอมรับเพียง 2 ห้อง จำเลยยินดีโอนให้โจทก์ การตรวจสอบนี้ให้ถือเอาพินัยกรรมตามฟ้องและตราจองเลขที่ 5 เป็นหลัก ดังนี้เมื่อปรากฏว่าเจ้าพนักงานที่ดินได้ตรวจสอบแล้วได้ความว่าห้องแถวดังกล่าวอยู่ในตราจองเลขที่ 2172 โดยเจ้าพนักงานที่ดินได้ตรวจสอบรูปแผนที่ในพินัยกรรมแล้ว แสดงว่าที่ดินพร้อมด้วยห้องแถวที่โจทก์มีสิทธิได้รับตามพินัยกรรม คือ ที่ดินตราจองเลขที่ดังกล่าว จำเลยต้องโอนให้โจทก์ตามข้อตกลง และเมื่อปรากฏว่าเจ้าพนักงานที่ดินตรวจพบแล้วก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องตรวจสอบที่ดินมรดกรายนี้ทั้งหมดต่อไปอีก
ข้อตกลงของโจทก์จำเลยเช่นว่านี้ไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138 และไม่เป็นการที่ศาลพิพากษานอกฟ้องนอกประเด็นตามมาตรา 142 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งด้วย
ปัญหาเรื่องข้อตกลงขัดต่อมาตรา 138 หรือไม่ และศาลพิพากษานอกฟ้องนอกประเด็นหรือไม่ เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน
วันนัดสืบพยานประเด็นโจทก์ จำเลยที่ 2 และทนายจำเลยที่ 2 มิได้ไปศาลตามนัด แต่ศาลได้สืบพยานไปโดยมิได้มีการสั่งว่าจำเลยที่ 2 ขาดนัดพิจารณานั้น เมื่อจำเลยที่ 2 มิได้อุทธรณ์ฎีกาจำเลยที่ 1 จะฎีกาแทนไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1718/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องอาญาฐานนำสืบพยานหลักฐานเท็จต้องมีผู้เสียหายโดยตรงและเอกสารเท็จต้องถูกนำสืบต่อศาล
เดิม จำเลยที่ 1 เป็นลูกหนี้ ร. ตามคำพิพากษา โจทก์เข้าเป็นผู้ค้ำประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่ 1 ระหว่างอุทธรณ์ ต่อมาคดีถึงที่สุดร. ดำเนินการบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยที่ 1 และของโจทก์ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกัน เพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้ จำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 3ผู้รับมอบอำนาจได้ร้องขัดทรัพย์ที่ยึดของจำเลยที่ 1 อ้างว่าเป็นของจำเลยที่ 2 ซื้อจากจำเลยที่ 1 โดยมีหนังสือสัญญาซื้อขาย แต่ก่อนที่จะมีการพิจารณาคดีมูลกรณีจะเป็นเอกสารผู้ร้องขัดทรัพย์ได้ถอนคำร้องขัดทรัพย์ และร. ได้ถอนการยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 1 แม้หนังสือสัญญาซื้อขายนั้นอันเป็นเอกสารเท็จ แต่จำเลยยังไม่ทันได้อ้างต่อศาลในการพิจารณาคดีร้องขัดทรัพย์ ทั้งในคดีร้องขัดทรัพย์นั้น โจทก์หาได้เป็นคู่ความด้วยไม่ โจทก์จึงยังไม่ได้รับความเสียหาย ไม่อยู่ในฐานะเป็นผู้เสียหายที่จะมีอำนาจฟ้องจำเลยฐานนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 180 ได้ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 103/2496)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1718/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องคดีอาญาฐานนำสืบพยานหลักฐานเท็จ ต้องเสียหายโดยตรงและเป็นคู่ความในคดี
เดิม จำเลยที่ 1 เป็นลูกหนี้ ร. ตามคำพิพากษา โจทก์เข้าเป็นผู้ค้ำประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่ 1 ระหว่างอุทธรณ์ ต่อมาคดีถึงที่สุด ร. ดำเนินการบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยที่ 1 และของโจทก์ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันเพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้ จำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 3ผู้รับมอบอำนาจได้ร้องขัดทรัพย์ที่ยึดของจำเลยที่ 1 อ้างว่าเป็นของจำเลยที่ 2 ซื้อจากจำเลยที่ 1 โดยมีหนังสือสัญญาซื้อขาย แต่ก่อนที่จะมีการพิจารณาคดีผู้ร้องขัดทรัพย์ได้ถอนคำร้องขัดทรัพย์ และ ร. ได้ถอนการยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 1 แม้หนังสือสัญญาซื้อขายนั้น อันเป็นเอกสารเท็จ แต่จำเลยยังไม่ทันได้อ้างต่อศาลในการพิจารณาคดีร้องขัดทรัพย์ ทั้งในคดีร้องขัดทรัพย์นั้น โจทก์หาได้เป็นคู่ความด้วยไม่ โจทก์จึงยังไม่ได้รับความเสียหาย ไม่อยู่ในฐานะเป็นผู้เสียหายที่จะมีอำนาจฟ้องจำเลยฐานนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 180 ได้ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 103/2496)
of 25